5 เทคนิควางแผนธุรกิจแบบมือโปร ลดภาษีได้จริง ถูกกฎหมาย 100%

1. วางแผนแบ่งเงินเดือน / โบนัสกรรมการให้เหมาะสม

การวางแผนภาษีโดยการแบ่งจ่ายเงินเดือนหรือโบนัสกรรมการอย่างเหมาะสม เป็นกลยุทธ์ที่หลายบริษัทนิยมใช้เพื่อช่วยประหยัดภาษีทั้งในส่วนของบริษัทเองและกรรมการด้วย อย่างไรก็ตาม การวางแผนนี้ต้องทำอย่างรัดกุมและโปร่งใส เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและไม่เข้าข่ายการหลีกเลี่ยงภาษีโดยมิชอบ

หลักการสำคัญ คือ การใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีที่แตกต่างกัน ระหว่าง ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ที่บริษัทต้องเสียจากกำไร) และ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ที่กรรมการต้องเสียจากเงินเดือน/โบนัส) รวมถึงการพิจารณา ค่าใช้จ่ายที่หักได้ และ ค่าลดหย่อน ต่างๆ


แนวคิดหลักในการวางแผนภาษี

  1. ประโยชน์จากการหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท:
    • เงินเดือนและโบนัสที่จ่ายให้กรรมการ ถือเป็น ค่าใช้จ่ายของบริษัท ซึ่งสามารถนำมาหักออกจากรายได้เพื่อคำนวณกำไรสุทธิของบริษัทได้โดยไม่มีข้อจำกัด (ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดว่าต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกิจการและสมเหตุสมผล)
    • การจ่ายเงินเดือน/โบนัสเพิ่มขึ้น จะทำให้ กำไรของบริษัทลดลง และส่งผลให้ ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัทต้องเสียลดลง
  2. การพิจารณาอัตราภาษี:
    • ภาษีเงินได้นิติบุคคล: อัตราทั่วไปคือ 20% แต่สำหรับ SME (ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท) จะมีอัตราพิเศษที่ต่ำกว่า (เช่น 0% สำหรับกำไร 0-300,000 บาท, 15% สำหรับ 300,001-3,000,000 บาท)
    • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: เป็นอัตราก้าวหน้า ตั้งแต่ 0% ถึง 35% ยิ่งมีเงินได้สุทธิสูง อัตราภาษียิ่งสูงขึ้น

วิธีการวางแผนการจ่ายเงินเดือน/โบนัสกรรมการให้เหมาะสม

การวางแผนจะขึ้นอยู่กับว่าบริษัทต้องการประหยัดภาษีในส่วนใดมากกว่า และโครงสร้างรายได้ของกรรมการเป็นอย่างไร

1. เปรียบเทียบอัตราภาษี: บริษัท vs. กรรมการ

  • กรณีบริษัทเป็น SME และกำไรไม่สูงมาก (อยู่ในช่วงอัตราภาษีต่ำ 0-15%):
    • หากบริษัทมีกำไรอยู่ในช่วงที่เสียภาษี 0% หรือ 15% การนำกำไรส่วนนี้ไปจ่ายเป็นเงินเดือน/โบนัสให้กรรมการ อาจทำให้กรรมการต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงกว่า (เช่น 20% ขึ้นไป) หากกรรมการมีรายได้รวมสูง
    • ข้อแนะนำ: อาจไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินเดือน/โบนัสกรรมการในจำนวนที่สูงเกินไป เพื่อรักษากำไรไว้ในบริษัทให้เสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า หรือได้รับยกเว้น
  • กรณีบริษัทมีกำไรสูง (ต้องเสียภาษี 20%):
    • หากบริษัทมีกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีในอัตรา 20% การนำกำไรส่วนนี้ไปจ่ายเป็นเงินเดือน/โบนัสให้กรรมการ จะเป็นการโยกเงินออกจากบริษัท
    • ข้อแนะนำ: พิจารณาจ่ายเงินเดือน/โบนัสกรรมการในจำนวนที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงอัตราภาษีของกรรมการ
      • หากกรรมการมีรายได้รวมไม่สูงมาก (เสียภาษีไม่เกิน 20%): การจ่ายเงินเดือน/โบนัสให้กรรมการเพิ่มขึ้น เพื่อลดกำไรบริษัท จะช่วยประหยัดภาษีรวมได้
      • หากกรรมการมีรายได้รวมสูงมาก (เสียภาษี 25-35%): การจ่ายเงินเดือน/โบนัสจำนวนมากอาจทำให้กรรมการเสียภาษีในอัตราที่สูงมาก ซึ่งอาจไม่คุ้มค่า การรักษากำไรบางส่วนไว้ในบริษัท (แม้จะเสีย 20%) อาจดีกว่า หรือพิจารณาการจ่ายปันผลแทน (ซึ่งมีภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% แต่กรรมการไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีอีก)

2. พิจารณาค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนของกรรมการ

  • กรรมการแต่ละคนมีค่าใช้จ่ายส่วนตัว (หักได้ 50% ไม่เกิน 100,000 บาท) และค่าลดหย่อนต่างๆ (เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว, คู่สมรส, บุตร, ประกันชีวิต, ดอกเบี้ยบ้าน, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ RMF/SSF)
  • การจ่ายเงินเดือน/โบนัสให้กรรมการที่ยังสามารถใช้สิทธิค่าลดหย่อนได้เต็มที่ จะช่วยลดภาระภาษีบุคคลธรรมดาของกรรมการลงได้
  • คำแนะนำ: คำนวณรายได้สุทธิของกรรมการหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน เพื่อดูว่าเงินได้ส่วนเกินอยู่ในขั้นอัตราภาษีเท่าไร และปรับการจ่ายให้เหมาะสม

3. การจ่ายโบนัส/เงินเดือนตามความเป็นจริงและสมเหตุผล

  • สิ่งสำคัญที่สุดคือ การจ่ายเงินเดือนและโบนัสกรรมการจะต้อง สมเหตุสมผล (Reasonable) และ เป็นไปตามการทำงานจริง (Actual Service)
  • ความสมเหตุสมผล: เทียบกับอัตราเงินเดือนในตลาดสำหรับตำแหน่งและหน้าที่ความรับผิดชอบที่คล้ายกัน หากจ่ายสูงเกินไปโดยไม่มีเหตุผล กรมสรรพากรอาจพิจารณาว่าไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่แท้จริงและไม่ให้หักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้
  • เอกสารหลักฐาน: ต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินที่ชัดเจน เช่น สลิปเงินเดือน, บัญชีโอนเงิน, ใบหักภาษี ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.1) และมีการนำส่งประกันสังคม (หากเป็นพนักงาน)

4. ตัวอย่างการวางแผน (แนวคิดโดยย่อ):

สมมติบริษัท A เป็น SME มีกำไรก่อนหักเงินเดือนกรรมการ 4,000,000 บาท และมีกรรมการ 1 คน ที่มีค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท และประกันชีวิต 100,000 บาท (รวม 160,000 บาท)

  • ทางเลือก 1: จ่ายเงินเดือนกรรมการน้อย (เช่น 500,000 บาท)
    • บริษัท: กำไรเหลือ 3,500,000 บาท เสียภาษี 15% (สำหรับ 2.7 ล้านบาทแรก) + 20% (ส่วนที่เกิน 3 ล้านบาท)
    • กรรมการ: เงินได้ 500,000 บาท หักค่าใช้จ่าย 50% (50,000 บาท) เหลือ 450,000 บาท หักลดหย่อน 160,000 บาท เหลือเงินได้สุทธิ 290,000 บาท (อยู่ในช่วงภาษี 5%)
  • ทางเลือก 2: จ่ายเงินเดือนกรรมการสูงขึ้น (เช่น 3,000,000 บาท)
    • บริษัท: กำไรเหลือ 1,000,000 บาท เสียภาษี 15%
    • กรรมการ: เงินได้ 3,000,000 บาท หักค่าใช้จ่าย 50% (100,000 บาท) เหลือ 2,900,000 บาท หักลดหย่อน 160,000 บาท เหลือเงินได้สุทธิ 2,740,000 บาท (อยู่ในช่วงภาษี 25-30%)

จากการคำนวณเบื้องต้น (ซึ่งซับซ้อนกว่านี้มากในการวางแผนจริง) จะเห็นว่าการโยกเงินไปที่ใด จะส่งผลต่อภาระภาษีรวมทั้งบริษัทและกรรมการ และจะต้องหาจุดสมดุลที่เหมาะสม


ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรจ่ายเงินเดือน/โบนัสที่สูงเกินจริง: หากกรมสรรพากรตรวจสอบพบว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล (เช่น จ่ายเงินเดือนกรรมการสูงกว่า CEO ของบริษัทใหญ่ๆ โดยไม่มีเหตุผลรองรับ) อาจถูกปัดเป็นรายจ่ายต้องห้าม ทำให้บริษัทต้องเสียภาษีเพิ่ม และกรรมการก็ยังคงต้องเสียภาษีจากเงินได้นั้น
  • มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน: การทำบัญชีและการยื่นภาษีต้องถูกต้องตามหลักเกณฑ์ มีมติการประชุม มีสัญญาจ้าง มีสลิปเงินเดือน มีการนำส่ง ภ.ง.ด.1 และประกันสังคม
  • การวางแผนภาษีต้องไม่เข้าข่ายการหลีกเลี่ยงภาษีโดยมิชอบ: ต้องทำภายใต้กรอบของกฎหมายอย่างโปร่งใสและสมเหตุสมผล

สรุป

การวางแผนภาษีด้วยการแบ่งเงินเดือน/โบนัสกรรมการให้เหมาะสม เป็นเทคนิคที่ใช้ได้จริง แต่ต้องอาศัยการคำนวณที่รอบคอบ การทำความเข้าใจอัตราภาษีของทั้งบริษัทและกรรมการ รวมถึงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างเคร่งครัด แนะนำอย่างยิ่งให้ปรึกษาผู้ทำบัญชี หรือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อให้การวางแผนเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุด

2. วางแผนผ่านทางสวัดิการ โดยการใช้ประกันชีวิตบุคคลสำคัญ (Keyman Insurance)

การวางแผนภาษีโดยใช้ ประกันชีวิตบุคคลสำคัญ (Keyman Insurance) ผ่านช่องทางสวัสดิการ เป็นกลยุทธ์ที่บริษัทนิยมใช้เพื่อบริหารความเสี่ยงและสร้างประโยชน์ทางภาษีไปพร้อมกัน โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่มีกรรมการหรือผู้บริหารคนสำคัญที่มีส่วนสำคัญต่อการสร้างรายได้และผลกำไรของบริษัท


ประกันชีวิตบุคคลสำคัญ (Keyman Insurance) คืออะไร?

ประกันชีวิตบุคคลสำคัญ คือ กรมธรรม์ประกันชีวิตที่บริษัทเป็นผู้เอาประกันภัย (Policyholder) และเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกัน โดยมีบุคคลสำคัญของบริษัท (เช่น กรรมการ ผู้บริหารระดับสูง บุคคลที่มีทักษะเฉพาะตัว) เป็นผู้ถูกเอาประกันภัย และ บริษัทเป็นผู้รับประโยชน์

วัตถุประสงค์หลัก: เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงินของบริษัท หากบุคคลสำคัญนั้นเสียชีวิต ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง หรือเจ็บป่วยร้ายแรง ทำให้บริษัทขาดรายได้ ขาดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ หรือต้องใช้เงินจำนวนมากในการสรรหาและฝึกอบรมผู้มาแทน

การวางแผนภาษีผ่านสวัสดิการด้วย Keyman Insurance ทำได้อย่างไร?

การวางแผนภาษีในบริบทนี้จะมุ่งเน้นไปที่การลดภาระภาษีของ บริษัท และในบางกรณีอาจรวมถึงประโยชน์ทางภาษีของ กรรมการ ด้วย โดยพิจารณาจาก:

1. การหักค่าเบี้ยประกันเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท (ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล)

  • หลักการ: หากบริษัทเป็นผู้เอาประกันภัยและเป็นผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิตบุคคลสำคัญ กรมสรรพากรจะพิจารณาว่าค่าเบี้ยประกันชีวิตที่บริษัทจ่ายไปนั้น เป็น ค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและสมควรแก่การดำเนินกิจการ (ตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร)
  • เงื่อนไข:
    • บริษัทต้องเป็นผู้เอาประกันภัยและเป็นผู้รับประโยชน์: หมายความว่า หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บริษัทจะได้รับเงินสินไหมทดแทน ไม่ใช่กรรมการหรือทายาทของกรรมการโดยตรง
    • เบี้ยประกันต้องสมเหตุสมผล: จำนวนเบี้ยประกันที่จ่ายต้องมีความสมเหตุสมผลกับมูลค่าของบุคคลสำคัญที่มีต่อกิจการ และเทียบเคียงได้กับค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกันในธุรกิจ
    • วัตถุประสงค์ชัดเจน: ต้องมีหลักฐานหรือมติที่ประชุมกรรมการที่แสดงให้เห็นว่าวัตถุประสงค์ของการทำประกันคือเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงของกิจการจากการสูญเสียบุคคลสำคัญ
  • ประโยชน์ทางภาษี: การนำค่าเบี้ยประกันมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท จะทำให้ กำไรสุทธิของบริษัทลดลง ซึ่งส่งผลให้ ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่บริษัทต้องชำระลดลง ในปีที่จ่ายเบี้ยประกันนั้น

ตัวอย่าง: หากบริษัทมีกำไร 10 ล้านบาท และเสียภาษี 20% (2 ล้านบาท) ถ้าบริษัทจ่ายเบี้ยประกัน Keyman 500,000 บาท กำไรจะเหลือ 9.5 ล้านบาท ทำให้เสียภาษีเพียง 1.9 ล้านบาท ประหยัดภาษีไป 100,000 บาท

2. การรับเงินสินไหมทดแทน (กรณีบุคคลสำคัญเสียชีวิต/ทุพพลภาพ)

  • หลักการ: หากบริษัทเป็นผู้รับประโยชน์ และได้รับเงินสินไหมทดแทนจากการที่บุคคลสำคัญเสียชีวิตหรือทุพพลภาพ
  • ภาษีของบริษัท: โดยทั่วไปแล้ว หากค่าเบี้ยประกันที่บริษัทจ่ายไปนั้น ได้นำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว เงินสินไหมทดแทนที่บริษัทได้รับจะถือเป็น รายได้ของบริษัทที่ต้องนำมาเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ในปีที่ได้รับเงินนั้น
    • หมายเหตุ: หากเบี้ยประกันไม่ได้ถูกนำไปหักเป็นค่าใช้จ่าย (ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ทางภาษี) เงินสินไหมทดแทนที่บริษัทได้รับก็จะไม่ต้องนำมาเสียภาษี อย่างไรก็ตาม กรณีนี้ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ของการวางแผนภาษี

3. ประโยชน์ทางภาษีสำหรับกรรมการ (ในกรณีที่อาจเกี่ยวข้องกับสวัสดิการกลุ่ม)

  • โดยตัวกรมธรรม์ Keyman Insurance ที่บริษัทเป็นผู้รับประโยชน์โดยตรงนั้น เบี้ยประกันที่จ่ายจะไม่ถือเป็นเงินได้ของกรรมการ จึงไม่มีภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับกรรมการโดยตรง
  • อย่างไรก็ตาม หากบริษัทต้องการให้กรรมการหรือพนักงานได้รับสวัสดิการประกันชีวิตส่วนบุคคลด้วย (นอกเหนือจาก Keyman) โดยบริษัทเป็นผู้จ่ายเบี้ยประกันให้ (ซึ่งอาจเรียกว่าประกันชีวิตกลุ่ม)
    • สำหรับบริษัท: เบี้ยประกันที่จ่ายเป็นค่าสวัสดิการให้พนักงาน/กรรมการ สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ (ภายใต้เงื่อนไขและวงเงินที่กฎหมายกำหนด เช่น ต้องเป็นไปตามระเบียบสวัสดิการ ไม่เลือกปฏิบัติ และมีจำนวนสมเหตุสมผล)
    • สำหรับกรรมการ/พนักงาน: เบี้ยประกันที่บริษัทจ่ายให้เป็นสวัสดิการนั้น โดยทั่วไปจะไม่ถือเป็นเงินได้ของกรรมการ/พนักงานที่ต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หากเป็นไปตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร เช่น เป็นประกันชีวิตกลุ่มตามระเบียบสวัสดิการของบริษัท)

ข้อควรระวังในการวางแผนภาษีด้วย Keyman Insurance:

  1. ต้องทำโดยโปร่งใสและสมเหตุสมผล: เบี้ยประกันที่จ่ายต้องสมเหตุสมผลกับรายได้ ความสำคัญ และคุณค่าของบุคคลสำคัญต่อกิจการ หากจ่ายสูงเกินจริง กรมสรรพากรอาจพิจารณาว่าเป็นรายจ่ายต้องห้าม หรือไม่เป็นค่าใช้จ่ายที่แท้จริง
  2. วัตถุประสงค์ต้องชัดเจน: ต้องแสดงให้เห็นว่าการทำประกันชีวิตนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผลประโยชน์และความเสี่ยงของบริษัท ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของกรรมการหรือทายาท
  3. เก็บเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน: เช่น มติที่ประชุมคณะกรรมการ, กรมธรรม์ประกันภัย, หลักฐานการจ่ายเบี้ยประกัน, เอกสารที่แสดงถึงบทบาทและความสำคัญของบุคคลสำคัญ

สรุป:

การใช้ประกันชีวิตบุคคลสำคัญ (Keyman Insurance) เป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนภาษีผ่านช่องทางสวัสดิการ (หรือการบริหารความเสี่ยง) สามารถช่วยลดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทได้ ในปีที่จ่ายเบี้ยประกัน เนื่องจากสามารถนำค่าเบี้ยประกันมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ อย่างไรก็ตาม ควรทำความเข้าใจถึงการเก็บภาษีเมื่อบริษัทได้รับเงินสินไหมทดแทนด้วย และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีและประกันภัย เพื่อให้การวางแผนเป็นไปอย่างถูกต้องและได้รับประโยชน์สูงสุดตามกฎหมาย

5 เทคนิควางแผนภาษีธุรกิจแบบมือโปร ลดภาษีได้จริง ถูกกฎหมาย 100%
5 เทคนิควางแผนภาษีธุรกิจแบบมือโปร ลดภาษีได้จริง ถูกกฎหมาย 100%

3. วางแผนกระจายรายจ่าย ให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กร

การวางแผนภาษีโดยวิธีการกระจายรายจ่ายให้เป็นประโยชน์ต่อองค์กร เพื่อประหยัดภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกลยุทธ์สำคัญที่บริษัทต่างๆ นำมาใช้ เพื่อลดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างถูกกฎหมาย โดยมีแนวคิดหลัก คือ การเปลี่ยนกำไรส่วนหนึ่งให้เป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด หรือ ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรายจ่ายบางประเภท


แนวคิดหลักของการกระจายรายจ่ายเพื่อประหยัดภาษี

ภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทคำนวณจาก (รายได้ – ค่าใช้จ่ายที่หักได้ตามกฎหมาย) = กำไรสุทธิทางภาษี ยิ่งค่าใช้จ่ายที่หักได้สูงขึ้นเท่าไร กำไรสุทธิทางภาษีก็จะลดลง ทำให้บริษัทเสียภาษีน้อยลง

การกระจายรายจ่าย ไม่ใช่การสร้างรายจ่ายปลอม แต่เป็นการบริหารจัดการและจัดสรรค่าใช้จ่ายที่มีอยู่จริง หรือการลงทุนในค่าใช้จ่ายบางประเภทอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสูงสุด

วิธีการกระจายรายจ่ายที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร เพื่อประหยัดภาษี

  1. การกำหนดจังหวะเวลาของค่าใช้จ่าย (Timing of Expenses):

    • แนวคิด: การพิจารณาจังหวะเวลาในการจ่ายค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปี หรือต้นปีบัญชีถัดไป เพื่อให้สอดคล้องกับประมาณการกำไรของบริษัท
    • ตัวอย่าง:
      • หากคาดว่าปีปัจจุบันจะมีกำไรสูง: อาจพิจารณาเร่งการจ่ายค่าใช้จ่ายบางประเภท เช่น ค่าซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องจักร, ค่าอบรมสัมมนาพนักงาน, ค่าการตลาดที่วางแผนไว้ ให้เกิดขึ้นภายในปีปัจจุบัน เพื่อนำไปหักลดกำไรของปีที่มีฐานภาษีสูง
      • หากคาดว่าปีปัจจุบันจะมีกำไรต่ำ: อาจพิจารณาชะลอการจ่ายค่าใช้จ่ายบางประเภทที่ไม่เร่งด่วนไปไว้ในปีถัดไป ที่คาดว่าจะมีกำไรสูงขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์จากการหักค่าใช้จ่ายได้อย่างเต็มที่กว่า
  2. การจ่ายค่าตอบแทนให้กรรมการและพนักงานอย่างเหมาะสม (Remuneration Optimization):

    • แนวคิด: การปรับสัดส่วนการจ่ายเงินเดือน โบนัส หรือสวัสดิการให้กรรมการและพนักงาน ให้เหมาะสมกับโครงสร้างภาษีของทั้งบริษัทและบุคคล
    • ตัวอย่าง:
      • บริษัท: การจ่ายเงินเดือนและโบนัสเป็นค่าใช้จ่ายที่หักภาษีได้ 100% ทำให้กำไรของบริษัทลดลง
      • กรรมการ/พนักงาน: เงินเดือนและโบนัสเป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้า แต่มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าลดหย่อนต่างๆ
      • ประโยชน์: หากอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของกรรมการ/พนักงาน (หลังหักค่าลดหย่อน) ต่ำกว่าอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัท (โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่ไม่ได้เป็น SME หรือ SME ที่มีกำไรสูงเกิน 3 ล้านบาท ซึ่งต้องเสียภาษี 20%) การจ่ายค่าตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อลดกำไรบริษัทลง อาจช่วยประหยัดภาษีโดยรวมได้
    • ข้อควรระวัง: การจ่ายต้องสมเหตุสมผลและเหมาะสมกับตำแหน่ง หน้าที่ และผลงานจริง หากจ่ายสูงเกินจริง กรมสรรพากรอาจพิจารณาเป็นรายจ่ายต้องห้าม
  3. การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรายจ่ายเฉพาะประเภท:

    • แนวคิด: รัฐบาลมักมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนหรือกิจกรรมบางอย่าง โดยอนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 1 เท่า (Double/Triple Deduction)
    • ตัวอย่าง:
      • ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา (R&D): สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้สูงสุด 2-3 เท่าของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง (ตามประกาศกรมสรรพากร) เป็นการกระตุ้นให้บริษัทลงทุนในนวัตกรรม
      • ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงาน: สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า (ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เช่น ต้องฝึกอบรมกับสถาบันที่ได้รับการรับรอง) เป็นการส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร
      • ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ ผู้พิการ: เช่น การจ้างงานผู้พิการ การปรับปรุงสถานประกอบการเพื่อคนพิการ อาจได้สิทธิหักค่าใช้จ่าย 2 เท่า
      • เงินบริจาค: การบริจาคให้สถานศึกษา, โรงพยาบาลของรัฐ, กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ, องค์กรสาธารณกุศลบางแห่ง อาจหักได้ 1 เท่า หรือ 2 เท่า (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)
  4. การบริหารจัดการค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย:

    • แนวคิด: การพิจารณาช่วงเวลาและวิธีการได้มาซึ่งสินทรัพย์ถาวร เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการหักค่าเสื่อมราคา (ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่มีเงินสดออก)
    • ตัวอย่าง: หากมีกำไรสูง อาจพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น เพื่อสร้างค่าเสื่อมราคามาลดกำไรในงบการเงิน
  5. การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายประเภทอื่น ๆ:

    • ค่ารับรอง: สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ไม่เกิน 0.3% ของยอดรายได้ หรือ 0.3% ของทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท
    • ค่าซ่อมแซมบำรุงรักษา: ควรมีการวางแผนล่วงหน้าและดำเนินการตามจริง
    • ค่าการตลาดและโฆษณา: เป็นค่าใช้จ่ายที่หักได้เต็มจำนวน หากมีการใช้จ่ายจริงและมีหลักฐานครบถ้วน

วิธีการที่ “การกระจายรายจ่าย” ช่วยประหยัดภาษี

  1. ลดกำไรสุทธิทางภาษีโดยตรง: ทุกบาทของค่าใช้จ่ายที่หักได้ จะลดกำไรสุทธิที่นำไปคำนวณภาษี ทำให้บริษัทเสียภาษีน้อยลง
  2. ใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีที่ต่างกัน: โยกกำไรจากบริษัท (ที่อาจเสียภาษี 20%) ไปเป็นเงินได้บุคคลธรรมดาของกรรมการ/พนักงาน (ที่อาจเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า เช่น 5-15% หากมีค่าลดหย่อนมาก) ทำให้ภาษีรวมที่ต้องจ่ายโดยภาพรวมลดลง
  3. ได้รับสิทธิหักค่าใช้จ่ายพิเศษ: การลงทุนในรายจ่ายที่รัฐส่งเสริม (R&D, ฝึกอบรม) ทำให้สามารถนำไปหักภาษีได้มากกว่าเงินที่จ่ายจริง เป็นการลดภาระภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก

ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุด

  • ความถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย: รายจ่ายทุกประเภทที่นำมาหักจะต้องเกิดขึ้นจริง มีหลักฐานที่ถูกต้องและครบถ้วน และต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของประมวลรัษฎากรและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ห้ามสร้างรายจ่ายเท็จโดยเด็ดขาด
  • ความสมเหตุสมผล: รายจ่ายต้องสมเหตุสมผลและเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ การสร้างรายจ่ายที่สูงเกินจริงหรือไม่มีเหตุผลรองรับ อาจถูกกรมสรรพากรประเมินเป็นรายจ่ายต้องห้าม ทำให้บริษัทต้องเสียภาษีเพิ่ม และอาจมีเบี้ยปรับเงินเพิ่ม
  • คำนึงถึงกระแสเงินสด: การวางแผนภาษีโดยการจ่ายค่าใช้จ่ายออกไป ต้องคำนึงถึงสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทด้วย

การวางแผนภาษีโดยการบริหารจัดการรายจ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความเข้าใจในกฎหมายภาษีอย่างลึกซึ้ง และควร ปรึกษาผู้ทำบัญชีหรือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อให้การวางแผนเป็นไปอย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุดกับองค์กร

4. วางแผนตรวจสอบสิทธิยกเว้น / ค่าลดหย่อนต่างๆ ที่ SMes พึงได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ

การวางแผนภาษีสำหรับบริษัทโดยการตรวจสอบสิทธิประโยชน์ที่ได้รับการยกเว้นหรือค่าลดหย่อนต่างๆ ที่พึงได้รับ เป็นกลยุทธ์สำคัญในการลดภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างถูกกฎหมายและมีประสิทธิภาพ


การตรวจสอบสิทธิยกเว้น / ค่าลดหย่อนของบริษัท เพื่อประหยัดภาษี (โดยสังเขป)

หลักการคือ การทำให้ กำไรสุทธิทางภาษี (Taxable Profit) ของบริษัทลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ต้องจ่ายลดลงตามไปด้วย โดยใช้ประโยชน์จากรายได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี หรือรายจ่ายที่หักได้มากกว่าปกติ หรือรายจ่ายที่นำมาหักได้ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

สิทธิประโยชน์หลักที่บริษัทพึงตรวจสอบและใช้ประโยชน์:

  1. สิทธิประโยชน์จากการลงทุนตามนโยบายรัฐ:

    • การส่งเสริมการลงทุนจาก BOI (Board of Investment): เป็นสิทธิประโยชน์ที่สำคัญที่สุด บางกิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI อาจได้รับ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลาหลายปี หรือลดอัตราภาษีลง หลังจากหมดช่วงยกเว้นแล้ว การลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือในเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างๆ ก็อาจได้รับสิทธิประโยชน์นี้
    • มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเฉพาะกิจ: รัฐบาลอาจออกประกาศเพื่อส่งเสริมการลงทุนบางประเภท เช่น การลงทุนในเครื่องจักรใหม่ หรือการลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งอาจให้สิทธิประโยชน์ในการหักค่าเสื่อมราคาได้เร็วขึ้น หรือหักค่าใช้จ่ายได้มากกว่าปกติ
  2. รายจ่ายที่หักได้มากกว่า 1 เท่า (Double/Triple Deductions):

    • ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา (R&D): หากบริษัทลงทุนในกิจกรรมวิจัยและพัฒนา สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นมาหักเป็นรายจ่ายได้ สูงสุด 2-3 เท่า ของที่จ่ายจริง (ตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด)
    • ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงาน: การจัดฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะพนักงาน สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า (ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เช่น ต้องฝึกอบรมกับสถาบันที่ได้รับการรับรอง)
    • การจ้างผู้พิการ/ผู้สูงอายุ: หากมีการจ้างงานผู้พิการ หรือผู้สูงอายุตามเงื่อนไขที่กำหนด บริษัทอาจได้รับสิทธิหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า ของค่าจ้างที่จ่าย
    • เงินบริจาค: การบริจาคให้สถาบันการศึกษา, โรงพยาบาลของรัฐ, กองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ, หรือองค์กรสาธารณกุศลบางแห่ง สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้ 1 เท่า หรือ 2 เท่า ของจำนวนที่บริจาค (ตามเงื่อนไขและเพดานที่กำหนด)
  3. เงินได้ที่ได้รับการยกเว้นภาษี:

    • เงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทในประเทศไทย: หากบริษัทได้รับเงินปันผลจากบริษัทอื่นที่จดทะเบียนในประเทศไทย อาจได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ทั้งหมดหรือบางส่วน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการถือหุ้น (เช่น ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 25% และถือไม่น้อยกว่า 3 เดือนก่อนวันจ่ายเงินปันผล)
    • กำไรจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์: โดยทั่วไป กำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้รับการยกเว้นภาษี
  4. การบริหารจัดการค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย:

    • ค่าเสื่อมราคา: สินทรัพย์ถาวรที่บริษัทซื้อมา (เช่น อาคาร, เครื่องจักร, อุปกรณ์) จะถูกหักค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายทุกปีตามอัตราที่กำหนด การวางแผนการลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้สามารถช่วยลดกำไรทางภาษีได้
    • ค่าตัดจำหน่าย: สำหรับสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เช่น ค่าลิขสิทธิ์, สิทธิบัตร

กลไกการประหยัดภาษีโดยสังเขป:

การตรวจสอบและใช้สิทธิประโยชน์เหล่านี้ เป็นการนำรายจ่ายที่เกิดขึ้นจริง หรือรายได้บางประเภทที่ได้รับการยกเว้น มาใช้ลดฐานกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ทำให้บริษัทเสียภาษีน้อยลง หรือในบางกรณีอาจได้รับการยกเว้นภาษีเป็นระยะเวลาหนึ่งเลย

สิ่งที่บริษัทควรทำ:

  • ศึกษาและติดตามกฎหมายภาษี: สิทธิประโยชน์และเงื่อนไขต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
  • บันทึกเอกสารให้ครบถ้วน: ทุกรายจ่ายและรายได้ที่ใช้สิทธิประโยชน์ต้องมีหลักฐานประกอบที่ถูกต้องและครบถ้วน
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: การวางแผนภาษีที่ซับซ้อน ควรปรึกษาผู้ทำบัญชี หรือสำนักงานบัญชี/ที่ปรึกษาภาษีที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปอย่างถูกต้องและได้รับประโยชน์สูงสุดตามกฎหมาย

5. วางแผนจัดทำบัญชี อย่างมือโปรฯ โดยวางแผนภาษีเนิ่นๆ ตั้งแต่ต้นปี (ไม่ควรรอสิ้นปี ค่อยวางแผน)

การวางแผนภาษีตั้งแต่ต้นปี โดยมีนักบัญชีมืออาชีพเข้ามาดูแลอย่างสม่ำเสมอ แทนที่จะรอวางแผนในช่วงใกล้สิ้นปี เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดและช่วยประหยัดภาษีได้อย่างมหาศาล ด้วยเหตุผลดังนี้:


การทำบัญชีอย่างมืออาชีพ และการวางแผนภาษีตั้งแต่ต้นปี ช่วยประหยัดภาษีได้อย่างไร?

การวางแผนภาษีล่วงหน้า คือการบริหารจัดการรายรับ รายจ่าย และการลงทุนต่างๆ ของบริษัทตลอดทั้งปี เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่รัฐกำหนดไว้ ซึ่งจะแตกต่างจากการวางแผนภาษีแบบกะทันหันในช่วงปลายปี

1. รู้สถานะทางการเงินและภาษีแบบเรียลไทม์ (Real-time Financial Insight):

  • ข้อดีของการทำบัญชีมืออาชีพตั้งแต่ต้นปี: นักบัญชีจะบันทึกรายรับ รายจ่าย และจัดทำรายงานทางการเงินเป็นประจำ (รายเดือน/รายไตรมาส) ทำให้บริษัทมีข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
  • ประโยชน์ต่อการวางแผนภาษี: เมื่อทราบภาพรวมกำไรขาดทุนที่แท้จริงตลอดปี ผู้บริหารและนักบัญชีสามารถ ประเมินภาระภาษีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องรอให้ใกล้สิ้นปีแล้วค่อยมา “เดา” หรือ “ตกใจ” กับยอดกำไร

2. มีเวลาในการตัดสินใจเชิงรุก เพื่อใช้ประโยชน์จากสิทธิที่พึงได้ (Proactive Decision Making):

  • ไม่พลาดโอกาส: กฎหมายภาษีมีสิทธิประโยชน์และมาตรการส่งเสริมต่างๆ เช่น การหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า หรือ 3 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายบางประเภท (เช่น ค่าวิจัยและพัฒนา, ค่าฝึกอบรม, การจ้างผู้พิการ) หรือมาตรการยกเว้นภาษีสำหรับธุรกิจที่ลงทุนตามนโยบายรัฐ (เช่น BOI)
  • สามารถ “สร้าง” ค่าใช้จ่ายที่เป็นประโยชน์: หากประมาณการกำไรล่วงหน้าแล้วพบว่าปีนี้กำไรจะสูงมาก บริษัทสามารถวางแผน ลงทุนในค่าใช้จ่ายเหล่านี้ล่วงหน้าได้ เช่น
    • จัดงบประมาณเพื่อส่งพนักงานไปฝึกอบรมที่ได้สิทธิหัก 2 เท่า
    • วางแผนการลงทุนในโครงการ R&D ที่จะนำมาลดหย่อนภาษีได้
    • พิจารณาการจ่ายเงินเดือนหรือโบนัสกรรมการ/พนักงานอย่างเหมาะสม เพื่อโยกกำไรจากบริษัท (ที่อาจเสียภาษี 20%) ไปเป็นเงินได้บุคคลธรรมดาของกรรมการ/พนักงาน (ที่อาจเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า)
  • บริหารจัดการช่วงเวลา (Timing): สามารถเลือกจังหวะในการรับรู้รายได้ หรือการจ่ายค่าใช้จ่าย เพื่อให้ภาษีเกิดประโยชน์สูงสุดในแต่ละปีบัญชี เช่น หากรู้ว่าปีนี้กำไรสูง อาจเร่งค่าใช้จ่ายที่วางแผนไว้ไปเกิดในปีนี้ หรือหากรู้ว่ากำไรต่ำ อาจชะลอค่าใช้จ่ายที่ไม่เร่งด่วนไปปีหน้า

3. ลดความเสี่ยงในการถูกปรับและเบี้ยปรับ (Reduced Risk of Penalties):

  • ความถูกต้องแม่นยำ: การทำบัญชีอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่ต้นปี ช่วยให้การบันทึกข้อมูลเป็นไปอย่างถูกต้อง ลดข้อผิดพลาดที่อาจนำไปสู่การประเมินภาษีเพิ่ม หรือการถูกปรับจากกรมสรรพากร
  • มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน: การวางแผนล่วงหน้าช่วยให้สามารถจัดเก็บเอกสารและหลักฐานประกอบการลงบัญชีและยื่นภาษีได้อย่างครบถ้วนและเป็นระบบ ทำให้มั่นใจได้เมื่อถูกตรวจสอบ
  • ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด: นักบัญชีมืออาชีพจะคอยอัปเดตกฎหมายและระเบียบใหม่ๆ ทำให้บริษัทสามารถปรับตัวและปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องอยู่เสมอ

4. บริหารจัดการกระแสเงินสดได้ดีขึ้น (Better Cash Flow Management):

  • เมื่อทราบประมาณการภาระภาษีล่วงหน้า บริษัทสามารถจัดสรรเงินสดสำรองไว้สำหรับชำระภาษีได้อย่างเหมาะสม ไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องหาเงินก้อนใหญ่มาจ่ายภาษีแบบกะทันหันในช่วงสิ้นปี ซึ่งอาจกระทบต่อสภาพคล่องของกิจการ
  • สามารถนำเงินที่คาดว่าจะต้องจ่ายภาษี ไปใช้ในการลงทุนที่ก่อให้เกิดรายได้ หรือได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ก่อน

5. สนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจ (Support Strategic Business Decisions):

  • ข้อมูลภาษีที่แม่นยำและทันเวลา เป็นส่วนสำคัญในการวางแผนธุรกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการขยายกิจการ การลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ การควบรวมกิจการ หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัท
  • การที่ภาษีเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจตั้งแต่ต้น จะช่วยให้การตัดสินใจทางธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในแง่ของผลกำไรและความได้เปรียบทางภาษี

เปรียบเทียบ: วางแผนตั้งแต่ต้นปี vs. รอวางแผนสิ้นปี

คุณสมบัติ

วางแผนตั้งแต่ต้นปี (Proactive)

รอวางแผนสิ้นปี (Reactive)

โอกาสลดภาษี

สูง (ใช้สิทธิได้เต็มที่)

ต่ำ (พลาดโอกาสหลายอย่าง)

การตัดสินใจ

มีเวลา คิดรอบคอบ

เร่งรีบ อาจไม่เหมาะสม

ความถูกต้อง

แม่นยำ มีเอกสารพร้อม

เสี่ยงต่อข้อผิดพลาด ขาดหลักฐาน

ความเสี่ยงถูกปรับ

ต่ำ

สูง

กระแสเงินสด

บริหารจัดการได้ดี

อาจเกิดปัญหาติดขัด

การทำบัญชี

เป็นระบบ สม่ำเสมอ

อาจอัปเดตไม่ทัน หรือต้องเร่งทำ

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

 

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่