ในทางบัญชี กิจการจะบันทึกรายจ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นตามหลักการบัญชี แต่สำหรับ “กฎหมายภาษี” กรมสรรพากรมีหลักเกณฑ์เฉพาะว่ารายจ่ายใดบ้างที่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีได้
ความหมายของ “รายจ่ายบวกกลับเป็นรายได้ของกิจการ” (รายจ่ายต้องห้าม)
“รายจ่ายบวกกลับเป็นรายได้ของกิจการ” หรือที่นิยมเรียกกันว่า “รายจ่ายต้องห้าม” (Non-deductible Expenses / Disallowed Expenses) หมายถึง
รายจ่ายที่กิจการได้บันทึกไว้ในบัญชีเป็น “ค่าใช้จ่าย” เพื่อคำนวณกำไรสุทธิตามหลักการบัญชีแล้ว แต่ตามกฎหมายประมวลรัษฎากร (มาตรา 65 ตรี) กรมสรรพากร “ไม่อนุญาต” ให้นำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณ “กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี”
ผลที่เกิดขึ้นคือ:
- เมื่อคำนวณภาษี กิจการจะต้อง “บวกกลับ” รายจ่ายเหล่านี้เข้าไปในกำไรสุทธิตามงบการเงิน (กำไรทางบัญชี)
- ทำให้ กำไรสุทธิทางภาษี (Taxable Profit) สูงขึ้น กว่ากำไรสุทธิตามบัญชี
- ส่งผลให้ ภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องชำระ “เพิ่มขึ้น”
พูดง่ายๆ คือ เป็นรายจ่ายที่บันทึกแล้วในบัญชี แต่สรรพากรไม่นับให้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษี
วัตถุประสงค์ของรายจ่ายต้องห้าม (มุมมองสรรพากร)
กรมสรรพากรมีวัตถุประสงค์ในการกำหนดรายจ่ายต้องห้าม เพื่อ:
- ป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี: ป้องกันไม่ให้กิจการนำรายจ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานจริง หรือรายจ่ายส่วนตัวมาแอบอ้างเป็นค่าใช้จ่ายของกิจการ
- ความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษี: ให้ทุกกิจการเสียภาษีบนพื้นฐานเดียวกัน
- สนับสนุน/ควบคุมพฤติกรรมบางอย่าง: เช่น การกำหนดวงเงินค่ารับรอง เพื่อควบคุมการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ประเภทของ “รายจ่ายต้องห้าม” ที่พบบ่อย
รายจ่ายต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร มีหลายประเภท ตัวอย่างที่พบบ่อยได้แก่:
1.รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว (มาตรา 65 ตรี (1)):
-
- ตัวอย่าง: ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเจ้าของกิจการหรือกรรมการ เช่น ค่าใช้จ่ายในบ้านพักส่วนตัว, ค่าใช้จ่ายเดินทางท่องเที่ยวส่วนตัว, ค่ารักษาพยาบาลส่วนตัวที่ไม่ใช่สวัสดิการพนักงานตามระเบียบ
- เหตุผล: ไม่ได้เกิดเพื่อหากำไรหรือกิจการโดยเฉพาะ

2. ค่ารับรองหรือค่าบริการ (มาตรา 65 ตรี (4)):
-
- ตัวอย่าง: ค่าอาหาร, ค่าเครื่องดื่ม, ค่าที่พัก, ค่าของขวัญ, ค่าบันเทิง ที่จ่ายไปเพื่อการรับรองลูกค้าหรือผู้มาติดต่องาน
- เหตุผล: กฎหมายยอมให้หักได้เพียง 0.3% ของยอดรายได้รวมหรือทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว (แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) และต้องไม่เกิน 10 ล้านบาท ส่วนที่เกินถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม

3.ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (มาตรา 65 ตรี (5)):
-
- ตัวอย่าง: ค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินบางประเภท เช่น รถยนต์นั่งส่วนบุคคลราคาเกิน 1 ล้านบาท ส่วนเกินจะถูกบวกกลับ
- เหตุผล: กฎหมายกำหนดอัตราและหลักเกณฑ์การหักค่าเสื่อมราคาไว้เป็นการเฉพาะ

ค่าเสื่อมราคารถยนต์นั่งสบาย
4.เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และค่าปรับทางอาญา (มาตรา 65 ตรี (6)):
-
- ตัวอย่าง: เบี้ยปรับ/เงินเพิ่มที่เกิดจากการชำระภาษีล่าช้า, ค่าปรับจราจร, ค่าปรับที่เกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายต่างๆ
- เหตุผล: ถือเป็นบทลงโทษ ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายปกติในการดำเนินธุรกิจ

เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม ค่าปรับอาญา
5.รายจ่ายที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับ (มาตรา 65 ตรี (13)):
-
- ตัวอย่าง: ค่าใช้จ่ายที่จ่ายเป็นเงินสดจำนวนมากโดยไม่มีใบเสร็จ หรือมีใบเสร็จแต่ไม่มีรายละเอียดผู้รับที่ชัดเจน, ไม่มีลายเซ็นผู้รับเงิน, ไม่มีหลักฐานยืนยันการจ่ายเงิน
- เหตุผล: ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของรายจ่ายได้ อาจมีการทุจริตหรือเป็นรายจ่ายที่ไม่จริง

6.เงินสำรองต่างๆ (มาตรา 65 ตรี (12)):
-
- ตัวอย่าง: เงินสำรองเพื่อการขยายกิจการ, เงินสำรองฉุกเฉิน (ยกเว้นเงินสำรองตามกฎหมายบางประเภท เช่น เงินสำรองประกันสังคม)
- เหตุผล: ถือเป็นการจัดสรรกำไร ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง

เงินเดือนของผู้ถือหุ้น หรือผู้เป็นหุ้นส่วนในส่วนที่เกินจริง
7.รายจ่ายเพื่อการลงทุน (มาตรา 65 ตรี (2)):
-
- ตัวอย่าง: ค่าซื้ออาคาร, เครื่องจักร, อุปกรณ์, รถยนต์, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ลิขสิทธิ์
- เหตุผล: รายจ่ายเหล่านี้ถือเป็น “สินทรัพย์” ซึ่งจะถูกทยอยตัดเป็นค่าใช้จ่ายผ่าน “ค่าเสื่อมราคาและค่าสึกหรอ” ในแต่ละปีตามหลักการบัญชีและอัตราที่สรรพากรกำหนด ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่หักได้ทันทีทั้งก้อนในปีที่ซื้อ
8.รายจ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการโดยตรง (มาตรา 65 ตรี (3)):
-
- ตัวอย่าง: รายจ่ายที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไรหรือดำเนินกิจการโดยตรง
- เหตุผล: เป็นรายจ่ายที่อาจเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อื่น เช่น ส่วนตัว, หรือไม่มีความจำเป็นทางธุรกิจ
9.ภาษีเงินได้นิติบุคคล (มาตรา 65 ตรี (6)):
-
- ตัวอย่าง: ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัทต้องชำระ
- เหตุผล: เป็นภาษีที่คำนวณจากกำไรสุทธิแล้ว ไม่ใช่ต้นทุนในการดำเนินงาน
10.หนี้สูญที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ (มาตรา 65 ตรี (10)):
-
- ตัวอย่าง: การตัดหนี้สูญที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด เช่น หนี้เงินกู้ยืมกรรมการที่ไม่มีเจตนาทวงคืน, หนี้การค้าที่ยังไม่เข้าเกณฑ์ (เช่น ไม่ได้ฟ้องร้อง, ไม่ได้ทวงถามตามหลักเกณฑ์)
- เหตุผล: ต้องมีหลักฐานและกระบวนการตามที่กฎหมายกำหนด จึงจะยอมให้ตัดเป็นหนี้สูญได้
11.การบริจาค (มาตรา 65 ตรี (3)):
-
- ตัวอย่าง: เงินบริจาคทั่วไป
- เหตุผล: กฎหมายยอมให้หักได้เฉพาะที่จ่ายให้แก่องค์กรการกุศลสาธารณะที่ประกาศกำหนดเท่านั้น และมีอัตราที่ยอมให้หักได้สูงสุด (เช่น ไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ) ส่วนที่เกินถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม
ผลกระทบต่อการคำนวณภาษี
เมื่อนิติบุคคลมีการจัดทำงบกำไรขาดทุนตามมาตรฐานบัญชีแล้ว จะต้องจัดทำ “งบกระทบยอดกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิทางภาษี” โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- กำไรสุทธิ (ขาดทุนสุทธิ) ทางบัญชี: (ตามงบกำไรขาดทุน)
- บวก: รายจ่ายต้องห้ามต่างๆ (ตามมาตรา 65 ตรี)
- หัก: รายได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี (เช่น เงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทในประเทศที่เข้าเงื่อนไข)
- ผลลัพธ์: กำไรสุทธิ (ขาดทุนสุทธิ) ทางภาษี
จากนั้น กิจการจะนำ “กำไรสุทธิทางภาษี” นี้ไปคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องชำระให้กับกรมสรรพากร
การทำความเข้าใจและแยกแยะรายจ่ายต้องห้ามออกจากรายจ่ายปกติอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการจัดทำบัญชีและวางแผนภาษี เพื่อให้กิจการปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างครบถ้วนและหลีกเลี่ยงภาระภาษีหรือค่าปรับที่ไม่จำเป็นค่ะ
ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax











