รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเป็นประเด็นที่กรมสรรพากรให้ความสำคัญในการตรวจสอบอย่างมาก เนื่องจากมักมีการปะปนระหว่างการใช้งานส่วนตัวและการใช้งานเพื่อกิจการ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางภาษีอย่างเต็มที่และถูกต้องตามหลักกรมสรรพากร ต้องพิจารณาประเภทของรถยนต์และลักษณะของรายจ่ายอย่างละเอียดค่ะ
หลักการสำคัญในการหักรายจ่ายเกี่ยวกับรถยนต์
ก่อนลงรายละเอียดรายจ่ายแต่ละประเภท มีหลักการทั่วไปที่ต้องยึดถือ:
- ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการโดยตรง: ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะเท่านั้น (มาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร) หากมีการใช้งานส่วนตัวปะปนอยู่ รายจ่ายส่วนนั้นจะถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม
- ต้องมีหลักฐานประกอบการลงบัญชีที่สมบูรณ์: เช่น ใบเสร็จรับเงิน, ใบกำกับภาษีเต็มรูป (สำหรับรายจ่ายที่ต้องการหักภาษีซื้อ), สัญญา, บันทึกการเดินทาง เป็นต้น (มาตรา 65 ตรี (13))
- ประเภทของรถยนต์มีผลอย่างมาก: กรมสรรพากรจะแยกพิจารณาระหว่าง รถยนต์นั่งส่วนบุคคล กับ รถยนต์บรรทุก/รถยนต์โดยสารสาธารณะ
ประเภทของรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ที่สามารถเบิกได้ (เพื่อให้ได้รับประโยชน์ทางภาษี)
จะแบ่งตามประเภทของรถยนต์และลักษณะของค่าใช้จ่าย:
A. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ “รถยนต์นั่งส่วนบุคคล” (ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์)
- คำจำกัดความ (โดยทั่วไป): รถเก๋ง, รถกระบะ 4 ประตู หรือรถ SUV ที่มีที่นั่งเกิน 7 ที่นั่ง แต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง (เป็นไปตามคำนิยาม “รถยนต์นั่งส่วนบุคคล” ในกฎหมายรถยนต์ ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อย)
-
ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา (Depreciation):
- หลักเกณฑ์: สามารถหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาได้ในอัตราสูงสุด 20% ต่อปี ของมูลค่าต้นทุนรถยนต์
- ข้อจำกัด: หากราคารถยนต์ เกิน 1,000,000 บาท จะสามารถนำมูลค่าต้นทุนไปหักค่าเสื่อมราคาได้เพียง 1,000,000 บาท เท่านั้น ส่วนที่เกินจะถือเป็น รายจ่ายต้องห้าม (มาตรา 65 ตรี (5) ประกอบกฎกระทรวง ฉบับที่ 124)
- ตัวอย่าง: ซื้อรถเก๋งราคา 1,500,000 บาท จะหักค่าเสื่อมราคาได้สูงสุด 1,000,000 บาท x 20% = 200,000 บาทต่อปี เท่านั้น ส่วนอีก 500,000 บาทที่เกิน 1 ล้านบาท ถือเป็นรายจ่ายต้องห้ามตลอดไป
- เอกสาร: สำเนาทะเบียนรถ, หลักฐานการซื้อ, หลักฐานการชำระเงิน
-
ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel Cost):
- หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากพิสูจน์ได้ว่าใช้เพื่อกิจการจริง
- เอกสาร: ใบกำกับภาษี (กรณีเติมจากปั๊ม), ใบเสร็จรับเงิน
- ภาษีซื้อ (VAT Input): สามารถนำภาษีซื้อในใบกำกับภาษีมาหักได้ เต็มจำนวน (กรณีรถยนต์นั่งส่วนบุคคลนี้ จะหักภาษีซื้อได้เฉพาะในส่วนของค่าเชื้อเพลิงและค่าบำรุงรักษา ไม่ใช่ค่าซื้อรถยนต์)
ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล สามารถ เคลมภาษีซื้อ (Input VAT) ได้ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด ซึ่งเป็นประเด็นที่มักสร้างความสับสน เนื่องจากภาษีซื้อจากการ ซื้อหรือเช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล โดยตรงนั้น มักจะเป็นภาษีซื้อต้องห้าม
หลักการทั่วไปของภาษีซื้อสำหรับค่าน้ำมันรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
โดยสรุป: สามารถเคลมภาษีซื้อได้ (ตามหลักการของตัวบทกฎหมาย)
โดยน้ำมันที่เต็มให้กับรถยนต์ที่จดทะเบียนในนามบริษัท และใช้เพื่อดำเนินงานของธุรกิจโดยตรง จึงจะสามารถเคลมภาษีซื้อได้ โดยต้องมีใบกำกับภาษีที่ถูกต้องและครบถ้วน ทั้งนี้หากเป็นน้ำมันที่ใช้ในรถส่วนตัว แม้จะมีการเดินทางเพื่องานของบริษัท ทางกรมสรรพากรถือว่า เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว จึงไม่สามารถเคลม VAT ได้
ภาพโดยรวมของปัญหา และวัตถุประสงค์ในแนวทางปฎิบัติจริง
ประเด็นเกี่ยวกับการขอคืนภาษีซื้อสำหรับค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์นั่งที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ซึ่งจดทะเบียนในนามบริษัท เป็นหนึ่งในข้อสงสัยที่พบบ่อยและมีความซับซ้อนสำหรับภาคธุรกิจในประเทศไทย
ความสับสนมักเกิดขึ้น เนื่องจากหลักเกณฑ์ทางภาษีที่แตกต่างกันระหว่างภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งกำหนดการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญสำหรับค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกัน การทำความเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อให้มั่นใจว่ากิจการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีได้อย่างถูกต้องและสามารถวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รายงานฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอคำอธิบายที่ชัดเจนและอ้างอิงตามกฎหมายเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว โดยจะวิเคราะห์จากบทบัญญัติในประมวลรัษฎากร ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง และข้อหารือของกรมสรรพากร เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ และเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของภาคธุรกิจ นอกจากนี้ รายงานจะนำเสนอแนวปฏิบัติและข้อเสนอแนะเชิงรุก เพื่อช่วยให้บริษัทสามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันรถยนต์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และลดความเสี่ยงจากการตรวจสอบของกรมสรรพากร การให้คำแนะนำที่ครอบคลุมนี้จะช่วยอุดช่องว่างความรู้ที่พบบ่อย และมอบแนวทางที่เชื่อถือได้สำหรับการจัดการภาษีที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะขององค์กร
หลักการทั่วไปเกี่ยวกับภาษีซื้อค่าน้ำมันรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง
-
อธิบายหลักเกณฑ์ภาษีซื้อต้องห้ามสำหรับรถยนต์นั่ง
ภายใต้กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มของประเทศไทย ภาษีซื้อที่เกิดจากค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์นั่งที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน โดยทั่วไปแล้ว ไม่สามารถนำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หรือที่เรียกว่า “ภาษีซื้อต้องห้าม” แม้ว่ารถยนต์ดังกล่าวจะจดทะเบียนในนามบริษัทและนำมาใช้เพื่อกิจการของบริษัทก็ตาม หลักการพื้นฐานนี้ได้รับการยืนยันอย่างสอดคล้องกันจากแหล่งข้อมูลหลายแห่ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงนโยบายภาษีที่มั่นคงและยาวนานของกรมสรรพากร
การห้ามนำภาษีซื้อดังกล่าวมาหักไม่ได้จำกัดอยู่เพียง แค่การซื้อ เช่าซื้อ หรือเช่ารถยนต์นั่งเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึง “สินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง” กับรถยนต์ประเภทนี้ด้วย ซึ่งรวมถึงค่าน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างชัดเจน การกำหนดให้ภาษีซื้อค่าน้ำมันเป็นภาษีซื้อต้องห้ามนี้ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการจำกัดการนำภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่อาจมีการใช้ส่วนตัว หรือทรัพย์สินที่มีลักษณะฟุ่มเฟือยมาหักออกจากภาษีขาย แม้จะมีการนำไปใช้ในกิจการก็ตาม ความสอดคล้องของหลักเกณฑ์นี้ในแหล่งข้อมูลต่างๆ ยิ่งตอกย้ำถึงสถานะที่เป็นหลักการสำคัญในกฎหมายภาษีของไทย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับข้อสรุปหลักของรายงานฉบับนี้
บทบัญญัติทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
การทำความเข้าใจหลักเกณฑ์ภาษีซื้อต้องห้ามสำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง จำเป็นต้องอ้างอิงถึงบทบัญญัติทางกฎหมายที่สำคัญในประมวลรัษฎากรและประกาศอธิบดีกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นที่มาของหลักการดังกล่าว
-
มาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร
มาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร เป็นบทบัญญัติหลักที่ให้อำนาจอธิบดีกรมสรรพากร โดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในการกำหนดประเภทของภาษีซื้อที่ไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม. มาตรานี้ไม่ได้ระบุข้อห้ามโดยตรง แต่เป็น “บทบัญญัติให้อำนาจ” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างลำดับชั้นของกฎหมายภาษีไทย ที่หลักการกว้างๆ ในประมวลรัษฎากรจะถูกขยายความและกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมโดยกฎระเบียบที่ออกโดยอธิบดีกรมสรรพากร โครงสร้างนี้ช่วยให้เกิดความยืดหยุ่นในการบริหารนโยบายภาษี และเป็นกลไกที่กรมสรรพากรใช้ในการกำหนดภาษีซื้อต้องห้ามสำหรับกรณีต่างๆ รวมถึงกรณีของรถยนต์นั่งด้วย
แม้ว่าตามมาตรา 82/5(6) แห่งประมวลรัษฎากร จะกำหนดให้ ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ เช่า หรือรับโอนรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่มิได้มีไว้เพื่อขาย หรือให้เช่า (สำหรับกิจการรถเช่า/แท็กซี่) เป็น ภาษีซื้อต้องห้าม แต่ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงถือเป็น รายจ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน ไม่ใช่ต้นทุนของการได้มาซึ่งรถยนต์นั้นโดยตรง
ดังนั้น กรมสรรพากรได้วางหลักเกณฑ์ว่า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลสามารถนำภาษีซื้อมาหักได้ หากปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้:
เงื่อนไขและรายละเอียดในการเคลมภาษีซื้อค่าน้ำมันรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
-
-
ต้องเป็นการใช้งานเพื่อกิจการโดยตรง (Fully for Business Use):
- รายละเอียด: นี่คือหัวใจสำคัญที่สุด ค่าน้ำมันที่เคลมภาษีซื้อได้นั้น จะต้องใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการเท่านั้น ไม่ปะปนกับการใช้งานส่วนตัวของกรรมการ ผู้บริหาร หรือพนักงาน
- การพิสูจน์:
- สมุดบันทึกการใช้รถ (Logbook): ควรมีการจัดทำอย่างละเอียดและสม่ำเสมอ โดยระบุ:
- วัน เดือน ปี และเวลาที่เดินทาง
- สถานที่เริ่มต้นและสถานที่ปลายทาง
- ระยะทาง (เลขไมล์เริ่มต้น-สิ้นสุด)
- วัตถุประสงค์ของการเดินทาง (ต้องชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับงาน เช่น ติดต่อลูกค้า, ส่งสินค้า, ประชุม, ดูงาน)
- ชื่อผู้ขับและชื่อผู้ร่วมเดินทาง (ถ้ามี)
- ลายเซ็นผู้รับรองการเดินทาง (เช่น หัวหน้างาน หรือผู้บริหาร)
- นโยบายการใช้รถยนต์บริษัท: ควรมีนโยบายที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนเกี่ยวกับระเบียบการใช้รถยนต์ของบริษัท และการเบิกค่าน้ำมัน เพื่อเป็นหลักฐานสนับสนุนการควบคุมภายใน
- การตรวจสอบโดยสรรพากร: หากถูกตรวจสอบ สรรพากรจะดูว่าการใช้รถนั้นสอดคล้องกับลักษณะธุรกิจและรายได้ของบริษัทหรือไม่ เช่น หากบริษัททำธุรกิจให้คำปรึกษา แต่มีค่าน้ำมันจำนวนมหาศาล สรรพากรอาจขอหลักฐานเพิ่มเติม
- สมุดบันทึกการใช้รถ (Logbook): ควรมีการจัดทำอย่างละเอียดและสม่ำเสมอ โดยระบุ:
- ต้องมี “ใบกำกับภาษีเต็มรูป” ที่ถูกต้องตามกฎหมาย:
- รายละเอียด: ทุกครั้งที่เติมน้ำมัน จะต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปจากสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งจะต้องมีข้อมูลครบถ้วนดังนี้:
- คำว่า “ใบกำกับภาษี” อย่างชัดเจน
- ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (บริษัทของคุณ)
- ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของสถานีบริการน้ำมัน/ผู้ขายสินค้า
- เลขที่ใบกำกับภาษีและวัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี
- ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้า (ระบุ “ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง” และปริมาณลิตร)
- จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณแยกต่างหากจากราคาสินค้า
- ข้อควรระวัง: ใบเสร็จรับเงินทั่วไป หรือใบกำกับภาษีอย่างย่อ ไม่สามารถนำมาเคลมภาษีซื้อได้
- รายละเอียด: ทุกครั้งที่เติมน้ำมัน จะต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปจากสถานีบริการน้ำมัน ซึ่งจะต้องมีข้อมูลครบถ้วนดังนี้:
- ภาษีซื้อนั้นไม่เป็น “ภาษีซื้อต้องห้าม” ในกรณีอื่นๆ:
- รายละเอียด: ต้องตรวจสอบว่าภาษีซื้อนั้นไม่เข้าข่ายภาษีซื้อต้องห้ามอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เช่น
- ภาษีซื้อที่ไม่มีใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง
- ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโดยตรง (ย้อนไปข้อ 1)
- ภาษีซื้อที่เกิดจากการรับรองหรือบริการที่เกินกว่าที่กำหนด
- รายละเอียด: ต้องตรวจสอบว่าภาษีซื้อนั้นไม่เข้าข่ายภาษีซื้อต้องห้ามอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากเรื่องรถยนต์นั่งส่วนบุคคล เช่น
-
-
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2 (1)
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2 (1) เป็นบทบัญญัติที่สำคัญที่สุดที่นำอำนาจตามมาตรา 82/5 (6) มาใช้บังคับโดยตรง โดยกำหนดให้ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ เช่าซื้อ เช่า หรือรับโอนรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต และภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือการรับบริการที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เป็นภาษีซื้อต้องห้าม
วลีสำคัญในประกาศฉบับนี้คือ “ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือการรับบริการที่เกี่ยวข้อง” ซึ่งครอบคลุมถึงค่าน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างชัดเจน ทำให้ภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์ประเภทนี้ไม่สามารถนำมาหักได้ ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ 4 กรกฎาคม 2539 และมีการแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลัง (เช่น โดยประกาศฉบับที่ 88 ซึ่งมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2542) เพื่อปรับปรุงข้อยกเว้นบางประการ การที่ประกาศนี้อ้างอิงถึง “กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต” เป็นรายละเอียดที่สำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งหมายความว่าการจัดประเภทของรถยนต์และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องภายใต้กฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ขึ้นอยู่กับการจัดประเภทของรถยนต์ภายใต้กฎหมายภาษีสรรพสามิตด้วย ความเชื่อมโยงระหว่างกฎหมายภาษีที่แตกต่างกันนี้เป็นลักษณะที่ซับซ้อนของนโยบายภาษี ซึ่งกำหนดให้ภาคธุรกิจต้องทำความเข้าใจคำนิยามและการจัดประเภทของยานพาหนะตามกฎหมายหลายฉบับ เพื่อให้มั่นใจในการปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
ตารางต่อไปนี้สรุปบทบัญญัติกฎหมายหลักและผลกระทบต่อภาษีซื้อ:
บทบัญญัติกฎหมาย |
เนื้อหาสำคัญ |
ผลกระทบต่อภาษีซื้อค่าน้ำมัน |
แหล่งอ้างอิง |
| มาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร | ให้อำนาจอธิบดีกำหนดภาษีซื้อต้องห้าม | หลักการพื้นฐานสำหรับภาษีซื้อต้องห้าม | ประมวลรัษฎากร |
| ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2 (1) | กำหนดให้ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ/เช่า/รับโอนรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง และสินค้า/บริการที่เกี่ยวข้อง เป็นภาษีซื้อต้องห้าม | ค่าน้ำมันรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่ง เป็นภาษีซื้อต้องห้ามโดยตรง | ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร |
ข้อยกเว้นและกรณีพิเศษ
แม้ว่าหลักการทั่วไปจะระบุว่าภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 ที่นั่งเป็นภาษีซื้อต้องห้าม แต่ก็มีข้อยกเว้นและกรณีพิเศษที่สำคัญที่กิจการควรทราบ
กิจการที่ได้รับยกเว้น
ภาษีซื้อสำหรับรถยนต์นั่ง (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง) และสินค้า/บริการที่เกี่ยวข้อง (รวมถึงค่าน้ำมัน) สามารถนำมาหักได้ หากผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มประกอบกิจการโดยตรงดังต่อไปนี้ :
- กิจการขายรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน: สำหรับผู้ประกอบการที่ซื้อรถยนต์ดังกล่าวมาเพื่อขายโดยตรง
- กิจการให้บริการเช่ารถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน: สำหรับผู้ประกอบการที่ให้เช่ารถยนต์ดังกล่าวของตนเองโดยตรง
- กิจการรับประกันวินาศภัยสำหรับรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน: สำหรับผู้ประกอบการที่ให้บริการรับประกันภัยสำหรับรถยนต์ประเภทนี้
ข้อยกเว้นเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงเหตุผลเชิงนโยบายที่อยู่เบื้องหลังกฎหมาย กล่าวคือ ข้อห้ามภาษีซื้อมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการใช้ประโยชน์ส่วนตัวหรือการใช้ในลักษณะฟุ่มเฟือยในกิจการทั่วไป แต่จะยกเว้นให้กับธุรกิจที่มีการดำเนินงานหลักเกี่ยวข้องโดยตรงกับยานพาหนะประเภทนี้ การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญในการตีความเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษี
ความแตกต่างระหว่างรถยนต์นั่งและรถยนต์เชิงพาณิชย์
ข้อห้ามภาษีซื้อนี้มีผลบังคับใช้เฉพาะกับ “รถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน” ตามที่กำหนดโดยกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ซึ่งหมายความว่ารถยนต์เชิงพาณิชย์ เช่น รถกระบะ รถตู้ที่มีที่นั่งเกิน 10 คน หรือยานพาหนะอื่นๆ ที่จัดประเภทเป็นรถยนต์ที่ไม่ใช่รถยนต์นั่งภายใต้กฎหมายภาษีสรรพสามิต จะ ไม่อยู่ภายใต้ข้อห้ามนี้
กรณีรถกระบะและรถยนต์ประเภทอื่น
ภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับ รถกระบะ (Pickup Trucks) โดยทั่วไปแล้ว สามารถนำมาหักได้ โดยมีเงื่อนไขว่ารถนั้นต้องถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของบริษัทอย่างแท้จริง และมีเอกสารประกอบการใช้จ่ายที่ครบถ้วนและถูกต้อง การแยกแยะประเภทรถยนต์นี้เป็นสิ่งสำคัญและเป็นประเด็นที่กรมสรรพากรได้ให้ความชัดเจนไว้
ข้อหารือของกรมสรรพากร เลขที่ กค 0811/พ.02340 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2541 เป็นแนวปฏิบัติที่สำคัญที่ยืนยันหลักการนี้. ข้อหารือดังกล่าวระบุอย่างชัดเจนว่า รถกระบะไม่เข้าลักษณะเป็น “รถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน” ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ดังนั้น ภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถกระบะจึงไม่เป็นภาษีซื้อต้องห้ามตามมาตรา 82/5 (3) หรือ (6) แห่งประมวลรัษฎากร. การตีความนี้ชี้ให้เห็นว่าการจัดประเภททางกฎหมายของยานพาหนะ (ซึ่งอ้างอิงตามกฎหมายภาษีสรรพสามิต) เป็นปัจจัยชี้ขาดในการพิจารณาการเคลมภาษีมูลค่าเพิ่มของค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งอาจแตกต่างจากการรับรู้ทั่วไปของคำว่า “รถยนต์นั่ง” ดังนั้น บริษัทควรตรวจสอบการจัดประเภทของยานพาหนะของตนอย่างรอบคอบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดภาษี
ข้อหารือกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง
การทำความเข้าใจข้อหารือของกรมสรรพากรเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการตีความกฎหมายในสถานการณ์จริง และเป็นแนวปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการ
วิเคราะห์ข้อหารือที่ กค 0811/พ.02340 ลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2541
ข้อหารือนี้เป็นกรณีศึกษาที่สำคัญและเป็นที่อ้างอิงบ่อยครั้งเกี่ยวกับภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์ของกิจการ
ข้อเท็จจริงโดยย่อ: บริษัทประกอบกิจการให้เช่าซื้อรถยนต์ พนักงานเก็บเงินของบริษัทจำเป็นต้องนำยานพาหนะส่วนตัวมาใช้ในการเก็บเงินค่าเช่าซื้อ ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะสเปซแคป จำนวน 12 คัน บริษัทมีระเบียบการจ่ายค่าน้ำมันในการเดินทางไปติดต่อลูกค้าของพนักงาน โดยพนักงานจะต้องจัดทำใบเบิกและรายงานการเดินทางในแต่ละครั้ง พร้อมทั้งมีใบเสร็จรับเงินค่าน้ำมันดีเซลที่ระบุชื่อของบริษัทและเลขทะเบียนรถยนต์ประกอบการเบิกด้วย
แนววินิจฉัยของกรมสรรพากร: กรมสรรพากรวินิจฉัยว่า รถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะสเปซแคปของพนักงานทั้ง 12 คันดังกล่าว เข้าลักษณะเป็นรถยนต์กระบะตามพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ภาษีซื้อค่าน้ำมันดีเซลที่บริษัทจ่ายให้พนักงานตามระเบียบการจ่ายค่าน้ำมัน เฉพาะที่จ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ ถือเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ และเป็นภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน จึงไม่ต้องห้ามไม่ให้นำมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/3 แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ ตามมาตรา 82/5 (3) (6) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 4 ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 17) และข้อ 2 (1) ของประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42)
ข้อหารือนี้สร้างบรรทัดฐานที่สำคัญ โดยชี้ให้เห็นว่า ภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ใช้เพื่อกิจการของบริษัทนั้นสามารถนำมาหักได้ แม้ว่าจะเป็นรถของพนักงานที่นำมาใช้ในกิจการก็ตาม โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือต้องมีเอกสารประกอบที่ชัดเจนและพิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้เพื่อกิจการโดยเฉพาะ การที่ข้อหารือนี้เน้นย้ำถึงการใช้จ่าย “เพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ” และความสำคัญของเอกสารประกอบ เช่น ใบเบิกและรายงานการเดินทาง เป็นการตอกย้ำถึงหลักการทั่วไปของการหักค่าใช้จ่ายทางภาษีและการเตรียมพร้อมสำหรับการตรวจสอบ
ตารางต่อไปนี้สรุปข้อหารือของกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง:
เลขที่หนังสือ |
วันที่ |
เรื่อง |
ข้อเท็จจริงโดยย่อ |
แนววินิจฉัย |
แหล่งอ้างอิง |
| กค 0811/พ.02340 | 24 กุมภาพันธ์ 2541 | ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการเครดิตภาษีซื้อค่าน้ำมันรถยนต์กระบะ | บริษัทจ่ายค่าน้ำมันดีเซลให้พนักงานใช้รถกระบะส่วนตัวในการเก็บเงินค่าเช่าซื้อ โดยมีใบเบิก รายงานการเดินทาง และใบเสร็จระบุชื่อบริษัทและทะเบียนรถ | ภาษีซื้อค่าน้ำมันดีเซลสำหรับรถกระบะดังกล่าว ไม่เป็นภาษีซื้อต้องห้าม เนื่องจากรถกระบะไม่เข้าลักษณะรถยนต์นั่งไม่เกิน 10 คน และเป็นรายจ่ายเพื่อกิจการโดยเฉพาะ | ข้อหารือกรมสรรพากร |
การพิจารณาในส่วนของภาษีเงินได้นิติบุคคล
นอกเหนือจากภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว การพิจารณาค่าน้ำมันรถยนต์สำหรับภาษีเงินได้นิติบุคคลก็เป็นสิ่งสำคัญที่กิจการต้องทำความเข้าใจ
การนำค่าน้ำมันไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ
แม้ว่าภาษีซื้อสำหรับค่าน้ำมันรถยนต์นั่ง (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง) จะเป็นภาษีซื้อต้องห้าม แต่ มูลค่าสุทธิของค่าน้ำมัน (คือจำนวนเงินทั้งหมดที่จ่ายไป รวมถึงส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่สามารถขอคืนได้) สามารถนำมาถือเป็นรายจ่ายที่หักได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล. หลักการนี้เป็นไปตามมาตรา 65 ตรี (6 ทวิ) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีซื้อที่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ 243) พ.ศ.2534
เงื่อนไขสำคัญสำหรับการนำค่าใช้จ่ายใดๆ มาหักเป็นรายจ่ายทางภาษีเงินได้นิติบุคคลคือ ค่าใช้จ่ายนั้นต้องเป็นรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง “เพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ” และต้องมีเอกสารหลักฐานประกอบที่ครบถ้วนและถูกต้อง. การปฏิบัติทางภาษีที่แตกต่างกันนี้ชี้ให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันของภาษีแต่ละประเภท ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นภาษีการบริโภคที่อาจมีข้อจำกัดเพื่อป้องกันการใช้ประโยชน์ที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลมุ่งเน้นที่การคำนวณกำไรสุทธิจากการดำเนินกิจการจริง ดังนั้น หากค่าใช้จ่ายนั้นจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ ก็สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้
ข้อจำกัดค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาสำหรับรถยนต์นั่ง
นอกเหนือจากประเด็นภาษีซื้อค่าน้ำมันแล้ว รถยนต์นั่ง (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง) ยังมีข้อจำกัดเพิ่มเติมในส่วนของภาษีเงินได้นิติบุคคลเกี่ยวกับค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา โดยกำหนดให้มูลค่าต้นทุนของรถยนต์ที่นำมาหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาได้นั้น ไม่เกินหนึ่งล้านบาท. ข้อจำกัดนี้เป็นไปตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 145) พ.ศ.2527 มาตรา 5 ข้อจำกัดนี้แม้จะไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับค่าน้ำมัน แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงนโยบายที่สอดคล้องกันของกรมสรรพากรในการจำกัดประโยชน์ทางภาษีที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่ง ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงหรือมีลักษณะฟุ่มเฟือย
แนวปฏิบัติและข้อควรระวังสำหรับบริษัท
เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทปฏิบัติตามกฎหมายภาษีได้อย่างถูกต้องและสามารถจัดการค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรพิจารณาแนวปฏิบัติและข้อควรระวังดังต่อไปนี้
การจัดทำเอกสารและหลักฐานประกอบการเบิกจ่าย
การจัดทำเอกสารหลักฐานที่ละเอียดและครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ประเภทใด เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการหักเป็นรายจ่ายทางภาษีเงินได้นิติบุคคล และการเคลมภาษีซื้อ (ในกรณีที่สามารถเคลมได้) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการประเมินภาษีเพิ่มเติมจากการตรวจสอบของกรมสรรพากร
เอกสารสำคัญที่ต้องจัดเตรียมรวมถึง:
- ใบกำกับภาษีเต็มรูป: เป็นเอกสารที่จำเป็นสำหรับการเคลมภาษีซื้อ และเป็นหลักฐานสำคัญสำหรับค่าใช้จ่าย ต้องมีรายการครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
- เลขทะเบียนรถยนต์: ต้องระบุเลขทะเบียนรถยนต์ที่เติมน้ำมันไว้อย่างชัดเจนในใบกำกับภาษี
- ชื่อบริษัท: ใบกำกับภาษีควรออกในนามของบริษัท
- วัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่แท้จริง: ค่าใช้จ่ายต้องพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำเนินกิจการที่ก่อให้เกิดรายได้ของบริษัท. การเน้นย้ำอย่างสม่ำเสมอถึงความสำคัญของเอกสารที่ครบถ้วนในแหล่งข้อมูลต่างๆ แสดงให้เห็นว่าภาระการพิสูจน์ตกอยู่กับผู้เสียภาษี การจัดทำเอกสารที่เหมาะสมจึงไม่ใช่เพียงแค่พิธีการ แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดความเสี่ยงจากการตรวจสอบ
ความสำคัญของการบันทึกการเดินทาง
การจัดทำบันทึกการเดินทางอย่างละเอียด (Travel Logs) สำหรับรถยนต์แต่ละคันของบริษัท และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรถยนต์ส่วนตัวของพนักงานที่นำมาใช้ในกิจการ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สิ่งนี้มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่สามารถเคลมภาษีซื้อค่าน้ำมันได้ และสำหรับรถยนต์ทุกประเภทที่ค่าน้ำมันถูกบันทึกเป็นรายจ่ายทางภาษีเงินได้นิติบุคคล
บันทึกการเดินทางที่มีประสิทธิภาพควรประกอบด้วย: วันที่เดินทาง, วัตถุประสงค์ของการเดินทาง, สถานที่ปลายทาง, เลขไมล์เริ่มต้นและสิ้นสุด, และชื่อผู้ขับขี่. บันทึกเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหลักฐานสำคัญในระหว่างการตรวจสอบของกรมสรรพากร เพื่อแสดงให้เห็นถึงวัตถุประสงค์ทางธุรกิจที่ชอบด้วยกฎหมายของการใช้ยานพาหนะ ซึ่งช่วยป้องกันการปฏิเสธการหักค่าใช้จ่าย. การที่กรมสรรพากรคาดหวังให้มีบันทึกการเดินทางที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่มากกว่าแค่ใบเสร็จรับเงิน เพื่อยืนยันความจำเป็นในการดำเนินงานของค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะ
ข้อควรระวังสำหรับภาษีซื้อที่เครดิตได้แต่ไม่นำไปใช้
มีข้อควรระวังที่สำคัญแต่ถูกมองข้ามบ่อยครั้งในระเบียบภาษี นั่นคือ หากภาษีซื้อสามารถนำมาหักได้ (เช่น ค่าน้ำมันของรถยนต์เชิงพาณิชย์ หรือกรณีที่ใบกำกับภาษีมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยที่สามารถแก้ไขได้ตามที่ระบุใน ) แต่บริษัทไม่ได้ นำไปหัก ภาษีซื้อในส่วนนั้นจะไม่สามารถนำมาถือเป็นรายจ่ายที่หักได้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
ข้อกำหนดนี้เน้นย้ำถึง ความคาดหวังของกรมสรรพากรต่อความรอบคอบของผู้เสียภาษีและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างกระตือรือร้น การละเลยในการเคลมภาษีซื้อที่สามารถเคลมได้จะนำไปสู่การสูญเสียประโยชน์ทางภาษีโดยสิ้นเชิง (ทั้งการเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มและการหักเป็นรายจ่ายทางภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น) ดังนั้น บริษัทควรพัฒนากระบวนการที่แข็งแกร่งเพื่อให้มั่นใจว่าภาษีซื้อที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมดจะถูกเคลมอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียประโยชน์ทางภาษีโดยไม่จำเป็น
สรุปและข้อเสนอแนะ
-
สรุปประเด็นสำคัญ
โดยสรุปแล้ว ภาษีซื้อค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์นั่งที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ซึ่งจดทะเบียนในนามบริษัท โดยทั่วไปแล้ว ไม่สามารถนำมาหักได้ นี่เป็นไปตามมาตรา 82/5 (6) แห่งประมวลรัษฎากร และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 42) ข้อ 2 (1) ซึ่งกำหนดให้ภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ประเภทนี้เป็นภาษีซื้อต้องห้าม อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องแยกแยะคือ แม้ภาษีซื้อจะไม่สามารถเคลมได้ แต่ ค่าใช้จ่ายค่าน้ำมัน (รวมถึงส่วนของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ไม่สามารถขอคืนได้) สามารถนำมาถือเป็นรายจ่ายที่หักได้ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้เพื่อกิจการโดยแท้จริง
ข้อยกเว้นที่สำคัญคือสำหรับรถยนต์เชิงพาณิชย์ เช่น รถกระบะ ซึ่งภาษีซื้อค่าน้ำมัน สามารถนำมาหักได้ ตามที่ยืนยันในข้อหารือของกรมสรรพากร การแยกแยะประเภทรถยนต์ตามกฎหมายภาษีสรรพสามิตจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการพิจารณาการเคลมภาษีซื้อ ท้ายที่สุด การจัดทำเอกสารที่ละเอียดถี่ถ้วน (เช่น ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบที่ระบุเลขทะเบียนรถและชื่อบริษัท) และการจัดทำบันทึกการเดินทางอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับยานพาหนะทุกประเภท เพื่อสนับสนุนการหักค่าใช้จ่ายและป้องกันความเสี่ยงจากการตรวจสอบ
-
คำแนะนำเชิงปฏิบัติ
เพื่อให้บริษัทสามารถจัดการกับภาระภาษีที่เกี่ยวข้องกับค่าน้ำมันรถยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงจากการตรวจสอบ ขอเสนอคำแนะนำเชิงปฏิบัติ ดังนี้:
- ทบทวนการจัดประเภทรถยนต์: บริษัทควรดำเนินการทบทวนการจัดประเภทของยานพาหนะในกองรถของตนอย่างละเอียด (ว่าเป็นรถยนต์นั่งหรือรถยนต์เชิงพาณิชย์) โดยอ้างอิงตามคำนิยามภายใต้กฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อให้สามารถกำหนดการเคลมภาษีซื้อค่าน้ำมันได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
- กำหนดและบังคับใช้นโยบายภายในที่เข้มงวด: ควรมีการกำหนดและบังคับใช้นโยบายภายในที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้ยานพาหนะและการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งควรรวมถึงการจัดทำบันทึกการเดินทางภาคบังคับ ขั้นตอนการเบิกจ่ายที่ชัดเจนสำหรับรถยนต์ของพนักงาน และกระบวนการอนุมัติค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันทั้งหมดอย่างเป็นทางการ
- ฝึกอบรมบุคลากรอย่างสม่ำเสมอ: แนะนำให้มีการฝึกอบรมและอัปเดตกฎระเบียบภาษีที่เกี่ยวข้องและข้อกำหนดด้านเอกสารให้กับพนักงานฝ่ายการเงิน บัญชี และฝ่ายปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ แนวทางเชิงรุกนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามกฎหมาย ลดความเสี่ยงจากการตรวจสอบ และทำให้มั่นใจว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์ทางภาษีที่พึงมีอย่างครบถ้วน
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี: สำหรับสถานการณ์ที่ซับซ้อน การจัดประเภทรถยนต์ที่คลุมเครือ หรือเมื่อมีข้อสงสัยในการตีความกฎระเบียบ ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อให้มั่นใจว่าการปฏิบัติของบริษัทสอดคล้องกับกฎหมายและข้อหารือล่าสุดของกรมสรรพากร
ข้อแตกต่างสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ:
- ภาษีซื้อจากการซื้อ/เช่ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล: เป็นภาษีซื้อต้องห้าม (โดยทั่วไป) เช่น ซื้อรถเก๋ง 1 ล้านบาท มี VAT 70,000 บาท VAT 70,000 บาทนี้หักไม่ได้
- ภาษีซื้อจากค่าน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล: สามารถหักได้ (หากเป็นไปตามเงื่อนไขการใช้งานเพื่อกิจการและมีใบกำกับภาษีเต็มรูป)
ตัวอย่างการปฏิบัติที่ดี:
- กำหนดนโยบาย: มีนโยบายบริษัทที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้รถยนต์ของบริษัท และการเบิกค่าน้ำมัน รวมถึงกำหนดบทบาทหน้าที่ของผู้ใช้งานและผู้ควบคุม
- จัดทำสมุดบันทึก: ผู้ขับขี่ต้องบันทึกรายละเอียดการเดินทางในสมุดบันทึกการใช้รถทุกครั้ง และให้หัวหน้างาน/ผู้บริหารรับรอง
- เก็บเอกสารให้ครบถ้วน: ใบกำกับภาษีค่าน้ำมันทุกใบต้องเก็บรักษาไว้อย่างดีและเป็นระบบ
- ใช้บัตรเติมน้ำมัน/Fleet Card: บางบริษัทใช้บัตรเติมน้ำมันของบริษัทน้ำมัน (Fleet Card) ซึ่งจะช่วยรวมบิลและทำให้มีข้อมูลการใช้ย้อนหลังที่ชัดเจน แต่ก็ยังต้องมีหลักฐานว่าการใช้บัตรนั้นเพื่อกิจการ
สรุป:
ค่าน้ำมันของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลสามารถนำภาษีซื้อมาเคลมได้ ในตามทฤษฎีของตัวบทกฎหมานก็ตาม หากใช้เพื่อกิจการโดยตรง และมีใบกำกับภาษีเต็มรูปที่ถูกต้อง ซึ่งแตกต่างจากภาษีซื้อที่เกิดจากการได้มาซึ่งตัวรถยนต์นั่งส่วนบุคคลนั้น อย่างไรก็ตาม ภาระในการพิสูจน์การใช้งานเพื่อกิจการเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หากไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพียงพอ สรรพากรก็อาจปฏิเสธการเคลมภาษีซื้อนั้นได้ทันที ซึ่งจะมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับประเด็นความน่าเชื่อถือในการนำมาใช้เพื่อกิจการโดยตรงจริงหรือไม่ ในทางปฎิบัติอยู่เสมอ
ดังนั้น การบริหารจัดการและการจัดเก็บเอกสารอย่างละเอียดรอบคอบเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้กิจการได้รับประโยชน์ทางภาษีสูงสุดและลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบของกรมสรรพากร
3.ค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษา (Maintenance & Repair):
-
- หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากพิสูจน์ได้ว่าใช้เพื่อกิจการจริง
- เอกสาร: ใบกำกับภาษี (จากศูนย์บริการ/อู่ซ่อมรถ), ใบเสร็จรับเงิน
- ภาษีซื้อ (VAT Input): สามารถนำภาษีซื้อในใบกำกับภาษีมาหักได้ เต็มจำนวน
4.ค่าเบี้ยประกันภัย (Insurance Premium):
-
- หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากพิสูจน์ได้ว่าใช้เพื่อกิจการจริง
- เอกสาร: ใบเสร็จรับเงินค่าเบี้ยประกัน
5.ค่าภาษีรถยนต์ประจำปี/ค่าทะเบียน (Road Tax/Registration Fee):
-
- หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากพิสูจน์ได้ว่าใช้เพื่อกิจการจริง
- เอกสาร: ใบเสร็จรับเงินจากกรมขนส่งฯ
6.ค่าที่จอดรถ/ค่าทางด่วน (Parking Fee/Toll Fee):
-
- หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากพิสูจน์ได้ว่าใช้เพื่อกิจการจริง
- เอกสาร: ใบเสร็จรับเงิน, สลิปบัตร Easy Pass (ควรมีรายละเอียดการใช้)
7.เงินเดือนพนักงานขับรถ (Driver’s Salary):
-
- หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน หากเป็นพนักงานของบริษัทที่ทำหน้าที่ขับรถเพื่อกิจการ
- เอกสาร: หลักฐานการจ่ายเงินเดือน, สลิปเงินเดือน, รายชื่อพนักงานในประกันสังคม
8.ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อรถยนต์ (Interest on Car Loan):
-
- หลักเกณฑ์: หักเป็นรายจ่ายได้ เต็มจำนวน โดยไม่มีการจำกัดมูลค่าแบบค่าเสื่อมราคา (ยกเว้นกรณีที่เงินกู้ยืมนั้นนำไปซื้อทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี)
- เอกสาร: หนังสือรับรองการหักดอกเบี้ยจากสถาบันการเงิน



B. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ “รถยนต์บรรทุก” หรือ “รถยนต์โดยสารสาธารณะ”
- คำจำกัดความ: รถกระบะ (2 ประตู), รถตู้ (ที่มีการปรับปรุงเป็นรถบรรทุกหรือรถขนส่งสินค้า), รถโดยสารประจำทาง, รถแท็กซี่, รถเช่า
- หลักเกณฑ์: โดยทั่วไปแล้ว รายจ่ายทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์เหล่านี้ สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้เต็มจำนวน และสามารถนำภาษีซื้อ (VAT Input) มาหักได้เต็มจำนวน เนื่องจากถือว่าเป็นรถยนต์ที่ใช้ในการประกอบกิจการโดยตรงและชัดเจน
- ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคา: ไม่มีข้อจำกัด 1 ล้านบาท สามารถหักค่าเสื่อมราคาได้จากมูลค่าต้นทุนเต็มจำนวน (20% ต่อปี)
- ภาษีซื้อ (VAT Input) จากการซื้อ/เช่ารถ: สามารถหักภาษีซื้อได้เต็มจำนวน (ต่างจากรถยนต์นั่งส่วนบุคคล)
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ค่าน้ำมัน, ซ่อมบำรุง, ประกัน, ภาษีรถ, ที่จอดรถ, เงินเดือนคนขับ, ดอกเบี้ย): สามารถหักได้เต็มจำนวน และนำภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องมาหักได้เต็มจำนวน (หากมีใบกำกับภาษี)
ข้อควรระวังและประเด็นที่มักมีปัญหากับสรรพากร:
-
การพิสูจน์การใช้งานเพื่อกิจการ (โดยเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคล):
- ปัญหา: นี่คือจุดที่ถูกตรวจสอบมากที่สุด หากไม่มีหลักฐานชัดเจน สรรพากรอาจพิจารณาว่ารายจ่ายนั้นเป็นรายจ่ายส่วนตัวของกรรมการหรือผู้บริหาร (มาตรา 65 ตรี (1)) และบวกกลับ
- แนวทางแก้ไข:
- มีระเบียบหรือนโยบายการใช้รถยนต์ของบริษัทที่ชัดเจน
- จัดทำ สมุดบันทึกการใช้รถ (Logbook) แสดงรายละเอียดการเดินทาง (วัน-เวลา, สถานที่เริ่มต้น-ปลายทาง, ระยะทาง, วัตถุประสงค์การเดินทาง) และผู้ใช้งาน เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นการเดินทางเพื่อกิจการ
- หลีกเลี่ยงการใช้รถยนต์ของบริษัทที่ออกในนามนิติบุคคลเพื่อการเดินทางส่วนตัวโดยเด็ดขาด
-
ความสมบูรณ์ของเอกสาร:
- ทุกรายจ่ายต้องมีใบเสร็จรับเงินหรือใบกำกับภาษีที่ถูกต้องตามกฎหมาย และเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
- หากเป็นรายจ่ายที่ไม่มีใบเสร็จ (เช่น ค่าแท็กซี่บางกรณี) ควรทำ ใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงิน พร้อมระบุรายละเอียดและวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน
-
การตีความ “รถยนต์นั่งส่วนบุคคล” กับ “รถยนต์บรรทุก”:
- บางครั้งรถกระบะบางประเภท โดยเฉพาะกระบะ 4 ประตู หรือรถ SUV ที่จดทะเบียนเป็น “รถยนต์นั่งส่วนบุคคล” มักจะถูกจำกัดการหักค่าเสื่อมราคาและภาษีซื้อจากการซื้อ/เช่ารถยนต์ แม้ว่าจะมีการใช้งานเพื่อขนของบ้างก็ตาม
- ควรตรวจสอบประเภทการจดทะเบียนรถยนต์ในเล่มทะเบียนรถให้ชัดเจน
-
การเช่ารถยนต์ (Operating Lease) vs. การซื้อรถยนต์:
- การเช่าดำเนินงาน (Operating Lease): ค่าเช่าสามารถหักเป็นรายจ่ายได้เต็มจำนวน และภาษีซื้อสามารถหักได้เต็มจำนวน (แม้จะเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล) เนื่องจากถือเป็นการเช่าบริการ ไม่ใช่การซื้อทรัพย์สิน
- ข้อควรระวัง: สรรพากรอาจพิจารณาเจตนา หากสัญญาเช่าดำเนินงานมีเงื่อนไขคล้ายกับการเช่าทางการเงิน (Financial Lease) ที่มีเจตนาให้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในภายหลัง อาจมีการพิจารณาว่าเป็นสัญญาซื้อขาย และนำข้อจำกัดของรถยนต์นั่งมาใช้




การบริหารจัดการรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์เป็นส่วนสำคัญในการวางแผนภาษีของกิจการ การทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนและจัดเตรียมเอกสารหลักฐานให้รัดกุมจะช่วยให้กิจการได้รับประโยชน์ทางภาษีสูงสุดและหลีกเลี่ยงปัญหาในการตรวจสอบจากกรมสรรพากรได้ค่ะ
ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax








