ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT) ในประเทศไทยมีอัตราปกติอยู่ที่ร้อยละ 7 (ซึ่งเป็นอัตราที่ลดลงจากร้อยละ 10 ตามกฎหมายกำหนดชั่วคราว) อย่างไรก็ตาม มีกรณีพิเศษที่กฎหมายกำหนดให้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มใน อัตรา “ร้อยละ 0” (Zero Rate VAT) ซึ่งแตกต่างจากการ “ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม” อย่างมีนัยสำคัญ
ความแตกต่างระหว่าง “อัตราภาษีร้อยละ 0” กับ “การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม”
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจความแตกต่างที่สำคัญนี้:
- อัตราภาษีร้อยละ 0 (Zero Rate VAT):
- เสียภาษี: ถือว่ายังคงอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ใช้อัตราภาษี 0%
- สิทธิภาษีซื้อ: ผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบ Zero Rate VAT มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อ ที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจการนั้นได้
- ออกใบกำกับภาษี: ต้องออกใบกำกับภาษี โดยระบุอัตรา 0%
- การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Exemption):
- ไม่เสียภาษี: ถือว่าอยู่นอกระบบภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับธุรกรรมนั้นๆ
- สิทธิภาษีซื้อ: ผู้ประกอบการที่ได้รับยกเว้นภาษี ไม่มีสิทธิขอคืนภาษีซื้อ ที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับกิจการที่ได้รับยกเว้นนั้น (ภาษีซื้อกลายเป็นต้นทุน)
- ออกใบกำกับภาษี: ไม่ต้องออกใบกำกับภาษีสำหรับธุรกรรมที่ได้รับยกเว้น (แต่อาจออกใบเสร็จรับเงินธรรมดา)
กิจการหรือบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา “ร้อยละ 0” มีแบบไหนบ้าง?
ตามมาตรา 80/1 แห่งประมวลรัษฎากร และกฎกระทรวงฉบับต่างๆ กำหนดให้กิจการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ได้แก่:
1.การส่งออกสินค้า:
-
- การนำสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร ถือเป็นการส่งออกสินค้า และผู้ส่งออกจะได้รับสิทธิเสีย VAT 0%
- เงื่อนไข: ต้องมีหลักฐานการส่งออกที่ชัดเจน เช่น ใบขนสินค้าขาออก, ใบตราส่งสินค้า (Bill of Lading), Air Waybill
- ความสำคัญ: ช่วยให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกได้ โดยไม่ต้องบวกภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไป
2.การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักร และได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ (บริการส่งออก):
-
- เป็นบริการที่ต้นทางเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ปลายทางหรือผู้รับประโยชน์จากบริการนั้นอยู่ในต่างประเทศ
- ตัวอย่าง:
- บริการให้คำปรึกษาแก่บริษัทในต่างประเทศ (ที่ไม่ได้ประกอบกิจการในไทย)
- บริการโฆษณาที่เผยแพร่ในต่างประเทศ
- บริการวิจัยและพัฒนาที่ผลลัพธ์นำไปใช้ในต่างประเทศ
- บริการซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้หลักคือลูกค้าในต่างประเทศ
- บริการซ่อมเครื่องบินหรือเรือที่ออกไปนอกราชอาณาจักร
- เงื่อนไข: ผู้รับบริการต้องเป็นผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักร และมีการนำผลของบริการนั้นไปใช้ในต่างประเทศจริง
3.การให้บริการขนส่งระหว่างประเทศโดยอากาศยานหรือเรือเดินทะเล:
-
- เฉพาะการให้บริการขนส่งผู้โดยสารหรือสินค้าระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ
- เงื่อนไข: ต้องเป็นผู้ประกอบการที่ประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการเดินอากาศ หรือกฎหมายว่าด้วยการเดินเรือไทย
- ตัวอย่าง: สายการบินที่ขนส่งผู้โดยสารจากกรุงเทพฯ ไปปารีส, บริษัทเรือเดินสมุทรที่ขนส่งสินค้าจากแหลมฉบังไปจีน
4.การขายสินค้าหรือการให้บริการแก่ส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจ ตามโครงการเงินกู้หรือเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ:
-
- ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
- เป็นโครงการที่มักมีข้อตกลงระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้/เงินช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
5.การขายสินค้าหรือการให้บริการให้แก่องค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ หรือสถานทูต สถานทำการกงสุล:
-
- สำหรับสินค้าหรือบริการที่นำไปใช้ในกิจกรรมอันเป็นทางการ
- เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศ
6.การขายสินค้าหรือการให้บริการระหว่างคลังสินค้าทัณฑ์บนกับคลังสินค้าทัณฑ์บน หรือระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการที่ประกอบกิจการอยู่ในเขตปลอดอากร (Free Zone):
-
- สินค้าหรือบริการที่ซื้อขายกันภายในเขตปลอดอากร (เช่น เขตปลอดอากรของนิคมอุตสาหกรรม, เขตปลอดอากรของการท่าเรือ) หรือระหว่างคลังสินค้าทัณฑ์บน
- วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการส่งออก โดยไม่ให้มีภาระภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นภายในเขตพิเศษนี้ ก่อนที่สินค้าจะถูกนำเข้าสู่ระบบภาษีปกติเมื่อออกจากเขตปลอดอากร หรือถูกส่งออกไป


ความสำคัญของ VAT Zero Rate 0% สำหรับธุรกิจ
- ลดภาระทางการเงิน: ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีซื้อได้ ทำให้ไม่ต้องแบกรับต้นทุนภาษีที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตหรือจัดหาสินค้า/บริการ
- ส่งเสริมการส่งออก: ช่วยให้สินค้าและบริการของไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ด้วยราคาที่ไม่มี VAT บวกเพิ่ม
- เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: ทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถเสนอราคาได้ต่ำลงเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากประเทศอื่นที่อาจไม่มีกลไกภาษีในลักษณะนี้
ผู้ประกอบการที่มีรายได้ที่เข้าข่ายเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 จะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ตามปกติ แต่จะระบุยอดขายเป็นอัตรา 0% และสามารถขอคืนภาษีซื้อที่เกิดขึ้นได้
การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง VAT 0% และการยกเว้น VAT เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารจัดการภาษีของธุรกิจ เพื่อให้ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างเต็มที่และถูกต้องตามกฎหมายค่ะ

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax








