5 กลโกงภาษี ที่ทำให้กิจการโดนตรวจสอบภาษีย้อนหลัง

1.ขายใบกำกับภาษี

การขายใบกำกับภาษีปลอม หรือการขายใบกำกับภาษีเปล่า/ที่ไม่มีการซื้อขายสินค้าและบริการจริง เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมีบทลงโทษที่รุนแรงมากในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการฉ้อโกงภาษีของรัฐและส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม


การขายใบกำกับภาษีที่ผิดกฎหมาย คืออะไร?

การขายใบกำกับภาษีที่ผิดกฎหมาย หลักๆ แล้วคือการที่บุคคลหรือนิติบุคคล ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการจริง หรือมีการซื้อขายจริงแต่ ระบุข้อมูลอันเป็นเท็จ บนใบกำกับภาษี เพื่อให้ผู้ซื้อใบกำกับภาษีนำไปใช้ประโยชน์ในทางที่ผิดกฎหมายภาษีอากร

รูปแบบการกระทำผิด:

  1. การออกใบกำกับภาษีปลอม: เป็นการสร้างใบกำกับภาษีขึ้นมาเอง โดยไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือไม่ได้มีการประกอบกิจการจริงตามที่ระบุ
  2. การออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีการซื้อขายจริง (ใบกำกับภาษีเปล่า): เป็นการที่ผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ออกใบกำกับภาษีให้กับผู้อื่น โดยที่ไม่ได้มีการส่งมอบสินค้าหรือให้บริการจริงตามที่ระบุในใบกำกับภาษีนั้น
  3. การออกใบกำกับภาษีด้วยข้อมูลเท็จ: เป็นการที่ผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ออกใบกำกับภาษีโดยมีการซื้อขายจริง แต่ระบุรายละเอียดที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น
    • ระบุราคาซื้อขายสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง
    • ระบุประเภทสินค้าหรือบริการที่ไม่ตรงกับที่ซื้อขายจริง
    • ระบุชื่อผู้ซื้อหรือผู้ขายเป็นเท็จ
    • ระบุวันที่ไม่ตรงกับวันที่ซื้อขายจริง

เจตนาของการกระทำผิด:

ผู้ที่ซื้อใบกำกับภาษีปลอม/ไม่มีการซื้อขายจริง มักมีเจตนาเพื่อ:

  • นำไปขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund): อ้างว่ามีการซื้อสินค้า/บริการจำนวนมากเพื่อเรียกคืนภาษีจากกรมสรรพากร
  • นำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้: อ้างว่ามีค่าใช้จ่ายสูง เพื่อลดกำไรสุทธิ และเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาน้อยลง

บทลงโทษตามกฎหมาย

การขายหรือออกใบกำกับภาษีที่ผิดกฎหมาย ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามประมวลรัษฎากร และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยมีบทลงโทษทั้งทางอาญาและทางแพ่ง

1. บทลงโทษทางอาญา (จำคุกและปรับ):

  • ผู้กระทำผิด (ผู้ออกใบกำกับภาษีปลอม/เท็จ):
    • มาตรา 90/4 (10) และ (11) แห่งประมวลรัษฎากร: ผู้ใดออกใบกำกับภาษี ใบรับ หรือบันทึกที่อธิบดีกำหนดโดยไม่มีสิทธิที่จะออก หรือออกโดยไม่เป็นไปตามมาตรา 86/4 (ออกโดยไม่มีการซื้อขายจริง) หรือออกใบกำกับภาษีปลอม
    • โทษจำคุก: ตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี
    • โทษปรับ: ตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท
  • ผู้สนับสนุนการกระทำผิด (ผู้ใช้ใบกำกับภาษีปลอม/เท็จ):
    • มาตรา 37 แห่งประมวลรัษฎากร: ผู้ใดโดยเจตนาฉ้อโกง หรือโดยเจตนาหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ใช้เอกสารอันเป็นเท็จ
    • โทษจำคุก: ไม่เกิน 7 ปี
    • โทษปรับ: ไม่เกิน 200,000 บาท
    • และ/หรือ เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดตามมาตรา 90/4 เช่นเดียวกับผู้ออกใบกำกับภาษี

2. บทลงโทษทางแพ่ง (เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม):

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT):
    • ผู้ที่นำใบกำกับภาษีปลอมไปใช้ขอคืนภาษี หรือใช้เป็นภาษีซื้อเพื่อลดภาระภาษี จะต้องรับผิดชอบภาษีที่ขาดไป
    • เบี้ยปรับ: 2 เท่าของภาษีที่ขาดหรือภาษีที่ขอคืน
    • เงินเพิ่ม: 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ขาด/ขอคืน (นับตั้งแต่วันที่ครบกำหนดชำระ/ยื่นแบบ)
  • ภาษีเงินได้ (บุคคลธรรมดา/นิติบุคคล):
    • ผู้ที่นำใบกำกับภาษีปลอมไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดกำไร จะต้องรับผิดชอบภาษีที่ขาดไป
    • เบี้ยปรับ: 1-2 เท่าของภาษีที่ขาด
    • เงินเพิ่ม: 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ขาด

3. ผลกระทบอื่นๆ:

  • ความเสียหายต่อชื่อเสียง: การถูกดำเนินคดีจะมีผลเสียต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของบุคคลและธุรกิจอย่างมาก
  • การถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม: กรมสรรพากรอาจสั่งเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่กระทำผิด
  • การถูกตรวจสอบย้อนหลัง: อาจนำไปสู่การถูกตรวจสอบบัญชีและภาษีย้อนหลังจากกรมสรรพากรสำหรับรายการอื่นๆ
  • ถูกขึ้นบัญชีดำ: อาจถูกขึ้นบัญชีดำกับสถาบันการเงิน ทำให้เข้าถึงสินเชื่อหรือการทำธุรกรรมทางการเงินได้ยากขึ้น
  • ความผิดฐานฟอกเงิน: หากเป็นกรณีที่มีการกระทำความผิดซับซ้อนและมีเจตนาทุจริตอย่างร้ายแรง อาจถูกพิจารณาเป็นความผิดฐานฟอกเงินได้

การซื้อขายใบกำกับภาษีที่ผิดกฎหมายจึงเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งและมีผลเสียร้ายแรงต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ควรดำเนินธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์และโปร่งใส เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางกฎหมายและการทำลายความน่าเชื่อถือในระยะยาว

1.ขายใบกำกับภาษี
1.ขายใบกำกับภาษี

2.ออกใบกำกับภาษี โดยไม่ถูกกฎหมาย

การออกใบกำกับภาษีโดยผิดกฎหมาย (Issuing Illegal Tax Invoices)

การออกใบกำกับภาษีโดยผิดกฎหมาย หมายถึง การที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือบุคคลใดก็ตาม ออกเอกสารที่เรียกว่า “ใบกำกับภาษี” โดยที่การออกนั้นไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้ หรือมีเจตนาทุจริต เพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษีอากร

ลักษณะของการออกใบกำกับภาษีโดยผิดกฎหมาย (หลักๆ)

  1. ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิ (ผู้ไม่มีสิทธิ์ออก):

    • ผู้ไม่อยู่ในระบบ VAT: บุคคลทั่วไปหรือกิจการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน) ไม่มีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษี ถ้าออกถือว่าผิดกฎหมายทันที
    • กิจการที่ยกเลิกการจด VAT ไปแล้ว: ถ้าเคยเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT แต่ได้ยกเลิกไปแล้ว หากยังออกใบกำกับภาษี ถือว่าไม่มีสิทธิ์ออก
    • ออกใบกำกับภาษีปลอม: คือการสร้างใบกำกับภาษีขึ้นมาเองทั้งหมด โดยไม่มีการประกอบกิจการจริงตามที่ระบุในใบกำกับภาษีนั้นเลย
  2. ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีการซื้อขายสินค้า/บริการจริง (ใบกำกับภาษีเปล่า/หลอก):

    • ผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ออกใบกำกับภาษีให้กับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น โดยที่ไม่ได้มีการส่งมอบสินค้าหรือให้บริการจริงตามที่ระบุในใบกำกับภาษีนั้น
    • เป้าหมายหลักคือเพื่อให้ผู้รับใบกำกับภาษีนำไปใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด เช่น นำไปขอคืนภาษีซื้อ หรือใช้เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดภาระภาษีเงินได้
  3. ออกใบกำกับภาษีด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือไม่ตรงกับความเป็นจริง:

    • มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการจริง แต่ข้อมูลในใบกำกับภาษีไม่ถูกต้อง หรือบิดเบือนไปจากความจริง เช่น:
      • ระบุราคาซื้อขายสูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริง: เพื่อให้ภาษีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น (สำหรับขอคืน) หรือต่ำลง (สำหรับหลีกเลี่ยงภาษีขาย) หรือเพื่อเพิ่ม/ลดค่าใช้จ่าย
      • ระบุประเภทสินค้าหรือบริการที่ไม่ตรงกับที่ซื้อขายจริง: เช่น ซื้อบริการแต่ระบุเป็นสินค้า หรือระบุสินค้า/บริการที่ไม่ได้รับอนุญาต
      • ระบุชื่อผู้ซื้อหรือผู้ขายเป็นเท็จ: เช่น การใช้ชื่อนิติบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
      • ระบุวันที่ไม่ตรงกับวันที่ซื้อขายจริง: เช่น ออกใบกำกับภาษีย้อนหลัง หรือล่วงหน้า เพื่อเลี่ยงระยะเวลาการยื่นภาษี
  4. ออกใบกำกับภาษีโดยไม่ได้รับอนุญาต/ไม่เป็นไปตามรูปแบบที่กำหนด:

    • กรณีที่ใบกำกับภาษีไม่ได้พิมพ์หรือจัดทำขึ้นตามรูปแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด หรือไม่ได้แจ้งให้กรมสรรพากรทราบก่อนนำไปใช้ (เว้นแต่กรณีที่ได้รับยกเว้น)

บทลงโทษตามกฎหมาย

การออกใบกำกับภาษีโดยผิดกฎหมายถือเป็นความผิดร้ายแรงตามประมวลรัษฎากร และอาจมีความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย บทลงโทษมีทั้งทางอาญาและทางแพ่ง

1. บทลงโทษทางอาญา (จำคุกและปรับ):

  • ผู้ที่ออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิออก (มาตรา 90/4 (10)):
    • โทษจำคุก: ไม่เกิน 6 เดือน
    • โทษปรับ: ไม่เกิน 10,000 บาท
  • ผู้ที่ออกใบกำกับภาษีปลอม หรือออกโดยไม่เป็นไปตามมาตรา 86/4 (คือไม่มีการซื้อขายจริง) (มาตรา 90/4 (11)):
    • โทษจำคุก: ตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี
    • โทษปรับ: ตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท
  • ผู้ที่โดยเจตนาฉ้อโกงภาษีอากร โดยการออกใบกำกับภาษีอันเป็นเท็จ (มาตรา 37):
    • โทษจำคุก: ไม่เกิน 7 ปี
    • โทษปรับ: ไม่เกิน 200,000 บาท
    • และอาจถูกลงโทษตามมาตรา 90/4 ข้างต้นด้วย

2. บทลงโทษทางแพ่ง (เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม):

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT):
    • ผู้ที่ออกใบกำกับภาษีผิดกฎหมาย จะต้องรับผิดชอบในภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากการกระทำนั้น
    • เบี้ยปรับ: 2 เท่าของภาษีที่ออกเกิน
    • เงินเพิ่ม: 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องนำส่ง (นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระ)
  • ภาษีเงินได้ (นิติบุคคล/บุคคลธรรมดา):
    • การออกใบกำกับภาษีเท็จเพื่อลดภาระภาษีเงินได้ อาจทำให้ถูกประเมินภาษีเพิ่ม และมีเบี้ยปรับ/เงินเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด (เบี้ยปรับ 1-2 เท่า, เงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน)

3. ผลกระทบอื่นๆ ที่รุนแรง:

  • ถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม: กรมสรรพากรสามารถสั่งเพิกถอนสถานะผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ได้
  • ความเสียหายต่อชื่อเสียงและเครดิต: ธุรกิจจะเสียความน่าเชื่อถืออย่างร้ายแรง อาจถูกขึ้นบัญชีดำกับกรมสรรพากรและสถาบันการเงิน ทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมหรือเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้
  • ถูกตรวจสอบย้อนหลัง: การกระทำผิดหนึ่งครั้งอาจนำไปสู่การตรวจสอบบัญชีและภาษีย้อนหลังทั้งหมดของกิจการ
  • ความผิดฐานฟอกเงิน: ในกรณีที่การออกใบกำกับภาษีปลอม/เท็จ มีเจตนาเพื่อฟอกเงินหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตขนาดใหญ่ อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

การออกใบกำกับภาษีที่ผิดกฎหมายไม่ว่ากรณีใดๆ ถือเป็นการกระทำที่ร้ายแรงและมีผลกระทบที่กว้างขวางต่อทั้งผู้กระทำ ผู้เกี่ยวข้อง และระบบเศรษฐกิจของประเทศ การประกอบธุรกิจด้วยความโปร่งใสและปฏิบัติตามกฎหมายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายในระยะยาว

2.ออกใบกำกับภาษี โดยไม่ถูกกฎหมาย
2.ออกใบกำกับภาษี โดยไม่ถูกกฎหมาย

3.ยื่นภาษีขาย ต่ำกว่าราคาจริง

การยื่นภาษีขายต่ำกว่าราคาจริง ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรงตามประมวลรัษฎากรของประเทศไทย มีเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร


การยื่นภาษีขายต่ำกว่าราคาจริงโดยผิดกฎหมาย คืออะไร?

การยื่นภาษีขายต่ำกว่าราคาจริงเกิดขึ้นเมื่อผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มีการขายสินค้าหรือให้บริการจริงในราคาสูงกว่าที่ระบุในใบกำกับภาษี หรือในเอกสารประกอบการลงบัญชี และแจ้งยอดขายในรายงานภาษีขายหรือในแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) ต่ำกว่ายอดขายที่เกิดขึ้นจริง

รูปแบบการกระทำผิด:

  1. การออกใบกำกับภาษีต่ำกว่าราคาจริง:

    • ผู้ประกอบการขายสินค้าหรือบริการในราคาหนึ่ง (เช่น 100 บาท) แต่กลับออกใบกำกับภาษีที่ระบุราคาต่ำกว่านั้น (เช่น 50 บาท) เพื่อให้ยอดภาษีขายที่ต้องนำส่งกรมสรรพากรลดลง
  2. การไม่ลงบัญชีหรือลงบัญชีไม่ครบถ้วน:

    • ขายสินค้าหรือบริการในราคาสูงกว่าที่ระบุในเอกสาร และไม่ลงบัญชีรายได้ให้ครบถ้วนตามความเป็นจริง หรือมีการลงบัญชีสองชุด (ชุดจริงกับชุดเท็จสำหรับยื่นภาษี)
  3. การแจ้งยอดขายในแบบ ภ.พ.30 ต่ำกว่าความเป็นจริง:

    • แม้จะออกใบกำกับภาษีถูกต้องตามจริง แต่เมื่อถึงเวลาแจ้งยอดขายเพื่อคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม กลับแจ้งยอดขายรวมในแบบ ภ.พ.30 ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

เจตนาของการกระทำผิด:

  • หลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): เมื่อแจ้งยอดขายต่ำ ภาษีขายที่ต้องนำส่งกรมสรรพากรก็จะลดลง ทำให้เสีย VAT น้อยกว่าที่ควร
  • หลีกเลี่ยงภาษีเงินได้: การแจ้งยอดขายต่ำลงโดยตรงทำให้รายได้ของกิจการลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลง และต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (สำหรับบริษัท/ห้างหุ้นส่วน) หรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (สำหรับกิจการเจ้าของคนเดียว) น้อยลงด้วย

บทลงโทษตามกฎหมาย

การกระทำนี้ถือเป็นความผิดร้ายแรงตามประมวลรัษฎากร และมีบทลงโทษทั้งทางแพ่งและทางอาญา

1. บทลงโทษทางแพ่ง (เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม):

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT):
    • จะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขาดไปทั้งหมด
    • เบี้ยปรับ: 2 เท่าของภาษีที่ขาด
    • เงินเพิ่ม: 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ขาด (นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระจนถึงวันที่ชำระครบ)
  • ภาษีเงินได้ (นิติบุคคล/บุคคลธรรมดา):
    • จะต้องชำระภาษีเงินได้ที่ขาดไปทั้งหมด
    • เบี้ยปรับ: 1-2 เท่าของภาษีที่ขาด
    • เงินเพิ่ม: 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ขาด (นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระจนถึงวันที่ชำระครบ)

2. บทลงโทษทางอาญา (จำคุกและปรับ):

  • มาตรา 37 แห่งประมวลรัษฎากร: ผู้ใดโดยเจตนาฉ้อโกง หรือโดยเจตนาหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร
    • โทษจำคุก: ไม่เกิน 7 ปี
    • โทษปรับ: ไม่เกิน 200,000 บาท
    • หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 90/4 (7) แห่งประมวลรัษฎากร: ผู้ประกอบการจดทะเบียนผู้ใดโดยเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยความเท็จ
    • โทษจำคุก: ตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี
    • โทษปรับ: ตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท
    • หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. ผลกระทบอื่นๆ ที่รุนแรง:

  • ถูกตรวจสอบบัญชีและภาษีย้อนหลัง: การตรวจพบการกระทำผิดหนึ่งครั้ง อาจนำไปสู่การตรวจสอบบัญชีและภาษีย้อนหลังจากกรมสรรพากรสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีอื่นๆ ทั้งหมด
  • ความเสียหายต่อชื่อเสียงและเครดิต: ธุรกิจจะเสียความน่าเชื่อถืออย่างร้ายแรง อาจถูกขึ้นบัญชีดำกับกรมสรรพากรและสถาบันการเงิน ทำให้มีปัญหาในการทำธุรกรรม การขอสินเชื่อ หรือการทำธุรกิจในอนาคต
  • การถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม: กรมสรรพากรสามารถสั่งเพิกถอนสถานะผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ได้
  • ความผิดฐานฟอกเงิน: ในกรณีที่เป็นการกระทำผิดที่มีมูลค่าสูง ซับซ้อน และมีเจตนาทุจริตอย่างร้ายแรง อาจถูกพิจารณาเป็นความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินได้ ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรงกว่ามาก

การยื่นภาษีขายต่ำกว่าราคาจริงจึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายร้ายแรงที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางและยาวนานต่อผู้กระทำและกิจการ การประกอบธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส และปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอากรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงและสร้างความน่าเชื่อถือในระยะยาว

3.ยื่นภาษีขาย ต่ำกว่าราจริง
3.ยื่นภาษีขาย ต่ำกว่าราจริง

4.สำนักงานบัญชี ปลอมแปลงเอกสาร

การที่สำนักงานบัญชีปลอมแปลงเอกสาร เป็นการกระทำที่ร้ายแรงและผิดกฎหมายอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเอกสารทางบัญชี ภาษี หรือเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจของลูกค้า การกระทำนี้มักมีเจตนาเพื่อหลีกเลี่ยงหรือฉ้อโกงภาษี ทำให้งบการเงินบิดเบือน หรือปกปิดการกระทำผิดอื่น ๆ

การปลอมแปลงเอกสารที่กระทำโดยสำนักงานบัญชี มักมีลักษณะดังนี้:

  1. การจัดทำเอกสารเท็จ/ปลอม:

    • บกำกับภาษีปลอม/เท็จ: สร้างใบกำกับภาษีขึ้นมาเอง หรือแก้ไขข้อมูลในใบกำกับภาษีให้ไม่ตรงกับความเป็นจริง (เช่น เพิ่มมูลค่า ลดมูลค่า เปลี่ยนประเภทสินค้า/บริการ) เพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายให้ลูกค้า หรือนำไปขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
    • เอกสารประกอบการลงบัญชีปลอม: เช่น ใบเสร็จรับเงินปลอม, สัญญาปลอม, หลักฐานการจ่ายเงินปลอม เพื่อสร้างค่าใช้จ่ายเท็จในบัญชีของลูกค้า
    • เอกสารหลักฐานการทำงาน/รายได้ปลอม: เช่น ใบรับรองเงินเดือนปลอม, สลิปเงินเดือนปลอม เพื่อใช้ในการขอสินเชื่อ หรือเพื่อแสดงแหล่งที่มาของรายได้เท็จ
  2. การแก้ไขเอกสารที่มีอยู่แล้วโดยไม่ได้รับอนุญาต:

    • เปลี่ยนแปลงตัวเลขในใบเสร็จรับเงิน, ใบกำกับภาษี, หรือเอกสารอื่นๆ
    • แก้ไขวันที่, ชื่อผู้รับ/ผู้จ่าย, หรือรายละเอียดสำคัญในเอกสาร
  3. การปกปิดหรือทำลายเอกสารสำคัญ:

    • จงใจไม่ลงรายการในบัญชีที่ควรลง เพื่อปกปิดรายได้หรือการกระทำผิด
    • ทำลายเอกสารหลักฐานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทำบัญชีหรือการเสียภาษี
  4. การจัดทำงบการเงินปลอมหรือบิดเบือน:

    • นำข้อมูลจากเอกสารปลอม/เท็จมาลงบัญชี เพื่อให้งบการเงินแสดงผลกำไร/ขาดทุน หรือฐานะทางการเงินที่ผิดไปจากความเป็นจริง เพื่อประโยชน์ในการเสียภาษีที่ลดลง หรือเพื่อนำไปยื่นแสดงต่อบุคคลที่สาม (เช่น ธนาคาร ผู้ร่วมลงทุน)

เจตนาหลักในการปลอมแปลงเอกสาร:

  • หลีกเลี่ยง/ฉ้อโกงภาษี: เป็นสาเหตุหลัก เช่น ลดรายได้เพื่อเสียภาษีเงินได้น้อยลง หรือเพิ่มค่าใช้จ่าย/ภาษีซื้อเท็จเพื่อลดภาษี หรือขอคืนภาษี
  • ปกปิดการกระทำผิด: เช่น ปกปิดการทุจริต หรือการรับเงินที่ไม่ถูกต้อง
  • สร้างความน่าเชื่อถือเท็จ: เพื่อให้งบการเงินดูดีเกินจริง สำหรับการขอสินเชื่อ การระดมทุน หรือการประมูลงาน

บทลงโทษตามกฎหมาย

การปลอมแปลงเอกสารโดยสำนักงานบัญชี มีบทลงโทษที่รุนแรงและซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายพระราชบัญญัติ และผู้กระทำผิดอาจต้องรับผิดชอบหลายมาตรา

1. บทลงโทษตามประมวลรัษฎากร (กฎหมายภาษีอากร):

  • ผู้ที่จัดทำ/ปลอมแปลงเอกสารเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี (ผู้ทำบัญชี/สำนักงานบัญชี):
    • มาตรา 37: ผู้ใดโดยเจตนาฉ้อโกง หรือโดยเจตนาหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร โดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือใช้เอกสารอันเป็นเท็จ เพื่อแสดงรายได้/ค่าใช้จ่ายเท็จ
      • โทษจำคุก: ไม่เกิน 7 ปี
      • โทษปรับ: ไม่เกิน 200,000 บาท
      • หรือทั้งจำทั้งปรับ
    • มาตรา 90/4 (7) และ (11) (กรณีภาษีมูลค่าเพิ่ม): ผู้ประกอบการจดทะเบียนผู้ใดโดยเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือออกใบกำกับภาษีปลอม/โดยไม่มีการซื้อขายจริง
      • โทษจำคุก: ตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี
      • โทษปรับ: ตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท
      • หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ผู้ประกอบการ/ลูกค้าที่จ้างให้สำนักงานบัญชีปลอมแปลงเอกสาร (ผู้ใช้เอกสารเท็จ):
    • อาจถูกลงโทษในฐานะ ผู้ร่วมกระทำผิด หรือ ผู้สนับสนุน การกระทำผิดตามมาตราข้างต้น และต้องรับผิดชอบภาษีที่ขาด เบี้ยปรับ และเงินเพิ่มด้วย

2. บทลงโทษตามพระราชบัญญัติการบัญชี:

  • พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 42: ผู้ทำบัญชี (ผู้รับผิดชอบจัดทำบัญชี) ผู้ใดกระทำการเป็นเหตุให้งบการเงิน หรือเอกสารประกอบการลงบัญชีไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
    • โทษจำคุก: ไม่เกิน 3 ปี
    • โทษปรับ: ไม่เกิน 60,000 บาท
    • หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 43: ผู้ทำบัญชีไม่จัดให้มีเอกสารที่ควรมีในการลงบัญชีตามความเป็นจริง
    • โทษจำคุก: ไม่เกิน 1 ปี
    • โทษปรับ: ไม่เกิน 20,000 บาท
    • หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. บทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา (ความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร):

  • มาตรา 264 (ปลอมเอกสารทั่วไป): ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
    • โทษจำคุก: ไม่เกิน 3 ปี
    • โทษปรับ: ไม่เกิน 60,000 บาท
    • หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 268 (ใช้เอกสารปลอม): ผู้ใดใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 264 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้ปลอมเอกสารนั้น

4. ผลกระทบอื่นๆ ที่รุนแรง:

  • ถูกเพิกถอนใบอนุญาต/การขึ้นทะเบียน: ผู้ทำบัญชี หรือสำนักงานบัญชีที่กระทำผิด อาจถูกเพิกถอนการเป็นผู้ทำบัญชี หรือการขึ้นทะเบียนจากสภาวิชาชีพบัญชี
  • ความเสียหายต่อชื่อเสียง: การถูกดำเนินคดีจะทำลายความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของสำนักงานบัญชีและผู้บริหารอย่างร้ายแรง
  • การถูกตรวจสอบย้อนหลัง: กรมสรรพากรจะทำการตรวจสอบบัญชีและภาษีย้อนหลังของลูกค้าที่ใช้บริการ รวมถึงตัวสำนักงานบัญชีเองด้วย
  • ความผิดฐานฟอกเงิน: หากการปลอมแปลงเอกสารมีเจตนาเพื่อปกปิดการกระทำความผิดมูลฐาน หรือมีมูลค่าสูง อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรงกว่ามาก

การที่สำนักงานบัญชีปลอมแปลงเอกสาร ถือเป็นการบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของวิชาชีพบัญชีและระบบภาษีของประเทศอย่างรุนแรง ทั้งผู้กระทำ (สำนักงานบัญชี) และผู้รับบริการ (ลูกค้า) จะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่หนักหน่วงและผลกระทบที่ตามมาอย่างมหาศาล จึงควรยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

4.สำนักงานบัญชี ปลอมเอกสาร
4.สำนักงานบัญชี ปลอมเอกสาร

5.จดภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ไม่ได้ประกอบการ

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แต่ไม่ได้ประกอบกิจการจริงตามที่แจ้งไว้ ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง และมักมีเจตนาแอบแฝงเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตภาษีอากร


การจดภาษีมูลค่าเพิ่มแต่ไม่ได้ประกอบการโดยผิดกฎหมาย คืออะไร?

การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Registration) คือการที่ผู้ประกอบการที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือบริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องไปจดทะเบียนกับกรมสรรพากร เพื่อเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และมีสิทธิ์ออกใบกำกับภาษีได้

การกระทำผิด “จด VAT แต่ไม่ได้ประกอบการ” หมายถึง:

  • เจตนาแอบแฝง: บุคคลหรือนิติบุคคลจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับกรมสรรพากร โดยที่ไม่ได้มีเจตนาจะประกอบกิจการซื้อขายสินค้าหรือบริการจริงตามที่แจ้งไว้
  • เป้าหมายคือการออกใบกำกับภาษีปลอม/เท็จ: เจตนาหลักของการจดทะเบียนเช่นนี้ คือเพื่อที่จะมี “สถานะผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT” และสามารถออกใบกำกับภาษีได้ถูกต้องตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด แต่ใบกำกับภาษีเหล่านั้นถูกออกโดย:
    • ไม่มีการซื้อขายจริง: ออกใบกำกับภาษีให้กับผู้อื่น โดยที่ไม่ได้มีการส่งมอบสินค้าหรือให้บริการจริงตามที่ระบุในใบกำกับภาษีนั้น
    • ข้อมูลเท็จ: ออกใบกำกับภาษีที่มีการซื้อขายจริงเพียงเล็กน้อย แต่ระบุมูลค่าสูงเกินจริง หรือระบุประเภทสินค้า/บริการที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

วัตถุประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังการกระทำผิดนี้:

ผู้ที่ “จด VAT แต่ไม่ได้ประกอบการ” มักมีวัตถุประสงค์เพื่อ:

  1. ขายใบกำกับภาษีปลอม/เท็จ: เพื่อให้ผู้ซื้อใบกำกับภาษีนำไปใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด
  2. อำนวยความสะดวกในการหลีกเลี่ยงภาษีของผู้อื่น:
    • ลดภาษีเงินได้: ให้ผู้ซื้อใบกำกับภาษีนำไปลงเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้ (นิติบุคคล หรือบุคคลธรรมดา) เพื่อลดกำไรและเสียภาษีน้อยลง
    • ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม: ให้ผู้ซื้อใบกำกับภาษีนำไปเป็นภาษีซื้อเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากรโดยมิชอบ

บทลงโทษตามกฎหมาย

การจดทะเบียน VAT โดยไม่มีการประกอบกิจการจริง และการออกใบกำกับภาษีปลอม/เท็จ ถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรงตามประมวลรัษฎากรและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยมีบทลงโทษทั้งทางอาญาและทางแพ่ง

1. บทลงโทษทางอาญา (จำคุกและปรับ):

  • ความผิดฐานออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิออก (มาตรา 90/4 (10)):
    • แม้จะเป็นผู้จดทะเบียน VAT แต่หากพิสูจน์ได้ว่าไม่มีการประกอบกิจการจริงตั้งแต่ต้น หรือจดเพื่อวัตถุประสงค์ทุจริต ถือว่าเป็นการออกโดยไม่มีสิทธิ
    • โทษจำคุก: ไม่เกิน 6 เดือน
    • โทษปรับ: ไม่เกิน 10,000 บาท
    • หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ความผิดฐานออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีการซื้อขายจริง (มาตรา 90/4 (11)):
    • เป็นกรณีที่ตรงที่สุดสำหรับการออกใบกำกับภาษีจากกิจการที่ไม่มีอยู่จริง หรือไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง
    • โทษจำคุก: ตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี
    • โทษปรับ: ตั้งแต่ 2,000 บาท ถึง 200,000 บาท
    • หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ความผิดฐานเจตนาฉ้อโกงหรือหลีกเลี่ยงภาษีอากร (มาตรา 37):
    • การกระทำนี้มีเจตนาชัดเจนที่จะฉ้อโกงภาษีอากรของรัฐ
    • โทษจำคุก: ไม่เกิน 7 ปี
    • โทษปรับ: ไม่เกิน 200,000 บาท
    • หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • ผู้ร่วมกระทำความผิด: บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้ง การดำเนินการ และการออกใบกำกับภาษีจากกิจการปลอมนี้ (เช่น ผู้บริหาร, ผู้ถือหุ้น, กรรมการ) จะถูกดำเนินคดีในฐานะผู้กระทำความผิดหลัก ผู้สนับสนุน หรือผู้ร่วมกระทำความผิด

2. บทลงโทษทางแพ่ง (เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม):

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT):
    • หากมีการออกใบกำกับภาษีและแสดงภาษีขายใดๆ แม้ไม่มีการซื้อขายจริง ผู้ประกอบการนั้นก็มีหน้าที่นำส่งภาษีตามที่แสดงในใบกำกับภาษี
    • เบี้ยปรับ: 2 เท่าของภาษีที่ต้องนำส่ง

    • เงินเพิ่ม: 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ต้องนำส่ง (นับแต่วันที่ครบกำหนดชำระ)

  • ภาษีเงินได้:

    • หากมีการแจ้งรายได้เท็จ หรือมีการสร้างค่าใช้จ่ายเท็จ เพื่อลดภาษีเงินได้ จะต้องชำระภาษีเงินได้ที่ขาดไป

    • เบี้ยปรับ: 1-2 เท่าของภาษีที่ขาด

    • เงินเพิ่ม: 1.5% ต่อเดือนของภาษีที่ขาด

3. ผลกระทบอื่นๆ ที่รุนแรง:

  • ถูกเพิกถอนทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม: กรมสรรพากรจะสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มทันที และมีผลย้อนหลังได้
  • ความเสียหายต่อชื่อเสียงและเครดิต: ผู้เกี่ยวข้องจะถูกขึ้นบัญชีดำกับกรมสรรพากรและสถาบันการเงิน ทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินหรือประกอบธุรกิจได้ตามปกติ
  • การถูกตรวจสอบย้อนหลัง: ไม่ใช่แค่กิจการปลอม แต่รวมถึงกิจการอื่น ๆ ที่เคยเกี่ยวข้องหรือใช้ใบกำกับภาษีจากกิจการปลอมนี้ ก็จะถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังทั้งหมด
  • ความผิดฐานฟอกเงิน (Anti-Money Laundering – AML): การกระทำนี้มักเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน เนื่องจากมีการสร้างธุรกรรมทางการเงินปลอมเพื่ออำพรางแหล่งที่มาของเงิน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
    • กฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีบทลงโทษที่รุนแรงมาก ทั้งการจำคุกนานขึ้น และการยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด

การจดทะเบียน VAT โดยไม่มีการประกอบกิจการจริงเพื่อออกใบกำกับภาษีปลอม/เท็จ เป็นรูปแบบหนึ่งของอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ร้ายแรง ซึ่งทางการกำลังปราบปรามอย่างเข้มงวด ผู้ที่คิดจะกระทำหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำเช่นนี้ จะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่หนักหน่วงและผลกระทบที่อาจทำลายชีวิตและธุรกิจอย่างสิ้นเชิง

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

5.จดภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ไม่ประกอบกิจการ
5.จดภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ไม่ประกอบกิจการ

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่