รายจ่ายเกี่ยวข้องกับรถยนต์ อะไรเบิกได้ เบิกไม่ได้

รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเป็นประเด็นที่กรมสรรพากรให้ความสำคัญในการตรวจสอบอย่างมาก เนื่องจากมักมีการปะปนระหว่างการใช้งานส่วนตัวและการใช้งานเพื่อกิจการ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่และถูกต้องตามหลักกรมสรรพากร ต้องพิจารณาประเภทของรถยนต์และลักษณะของรายจ่ายอย่างละเอียดค่ะ

หลักการสำคัญในการหักรายจ่ายเกี่ยวกับรถยนต์

ก่อนลงรายละเอียดรายจ่ายแต่ละประเภท มีหลักการทั่วไปที่ต้องยึดถือ:

  1. ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการโดยตรง: ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะเท่านั้น (มาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร) หากมีการใช้งานส่วนตัวปะปนอยู่ รายจ่ายส่วนนั้นจะถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม
  2. ต้องมีหลักฐานประกอบการลงบัญชีที่สมบูรณ์: เช่น ใบเสร็จรับเงิน, ใบกำกับภาษีเต็มรูป (สำหรับรายจ่ายที่ต้องการหักภาษีซื้อ), สัญญา, บันทึกการเดินทาง เป็นต้น (มาตรา 65 ตรี (13))
  3. ประเภทของรถยนต์มีผลอย่างมาก: กรมสรรพากรจะแยกพิจารณาระหว่าง รถยนต์นั่งส่วนบุคคล กับ รถยนต์บรรทุก/รถยนต์โดยสารสาธารณะ

ประเภทของรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ที่สามารถเบิกได้ (เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางภาษี)

จะแบ่งตามประเภทของรถยนต์และลักษณะของค่าใช้จ่าย:

A. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ “รถยนต์นั่งส่วนบุคคล” (ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์)

  • คำจำกัดความ (โดยทั่วไป): รถเก๋ง, รถกระบะ 4 ประตู หรือรถ SUV ที่มีที่นั่งเกิน 7 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง (เป็นไปตามคำนิยาม “รถยนต์นั่งส่วนบุคคล” ในกฎหมายรถยนต์ ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อย)
  1. ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (Depreciation):

    • หลักเกณฑ์: สามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาได้ในอัตราสูงสุด 20% ต่อปี ของมูลค่าต้นทุนรถยนต์
    • ข้อจำกัด: หากราคารถยนต์ เกิน 1,000,000 บาท จะสามารถนำมูลค่าต้นทุนไปหักค่าเสื่อมราคาได้เพียง 1,000,000 บาท เท่านั้น ส่วนที่เกินจะถือเป็น รายจ่ายต้องห้าม (มาตรา 65 ตรี (5) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 124)
      • ตัวอย่าง: ซื้อรถเก๋งราคา 1,500,000 บาท จะหักค่าเสื่อมราคาได้สูงสุด 1,000,000 บาท x 20% = 200,000 บาทต่อปี เท่านั้น ส่วนอีก 500,000 บาทที่เกิน 1 ล้านบาท ถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามตลอดไป
    • เอกสาร: สำเนาทะเบียนรถ, หลักฐานการซื้อ, หลักฐานการชำระเงิน
  2. ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel Cost):

    • หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากพิสูจน์ได้ว่าใช้เพื่อกิจการจริง
    • เอกสาร: ใบกำกับภาษี (กรณีเติมจากปั๊ม), ใบเสร็จรับเงิน
    • ภาษีซื้อ (VAT Input): สามารถนำภาษีซื้อในใบกำกับภาษีมาหักได้ เต็มจำนวน (กรณีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลนี้ จะหักภาษีซื้อได้เฉพาะในส่วนของค่าเชื้อเพลิงและค่าบำรุงรักษา ไม่ใช่ค่าซื้อรถยนต์)

ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล สามารถ เคลมภาษีซื้อ (Input VAT) ได้ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งเป็นประเด็นที่มักสร้างความสับสน เนื่องจากภาษีซื้อจากการ ซื้อหรือเช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล โดยตรงนั้น มักจะเป็นภาษีซื้อต้องห้าม

หลักการทั่วไปของภาษีซื้อสำหรับค่าน้ำมันรถยนต์นั่งส่วนบุคคล

โดยสรุป: สามารถเคลมภาษีซื้อได้ (ตามหลักการของตัวบทกฎหมาย)

โดยน้ำมันที่เต็มให้กับรถยนต์ที่จดทะเบียนในนามบริษัท และใช้เพื่อดำเนินงานของธุรกิจโดยตรง จึงจะสามารถเคลมภาษีซื้อได้ โดยต้องมีใบกำกับภาษีที่ถูกต้องและครบถ้วน ทั้งนี้หากเป็นน้ำมันที่ใช้ในรถส่วนตัว แม้จะมีการเดินทางเพื่องานของบริษัท ทางกรมสรรพากรถือว่า เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว จึงไม่สามารถเคลม VAT ได้

ภาพโดยรวมของปัญหา และวัตถุประสงค์ในแนวทางปฎิบัติจริง

ประเด็นเกี่ยวกับการขอคืนภาษีซื้อสำหรับค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์นั่งที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ซึ่งจดทะเบียนในนามบริษัท เป็นหนึ่งในข้อสงสัยที่พบบ่อยและมีความซับซ้อนสำหรับภาคธุรกิจในประเทศไทย

ความสับสนมักเกิดขึ้น เนื่องจากหลักเกณฑ์ทางภาษีที่แตกต่างกันระหว่างภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งกำหนดการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญสำหรับค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกัน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้มั่นใจว่ากิจการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีได้อย่างถูกต้องและสามารถวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รายงานฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอคำอธิบายที่ชัดเจนและอ้างอิงตามกฎหมายเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยจะวิเคราะห์จากบทบัญญัติในประมวลรัษฎากร ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง และข้อหารือของกรมสรรพากร เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ และเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ รายงานจะนำเสนอแนวปฏิบัติและข้อเสนอแนะเชิงรุก เพื่อช่วยให้บริษัทสามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันรถยนต์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และลดความเสี่ยงจากการตรวจสอบของกรมสรรพากร การให้คำแนะนำที่ครอบคลุมนี้จะช่วยอุดช่องว่างความรู้ที่พบบ่อย และมอบแนวทางที่เชื่อถือได้สำหรับการจัดการภาษีที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะขององค์กร

หลักการทั่วไปเกี่ยวกับภาษีซื้อค่าน้ำมันรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง

  • อธิบายหลักเกณฑ์ภาษีซื้อต้องห้ามสำหรับรถยนต์นั่ง

ภายใต้กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทย ภาษีซื้อที่เกิดจากค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์นั่งที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน โดยทั่วไปแล้ว ไม่สามารถนำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หรือที่เรียกว่า “ภาษีซื้อต้องห้าม” แม้ว่ารถยนต์ดังกล่าวจะจดทะเบียนในนามบริษัทและนำมาใช้เพื่อกิจการของบริษัทก็ตาม หลักการพื้นฐานนี้ได้รับการยืนยันอย่างสอดคล้องกันจากแหล่งข้อมูลหลายแห่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายภาษีที่มั่นคงและยาวนานของกรมสรรพากร

บทบัญญัติทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

การทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ภาษีซื้อต้องห้ามสำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง จำเป็นต้องอ้างอิงถึงบทบัญญัติทางกฎหมายที่สำคัญในประมวลรัษฎากรและประกาศอธิบดีกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นที่มาของหลักการดังกล่าว

  • มาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร

มาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นบทบัญญัติหลักที่ให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพากร โดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการกำหนดประเภทของภาษีซื้อที่ไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม. มาตรานี้ไม่ได้ระบุข้อห้ามโดยตรง แต่เป็น “บทบัญญัติให้อำนาจ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างลำดับชั้นของกฎหมายภาษีไทย ที่หลักการกว้างๆ ในประมวลรัษฎากรจะถูกขยายความและกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมโดยกฎระเบียบที่ออกโดยอธิบดีกรมสรรพากร โครงสร้างนี้ช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในการบริหารนโยบายภาษี และเป็นกลไกที่กรมสรรพากรใช้ในการกำหนดภาษีซื้อต้องห้ามสำหรับกรณีต่างๆ รวมถึงกรณีของรถยนต์นั่งด้วย

แม้ว่าตามมาตรา 82/5(6) แห่งประมวลรัษฎากร จะกำหนดให้ ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ เช่า หรือรับโอนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มิได้มีไว้เพื่อขาย หรือให้เช่า (สำหรับกิจการรถเช่า/แท็กซี่) เป็น ภาษีซื้อต้องห้าม แต่ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงถือเป็น รายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ไม่ใช่ต้นทุนของการได้มาซึ่งรถยนต์นั้นโดยตรง

ดังนั้น กรมสรรพากรได้วางหลักเกณฑ์ว่า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลสามารถนำภาษีซื้อมาหักได้ หากปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้:


เงื่อนไขและรายละเอียดในการเคลมภาษีซื้อค่าน้ำมันรถยนต์นั่งส่วนบุคคล

    1. ต้องเป็นการใช้งานเพื่อกิจการโดยตรง (Fully for Business Use):

      • รายละเอียด: นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด ค่าน้ำมันที่เคลมภาษีซื้อได้นั้น จะต้องใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการเท่านั้น ไม่ปะปนกับการใช้งานส่วนตัวของกรรมการ ผู้บริหาร หรือพนักงาน
      • การพิสูจน์:
        • สมุดบันทึกการใช้รถ (Logbook): ควรมีการจัดทำอย่างละเอียดและสม่ำเสมอ โดยระบุ:
          • วัน เดือน ปี และเวลาที่เดินทาง
          • สถานที่เริ่มต้นและสถานที่ปลายทาง
          • ระยะทาง (เลขไมล์เริ่มต้น-สิ้นสุด)
          • วัตถุประสงค์ของการเดินทาง (ต้องชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับงาน เช่น ติดต่อลูกค้า, ส่งสินค้า, ประชุม, ดูงาน)
          • ชื่อผู้ขับและชื่อผู้ร่วมเดินทาง (ถ้ามี)
          • ลายเซ็นผู้รับรองการเดินทาง (เช่น หัวหน้างาน หรือผู้บริหาร)
        • นโยบายการใช้รถยนต์บริษัท: ควรมีนโยบายที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนเกี่ยวกับระเบียบการใช้รถยนต์ของบริษัท และการเบิกค่าน้ำมัน เพื่อเป็นหลักฐานสนับสนุนการควบคุมภายใน
        • การตรวจสอบโดยสรรพากร: หากถูกตรวจสอบ สรรพากรจะดูว่าการใช้รถนั้นสอดคล้องกับลักษณะธุรกิจและรายได้ของบริษัทหรือไม่ เช่น หากบริษัททำธุรกิจให้คำปรึกษา แต่มีค่าน้ำมันจำนวนมหาศาล สรรพากรอาจขอหลักฐานเพิ่มเติม
    2. ต้องมี “ใบกำกับภาษีเต็มรูป” ที่ถูกต้องตามกฎหมาย:
      • รายละเอียด: ทุกครั้งที่เติมน้ำมัน จะต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปจากสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งจะต้องมีข้อมูลครบถ้วนดังนี้:
        • คำว่า “ใบกำกับภาษี” อย่างชัดเจน
        • ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (บริษัทของคุณ)
        • ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของสถานีบริการน้ำมัน/ผู้ขายสินค้า
        • เลขที่ใบกำกับภาษีและวัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี
        • ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้า (ระบุ “ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง” และปริมาณลิตร)
        • จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณแยกต่างหากจากราคาสินค้า
      • ข้อควรระวัง: ใบเสร็จรับเงินทั่วไป หรือใบกำกับภาษีอย่างย่อ ไม่สามารถนำมาเคลมภาษีซื้อได้
    3. ภาษีซื้อนั้นไม่เป็น “ภาษีซื้อต้องห้าม” ในกรณีอื่นๆ:
      • รายละเอียด: ต้องตรวจสอบว่าภาษีซื้อนั้นไม่เข้าข่ายภาษีซื้อต้องห้ามอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เช่น
        • ภาษีซื้อที่ไม่มีใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง
        • ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโดยตรง (ย้อนไปข้อ 1)
        • ภาษีซื้อที่เกิดจากการรับรองหรือบริการที่เกินกว่าที่กำหนด

ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2 (1) เป็นบทบัญญัติที่สำคัญที่สุดที่นำอำนาจตามมาตรา 82/5 (6) มาใช้บังคับโดยตรง โดยกำหนดให้ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ เช่าซื้อ เช่า หรือรับโอนรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต และภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือการรับบริการที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีซื้อต้องห้าม

วลีสำคัญในประกาศฉบับนี้คือ “ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือการรับบริการที่เกี่ยวข้อง” ซึ่งครอบคลุมถึงค่าน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างชัดเจน ทำให้ภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์ประเภทนี้ไม่สามารถนำมาหักได้ ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ 4 กรกฎาคม 2539 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลัง (เช่น โดยประกาศฉบับที่ 88 ซึ่งมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2542) เพื่อปรับปรุงข้อยกเว้นบางประการ การที่ประกาศนี้อ้างอิงถึง “กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต” เป็นรายละเอียดที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งหมายความว่าการจัดประเภทของรถยนต์และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องภายใต้กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดประเภทของรถยนต์ภายใต้กฎหมายภาษีสรรพสามิตด้วย ความเชื่อมโยงระหว่างกฎหมายภาษีที่แตกต่างกันนี้เป็นลักษณะที่ซับซ้อนของนโยบายภาษี ซึ่งกำหนดให้ภาคธุรกิจต้องทำความเข้าใจคำนิยามและการจัดประเภทของยานพาหนะตามกฎหมายหลายฉบับ เพื่อให้มั่นใจในการปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง

ตารางต่อไปนี้สรุปบทบัญญัติกฎหมายหลักและผลกระทบต่อภาษีซื้อ:

บทบัญญัติกฎหมาย

เนื้อหาสำคัญ

ผลกระทบต่อภาษีซื้อค่าน้ำมัน

แหล่งอ้างอิง

มาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร ให้อำนาจอธิบดีกำหนดภาษีซื้อต้องห้าม หลักการพื้นฐานสำหรับภาษีซื้อต้องห้าม ประมวลรัษฎากร
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2 (1) กำหนดให้ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ/เช่า/รับโอนรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง และสินค้า/บริการที่เกี่ยวข้อง เป็นภาษีซื้อต้องห้าม ค่าน้ำมันรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง เป็นภาษีซื้อต้องห้ามโดยตรง ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร

ข้อยกเว้นและกรณีพิเศษ

แม้ว่าหลักการทั่วไปจะระบุว่าภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่งเป็นภาษีซื้อต้องห้าม แต่ก็มีข้อยกเว้นและกรณีพิเศษที่สำคัญที่กิจการควรทราบ

กิจการที่ได้รับยกเว้น

ภาษีซื้อสำหรับรถยนต์นั่ง (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง) และสินค้า/บริการที่เกี่ยวข้อง (รวมถึงค่าน้ำมัน) สามารถนำมาหักได้ หากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มประกอบกิจการโดยตรงดังต่อไปนี้ : 

  1. กิจการขายรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน: สำหรับผู้ประกอบการที่ซื้อรถยนต์ดังกล่าวมาเพื่อขายโดยตรง
  2. กิจการให้บริการเช่ารถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน: สำหรับผู้ประกอบการที่ให้เช่ารถยนต์ดังกล่าวของตนเองโดยตรง
  3. กิจการรับประกันวินาศภัยสำหรับรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน: สำหรับผู้ประกอบการที่ให้บริการรับประกันภัยสำหรับรถยนต์ประเภทนี้

ข้อยกเว้นเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงเหตุผลเชิงนโยบายที่อยู่เบื้องหลังกฎหมาย กล่าวคือ ข้อห้ามภาษีซื้อมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการใช้ประโยชน์ส่วนตัวหรือการใช้ในลักษณะฟุ่มเฟือยในกิจการทั่วไป แต่จะยกเว้นให้กับธุรกิจที่มีการดำเนินงานหลักเกี่ยวข้องโดยตรงกับยานพาหนะประเภทนี้ การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญในการตีความเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษี

ความแตกต่างระหว่างรถยนต์นั่งและรถยนต์เชิงพาณิชย์

ข้อห้ามภาษีซื้อนี้มีผลบังคับใช้เฉพาะกับ “รถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน” ตามที่กำหนดโดยกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ซึ่งหมายความว่ารถยนต์เชิงพาณิชย์ เช่น รถกระบะ รถตู้ที่มีที่นั่งเกิน 10 คน หรือยานพาหนะอื่นๆ ที่จัดประเภทเป็นรถยนต์ที่ไม่ใช่รถยนต์นั่งภายใต้กฎหมายภาษีสรรพสามิต จะ ไม่อยู่ภายใต้ข้อห้ามนี้

กรณีรถกระบะและรถยนต์ประเภทอื่น

ภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับ รถกระบะ (Pickup Trucks) โดยทั่วไปแล้ว สามารถนำมาหักได้ โดยมีเงื่อนไขว่ารถนั้นต้องถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของบริษัทอย่างแท้จริง และมีเอกสารประกอบการใช้จ่ายที่ครบถ้วนและถูกต้อง การแยกแยะประเภทรถยนต์นี้เป็นสิ่งสำคัญและเป็นประเด็นที่กรมสรรพากรได้ให้ความชัดเจนไว้

ข้อหารือของกรมสรรพากร เลขที่ กค 0811/พ.02340 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นแนวปฏิบัติที่สำคัญที่ยืนยันหลักการนี้. ข้อหารือดังกล่าวระบุอย่างชัดเจนว่า รถกระบะไม่เข้าลักษณะเป็น “รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน” ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ดังนั้น ภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถกระบะจึงไม่เป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (3) หรือ (6) แห่งประมวลรัษฎากร. การตีความนี้ชี้ให้เห็นว่าการจัดประเภททางกฎหมายของยานพาหนะ (ซึ่งอ้างอิงตามกฎหมายภาษีสรรพสามิต) เป็นปัจจัยชี้ขาดในการพิจารณาการเคลมภาษีมูลค่าเพิ่มของค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งอาจแตกต่างจากการรับรู้ทั่วไปของคำว่า “รถยนต์นั่ง” ดังนั้น บริษัทควรตรวจสอบการจัดประเภทของยานพาหนะของตนอย่างรอบคอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดภาษี

ข้อหารือกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง

การทำความเข้าใจข้อหารือของกรมสรรพากรเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการตีความกฎหมายในสถานการณ์จริง และเป็นแนวปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการ

วิเคราะห์ข้อหารือที่ กค 0811/พ.02340 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2541

ข้อหารือนี้เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญและเป็นที่อ้างอิงบ่อยครั้งเกี่ยวกับภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์ของกิจการ

ข้อเท็จจริงโดยย่อ: บริษัทประกอบกิจการให้เช่าซื้อรถยนต์ พนักงานเก็บเงินของบริษัทจำเป็นต้องนำยานพาหนะส่วนตัวมาใช้ในการเก็บเงินค่าเช่าซื้อ ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะสเปซแคป จำนวน 12 คัน บริษัทมีระเบียบการจ่ายค่าน้ำมันในการเดินทางไปติดต่อลูกค้าของพนักงาน โดยพนักงานจะต้องจัดทำใบเบิกและรายงานการเดินทางในแต่ละครั้ง พร้อมทั้งมีใบเสร็จรับเงินค่าน้ำมันดีเซลที่ระบุชื่อของบริษัทและเลขทะเบียนรถยนต์ประกอบการเบิกด้วย

แนววินิจฉัยของกรมสรรพากร: กรมสรรพากรวินิจฉัยว่า รถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะสเปซแคปของพนักงานทั้ง 12 คันดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นรถยนต์กระบะตามพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ภาษีซื้อค่าน้ำมันดีเซลที่บริษัทจ่ายให้พนักงานตามระเบียบการจ่ายค่าน้ำมัน เฉพาะที่จ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ถือเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ และเป็นภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน จึงไม่ต้องห้ามไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตามมาตรา 82/5 (3) (6) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 4 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 17) และข้อ 2 (1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)

ข้อหารือนี้สร้างบรรทัดฐานที่สำคัญ โดยชี้ให้เห็นว่า ภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ใช้เพื่อกิจการของบริษัทนั้นสามารถนำมาหักได้ แม้ว่าจะเป็นรถของพนักงานที่นำมาใช้ในกิจการก็ตาม โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือต้องมีเอกสารประกอบที่ชัดเจนและพิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้เพื่อกิจการโดยเฉพาะ การที่ข้อหารือนี้เน้นย้ำถึงการใช้จ่าย “เพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ” และความสำคัญของเอกสารประกอบ เช่น ใบเบิกและรายงานการเดินทาง เป็นการตอกย้ำถึงหลักการทั่วไปของการหักค่าใช้จ่ายทางภาษีและการเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบ

ตารางต่อไปนี้สรุปข้อหารือของกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง:

เลขที่หนังสือ

วันที่

เรื่อง

ข้อเท็จจริงโดยย่อ

แนววินิจฉัย

แหล่งอ้างอิง

กค 0811/พ.02340 24 กุมภาพันธ์ 2541 ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการเครดิตภาษีซื้อค่าน้ำมันรถยนต์กระบะ บริษัทจ่ายค่าน้ำมันดีเซลให้พนักงานใช้รถกระบะส่วนตัวในการเก็บเงินค่าเช่าซื้อ โดยมีใบเบิก รายงานการเดินทาง และใบเสร็จระบุชื่อบริษัทและทะเบียนรถ ภาษีซื้อค่าน้ำมันดีเซลสำหรับรถกระบะดังกล่าว ไม่เป็นภาษีซื้อต้องห้าม เนื่องจากรถกระบะไม่เข้าลักษณะรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 คน และเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ข้อหารือกรมสรรพากร

การพิจารณาในส่วนของภาษีเงินได้นิติบุคคล

นอกเหนือจากภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว การพิจารณาค่าน้ำมันรถยนต์สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลก็เป็นสิ่งสำคัญที่กิจการต้องทำความเข้าใจ

การนำค่าน้ำมันไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ

แม้ว่าภาษีซื้อสำหรับค่าน้ำมันรถยนต์นั่ง (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง) จะเป็นภาษีซื้อต้องห้าม แต่ มูลค่าสุทธิของค่าน้ำมัน (คือจำนวนเงินทั้งหมดที่จ่ายไป รวมถึงส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่สามารถขอคืนได้) สามารถนำมาถือเป็นรายจ่ายที่หักได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล. หลักการนี้เป็นไปตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีซื้อที่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ 243) พ.ศ.2534  

เงื่อนไขสำคัญสำหรับการนำค่าใช้จ่ายใดๆ มาหักเป็นรายจ่ายทางภาษีเงินได้นิติบุคคลคือ ค่าใช้จ่ายนั้นต้องเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง “เพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ” และต้องมีเอกสารหลักฐานประกอบที่ครบถ้วนและถูกต้อง. การปฏิบัติทางภาษีที่แตกต่างกันนี้ชี้ให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันของภาษีแต่ละประเภท ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีการบริโภคที่อาจมีข้อจำกัดเพื่อป้องกันการใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลมุ่งเน้นที่การคำนวณกำไรสุทธิจากการดำเนินกิจการจริง ดังนั้น หากค่าใช้จ่ายนั้นจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ ก็สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้

ข้อจำกัดค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาสำหรับรถยนต์นั่ง

นอกเหนือจากประเด็นภาษีซื้อค่าน้ำมันแล้ว รถยนต์นั่ง (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง) ยังมีข้อจำกัดเพิ่มเติมในส่วนของภาษีเงินได้นิติบุคคลเกี่ยวกับค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา โดยกำหนดให้มูลค่าต้นทุนของรถยนต์ที่นำมาหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาได้นั้น ไม่เกินหนึ่งล้านบาท. ข้อจำกัดนี้เป็นไปตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ.2527 มาตรา 5 ข้อจำกัดนี้แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับค่าน้ำมัน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายที่สอดคล้องกันของกรมสรรพากรในการจำกัดประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่ง ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงหรือมีลักษณะฟุ่มเฟือย

แนวปฏิบัติและข้อควรระวังสำหรับบริษัท

เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทปฏิบัติตามกฎหมายภาษีได้อย่างถูกต้องและสามารถจัดการค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณาแนวปฏิบัติและข้อควรระวังดังต่อไปนี้

การจัดทำเอกสารและหลักฐานประกอบการเบิกจ่าย

การจัดทำเอกสารหลักฐานที่ละเอียดและครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ประเภทใด เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการหักเป็นรายจ่ายทางภาษีเงินได้นิติบุคคล และการเคลมภาษีซื้อ (ในกรณีที่สามารถเคลมได้) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการประเมินภาษีเพิ่มเติมจากการตรวจสอบของกรมสรรพากร

เอกสารสำคัญที่ต้องจัดเตรียมรวมถึง:

  • ใบกำกับภาษีเต็มรูป: เป็นเอกสารที่จำเป็นสำหรับการเคลมภาษีซื้อ และเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับค่าใช้จ่าย ต้องมีรายการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
  • เลขทะเบียนรถยนต์: ต้องระบุเลขทะเบียนรถยนต์ที่เติมน้ำมันไว้อย่างชัดเจนในใบกำกับภาษี
  • ชื่อบริษัท: ใบกำกับภาษีควรออกในนามของบริษัท
  • วัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่แท้จริง: ค่าใช้จ่ายต้องพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินกิจการที่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัท. การเน้นย้ำอย่างสม่ำเสมอถึงความสำคัญของเอกสารที่ครบถ้วนในแหล่งข้อมูลต่างๆ แสดงให้เห็นว่าภาระการพิสูจน์ตกอยู่กับผู้เสียภาษี การจัดทำเอกสารที่เหมาะสมจึงไม่ใช่เพียงแค่พิธีการ แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดความเสี่ยงจากการตรวจสอบ

ความสำคัญของการบันทึกการเดินทาง

การจัดทำบันทึกการเดินทางอย่างละเอียด (Travel Logs) สำหรับรถยนต์แต่ละคันของบริษัท และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์ส่วนตัวของพนักงานที่นำมาใช้ในกิจการ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สิ่งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่สามารถเคลมภาษีซื้อค่าน้ำมันได้ และสำหรับรถยนต์ทุกประเภทที่ค่าน้ำมันถูกบันทึกเป็นรายจ่ายทางภาษีเงินได้นิติบุคคล

บันทึกการเดินทางที่มีประสิทธิภาพควรประกอบด้วย: วันที่เดินทาง, วัตถุประสงค์ของการเดินทาง, สถานที่ปลายทาง, เลขไมล์เริ่มต้นและสิ้นสุด, และชื่อผู้ขับขี่. บันทึกเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหลักฐานสำคัญในระหว่างการตรวจสอบของกรมสรรพากร เพื่อแสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมายของการใช้ยานพาหนะ ซึ่งช่วยป้องกันการปฏิเสธการหักค่าใช้จ่าย. การที่กรมสรรพากรคาดหวังให้มีบันทึกการเดินทางที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่มากกว่าแค่ใบเสร็จรับเงิน เพื่อยืนยันความจำเป็นในการดำเนินงานของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ

ข้อควรระวังสำหรับภาษีซื้อที่เครดิตได้แต่ไม่นำไปใช้

มีข้อควรระวังที่สำคัญแต่ถูกมองข้ามบ่อยครั้งในระเบียบภาษี นั่นคือ หากภาษีซื้อสามารถนำมาหักได้ (เช่น ค่าน้ำมันของรถยนต์เชิงพาณิชย์ หรือกรณีที่ใบกำกับภาษีมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่สามารถแก้ไขได้ตามที่ระบุใน ) แต่บริษัทไม่ได้ นำไปหัก ภาษีซื้อในส่วนนั้นจะไม่สามารถนำมาถือเป็นรายจ่ายที่หักได้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้

ข้อกำหนดนี้เน้นย้ำถึง ความคาดหวังของกรมสรรพากรต่อความรอบคอบของผู้เสียภาษีและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างกระตือรือร้น การละเลยในการเคลมภาษีซื้อที่สามารถเคลมได้จะนำไปสู่การสูญเสียประโยชน์ทางภาษีโดยสิ้นเชิง (ทั้งการเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มและการหักเป็นรายจ่ายทางภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น) ดังนั้น บริษัทควรพัฒนากระบวนการที่แข็งแกร่งเพื่อให้มั่นใจว่าภาษีซื้อที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมดจะถูกเคลมอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียประโยชน์ทางภาษีโดยไม่จำเป็น

สรุปและข้อเสนอแนะ

  • สรุปประเด็นสำคัญ

โดยสรุปแล้ว ภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์นั่งที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ซึ่งจดทะเบียนในนามบริษัท โดยทั่วไปแล้ว ไม่สามารถนำมาหักได้ นี่เป็นไปตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2 (1) ซึ่งกำหนดให้ภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ประเภทนี้เป็นภาษีซื้อต้องห้าม อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องแยกแยะคือ แม้ภาษีซื้อจะไม่สามารถเคลมได้ แต่ ค่าใช้จ่ายค่าน้ำมัน (รวมถึงส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่สามารถขอคืนได้) สามารถนำมาถือเป็นรายจ่ายที่หักได้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้เพื่อกิจการโดยแท้จริง

ข้อยกเว้นที่สำคัญคือสำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์ เช่น รถกระบะ ซึ่งภาษีซื้อค่าน้ำมัน สามารถนำมาหักได้ ตามที่ยืนยันในข้อหารือของกรมสรรพากร การแยกแยะประเภทรถยนต์ตามกฎหมายภาษีสรรพสามิตจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาการเคลมภาษีซื้อ ท้ายที่สุด การจัดทำเอกสารที่ละเอียดถี่ถ้วน (เช่น ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบที่ระบุเลขทะเบียนรถและชื่อบริษัท) และการจัดทำบันทึกการเดินทางอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะทุกประเภท เพื่อสนับสนุนการหักค่าใช้จ่ายและป้องกันความเสี่ยงจากการตรวจสอบ

  • คำแนะนำเชิงปฏิบัติ

เพื่อให้บริษัทสามารถจัดการกับภาระภาษีที่เกี่ยวข้องกับค่าน้ำมันรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากการตรวจสอบ ขอเสนอคำแนะนำเชิงปฏิบัติ ดังนี้:

  1. ทบทวนการจัดประเภทรถยนต์: บริษัทควรดำเนินการทบทวนการจัดประเภทของยานพาหนะในกองรถของตนอย่างละเอียด (ว่าเป็นรถยนต์นั่งหรือรถยนต์เชิงพาณิชย์) โดยอ้างอิงตามคำนิยามภายใต้กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อให้สามารถกำหนดการเคลมภาษีซื้อค่าน้ำมันได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
  2. กำหนดและบังคับใช้นโยบายภายในที่เข้มงวด: ควรมีการกำหนดและบังคับใช้นโยบายภายในที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ยานพาหนะและการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งควรรวมถึงการจัดทำบันทึกการเดินทางภาคบังคับ ขั้นตอนการเบิกจ่ายที่ชัดเจนสำหรับรถยนต์ของพนักงาน และกระบวนการอนุมัติค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันทั้งหมดอย่างเป็นทางการ
  3. ฝึกอบรมบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ: แนะนำให้มีการฝึกอบรมและอัปเดตกฎระเบียบภาษีที่เกี่ยวข้องและข้อกำหนดด้านเอกสารให้กับพนักงานฝ่ายการเงิน บัญชี และฝ่ายปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ แนวทางเชิงรุกนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงจากการตรวจสอบ และทำให้มั่นใจว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์ทางภาษีที่พึงมีอย่างครบถ้วน
  4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี: สำหรับสถานการณ์ที่ซับซ้อน การจัดประเภทรถยนต์ที่คลุมเครือ หรือเมื่อมีข้อสงสัยในการตีความกฎระเบียบ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิบัติของบริษัทสอดคล้องกับกฎหมายและข้อหารือล่าสุดของกรมสรรพากร

ข้อแตกต่างสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ:

  • ภาษีซื้อจากการซื้อ/เช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล: เป็นภาษีซื้อต้องห้าม (โดยทั่วไป) เช่น ซื้อรถเก๋ง 1 ล้านบาท มี VAT 70,000 บาท VAT 70,000 บาทนี้หักไม่ได้
  • ภาษีซื้อจากค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล: สามารถหักได้ (หากเป็นไปตามเงื่อนไขการใช้งานเพื่อกิจการและมีใบกำกับภาษีเต็มรูป)

ตัวอย่างการปฏิบัติที่ดี:

  • กำหนดนโยบาย: มีนโยบายบริษัทที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้รถยนต์ของบริษัท และการเบิกค่าน้ำมัน รวมถึงกำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้ใช้งานและผู้ควบคุม
  • จัดทำสมุดบันทึก: ผู้ขับขี่ต้องบันทึกรายละเอียดการเดินทางในสมุดบันทึกการใช้รถทุกครั้ง และให้หัวหน้างาน/ผู้บริหารรับรอง
  • เก็บเอกสารให้ครบถ้วน: ใบกำกับภาษีค่าน้ำมันทุกใบต้องเก็บรักษาไว้อย่างดีและเป็นระบบ
  • ใช้บัตรเติมน้ำมัน/Fleet Card: บางบริษัทใช้บัตรเติมน้ำมันของบริษัทน้ำมัน (Fleet Card) ซึ่งจะช่วยรวมบิลและทำให้มีข้อมูลการใช้ย้อนหลังที่ชัดเจน แต่ก็ยังต้องมีหลักฐานว่าการใช้บัตรนั้นเพื่อกิจการ

สรุป:

ค่าน้ำมันของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลสามารถนำภาษีซื้อมาเคลมได้ ในตามทฤษฎีของตัวบทกฎหมานก็ตาม หากใช้เพื่อกิจการโดยตรง และมีใบกำกับภาษีเต็มรูปที่ถูกต้อง ซึ่งแตกต่างจากภาษีซื้อที่เกิดจากการได้มาซึ่งตัวรถยนต์นั่งส่วนบุคคลนั้น อย่างไรก็ตาม ภาระในการพิสูจน์การใช้งานเพื่อกิจการเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพียงพอ สรรพากรก็อาจปฏิเสธการเคลมภาษีซื้อนั้นได้ทันที ซึ่งจะมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับประเด็นความน่าเชื่อถือในการนำมาใช้เพื่อกิจการโดยตรงจริงหรือไม่ ในทางปฎิบัติอยู่เสมอ

ดังนั้น การบริหารจัดการและการจัดเก็บเอกสารอย่างละเอียดรอบคอบเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้กิจการได้รับประโยชน์ทางภาษีสูงสุดและลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบของกรมสรรพากร


      3.ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา (Maintenance & Repair):

    • หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากพิสูจน์ได้ว่าใช้เพื่อกิจการจริง
    • เอกสาร: ใบกำกับภาษี (จากศูนย์บริการ/อู่ซ่อมรถ), ใบเสร็จรับเงิน
    • ภาษีซื้อ (VAT Input): สามารถนำภาษีซื้อในใบกำกับภาษีมาหักได้ เต็มจำนวน

     4.ค่าเบี้ยประกันภัย (Insurance Premium):

    • หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากพิสูจน์ได้ว่าใช้เพื่อกิจการจริง
    • เอกสาร: ใบเสร็จรับเงินค่าเบี้ยประกัน

     5.ค่าภาษีรถยนต์ประจำปี/ค่าทะเบียน (Road Tax/Registration Fee):

    • หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากพิสูจน์ได้ว่าใช้เพื่อกิจการจริง
    • เอกสาร: ใบเสร็จรับเงินจากกรมขนส่งฯ

     6.ค่าที่จอดรถ/ค่าทางด่วน (Parking Fee/Toll Fee):

    • หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากพิสูจน์ได้ว่าใช้เพื่อกิจการจริง
    • เอกสาร: ใบเสร็จรับเงิน, สลิปบัตร Easy Pass (ควรมีรายละเอียดการใช้)

     7.เงินเดือนพนักงานขับรถ (Driver’s Salary):

    • หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากเป็นพนักงานของบริษัทที่ทำหน้าที่ขับรถเพื่อกิจการ
    • เอกสาร: หลักฐานการจ่ายเงินเดือน, สลิปเงินเดือน, รายชื่อพนักงานในประกันสังคม

     8.ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อรถยนต์ (Interest on Car Loan):

    • หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน โดยไม่มีการจำกัดมูลค่าแบบค่าเสื่อมราคา (ยกเว้นกรณีที่เงินกู้ยืมนั้นนำไปซื้อทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี)
    • เอกสาร: หนังสือรับรองการหักดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน
กรณี รถเป็นชื่อกรรมการ
กรณี รถเป็นชื่อกรรมการ
กรณี รถที่ไม่ได้เช่า
กรณี รถที่ไม่ได้เช่า
กรณี ซื้อรถในนามบริษัท
กรณี ซื้อรถในนามบริษัท

B. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ “รถยนต์บรรทุก” หรือ “รถยนต์โดยสารสาธารณะ”

  • คำจำกัดความ: รถกระบะ (2 ประตู), รถตู้ (ที่มีการปรับปรุงเป็นรถบรรทุกหรือรถขนส่งสินค้า), รถโดยสารประจำทาง, รถแท็กซี่, รถเช่า
  • หลักเกณฑ์: โดยทั่วไปแล้ว รายจ่ายทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์เหล่านี้ สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เต็มจำนวน และสามารถนำภาษีซื้อ (VAT Input) มาหักได้เต็มจำนวน เนื่องจากถือว่าเป็นรถยนต์ที่ใช้ในการประกอบกิจการโดยตรงและชัดเจน
  • ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา: ไม่มีข้อจำกัด 1 ล้านบาท สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้จากมูลค่าต้นทุนเต็มจำนวน (20% ต่อปี)
  • ภาษีซื้อ (VAT Input) จากการซื้อ/เช่ารถ: สามารถหักภาษีซื้อได้เต็มจำนวน (ต่างจากรถยนต์นั่งส่วนบุคคล)
  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ค่าน้ำมัน, ซ่อมบำรุง, ประกัน, ภาษีรถ, ที่จอดรถ, เงินเดือนคนขับ, ดอกเบี้ย): สามารถหักได้เต็มจำนวน และนำภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องมาหักได้เต็มจำนวน (หากมีใบกำกับภาษี)

ข้อควรระวังและประเด็นที่มักมีปัญหากับสรรพากร:

  1. การพิสูจน์การใช้งานเพื่อกิจการ (โดยเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคล):

    • ปัญหา: นี่คือจุดที่ถูกตรวจสอบมากที่สุด หากไม่มีหลักฐานชัดเจน สรรพากรอาจพิจารณาว่ารายจ่ายนั้นเป็นรายจ่ายส่วนตัวของกรรมการหรือผู้บริหาร (มาตรา 65 ตรี (1)) และบวกกลับ
    • แนวทางแก้ไข:
      • มีระเบียบหรือนโยบายการใช้รถยนต์ของบริษัทที่ชัดเจน
      • จัดทำ สมุดบันทึกการใช้รถ (Logbook) แสดงรายละเอียดการเดินทาง (วัน-เวลา, สถานที่เริ่มต้น-ปลายทาง, ระยะทาง, วัตถุประสงค์การเดินทาง) และผู้ใช้งาน เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นการเดินทางเพื่อกิจการ
      • หลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์ของบริษัทที่ออกในนามนิติบุคคลเพื่อการเดินทางส่วนตัวโดยเด็ดขาด
  2. ความสมบูรณ์ของเอกสาร:

    • ทุกรายจ่ายต้องมีใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
    • หากเป็นรายจ่ายที่ไม่มีใบเสร็จ (เช่น ค่าแท็กซี่บางกรณี) ควรทำ ใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงิน พร้อมระบุรายละเอียดและวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
  3. การตีความ “รถยนต์นั่งส่วนบุคคล” กับ “รถยนต์บรรทุก”:

    • บางครั้งรถกระบะบางประเภท โดยเฉพาะกระบะ 4 ประตู หรือรถ SUV ที่จดทะเบียนเป็น “รถยนต์นั่งส่วนบุคคล” มักจะถูกจำกัดการหักค่าเสื่อมราคาและภาษีซื้อจากการซื้อ/เช่ารถยนต์ แม้ว่าจะมีการใช้งานเพื่อขนของบ้างก็ตาม
    • ควรตรวจสอบประเภทการจดทะเบียนรถยนต์ในเล่มทะเบียนรถให้ชัดเจน
  4. การเช่ารถยนต์ (Operating Lease) vs. การซื้อรถยนต์:

    • การเช่าดำเนินงาน (Operating Lease): ค่าเช่าสามารถหักเป็นรายจ่ายได้เต็มจำนวน และภาษีซื้อสามารถหักได้เต็มจำนวน (แม้จะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล) เนื่องจากถือเป็นการเช่าบริการ ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สิน
    • ข้อควรระวัง: สรรพากรอาจพิจารณาเจตนา หากสัญญาเช่าดำเนินงานมีเงื่อนไขคล้ายกับการเช่าทางการเงิน (Financial Lease) ที่มีเจตนาให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในภายหลัง อาจมีการพิจารณาว่าเป็นสัญญาซื้อขาย และนำข้อจำกัดของรถยนต์นั่งมาใช้
รถยนต์นั่งสบาย มีที่นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง
รถยนต์นั่งสบาย มีที่นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง
รถยนต์ มีที่นั่งเกิน 10 ที่นั่ง
รถยนต์ มีที่นั่งเกิน 10 ที่นั่ง
ค่าน้ำมัน ค่าซ่อม ค่าเปลี่ยนยางของรถยนต์ บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้
ค่าน้ำมัน ค่าซ่อม ค่าเปลี่ยนยางของรถยนต์ บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้
รายจ่ายของรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง ไม่สามารถใช้ภาษีซื้อได้ แต่บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้ทั้งจำนวน
รายจ่ายของรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง ไม่สามารถใช้ภาษีซื้อได้ แต่บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายได้ทั้งจำนวน

การบริหารจัดการรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์เป็นส่วนสำคัญในการวางแผนภาษีของกิจการ การทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนและจัดเตรียมเอกสารหลักฐานให้รัดกุมจะช่วยให้กิจการได้รับประโยชน์ทางภาษีสูงสุดและหลีกเลี่ยงปัญหาในการตรวจสอบจากกรมสรรพากรได้ค่ะ

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่