การตัดมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่ของทรัพย์สินที่สูญหายหรือชำรุดจนไม่สามารถใช้งานได้ ถือเป็นการรับรู้ “ผลขาดทุน” ของกิจการ ซึ่งสามารถนำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีและให้แน่ใจว่าการตัดจำหน่ายนั้นเกิดขึ้นจริงและมีเหตุผลอันสมควร
หลักการทั่วไปตามกฎหมายภาษี
หลักการสำคัญอยู่ที่มาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งระบุว่า “รายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว การให้โดยเสน่หา หรือการกุศล เว้นแต่รายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ หรือเพื่อการสาธารณะประโยชน์ที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรี” ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ แต่โดยนัยแล้ว หากรายจ่ายนั้นไม่ได้มีลักษณะตามมาตรา 65 ตรี และเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือกิจการ ก็นำมาหักได้ ดังนั้น การขาดทุนจากการตัดทรัพย์สินที่สูญหายหรือชำรุดจึงสามารถหักได้ หากมีเหตุผลและหลักฐานเพียงพอ
ลักษณะทรัพย์สินที่สามารถตัดมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่ได้
ทรัพย์สินที่สามารถตัดมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่ได้ มักจะเป็น “สินทรัพย์ถาวร” ของกิจการ เช่น:
- ที่ดิน อาคาร และสิ่งปลูกสร้าง
- เครื่องจักรและอุปกรณ์การผลิต
- ยานพาหนะ
- เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์สำนักงาน
- เครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ
โดยต้องเป็นทรัพย์สินที่กิจการได้บันทึกเป็นสินทรัพย์และคิดค่าเสื่อมราคามาแล้วตามหลักการบัญชีและภาษี
เหตุผลและหลักฐานที่สรรพากรยอมรับในการตัดมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่
กรมสรรพากรจะพิจารณาจาก “ความจริง” และ “ความสมเหตุสมผล” ของเหตุการณ์ พร้อมกับ “หลักฐานที่ครบถ้วน” ดังนี้:
-
การสูญหายหรือชำรุดจนไม่สามารถใช้งานได้ต้องเกิดจากเหตุอันสมควรและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้:
-
ภัยพิบัติ: เช่น อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย แผ่นดินไหว หรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ทรัพย์สินเสียหายอย่างสิ้นเชิงหรือกู้คืนไม่ได้
- หลักฐาน: รายงาน/เอกสารรับรองจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง (เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น), ภาพถ่าย/วิดีโอความเสียหายในพื้นที่, ข่าวสารที่รายงานเหตุการณ์
-
ถูกโจรกรรม/ปล้นทรัพย์: การถูกลักทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ ซึ่งทรัพย์สินไม่สามารถติดตามคืนได้
- หลักฐาน: ใบแจ้งความ/บันทึกประจำวันจากสถานีตำรวจ ซึ่งระบุรายละเอียดทรัพย์สินที่สูญหายและมูลค่าโดยประมาณอย่างชัดเจน ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สุด
-
อุบัติเหตุ: การเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันทำให้ทรัพย์สินเสียหายอย่างรุนแรงจนใช้งานไม่ได้ หรือซ่อมแซมไม่คุ้มค่า
- หลักฐาน: รายงานการเกิดเหตุ, ภาพถ่าย/วิดีโอเหตุการณ์และสภาพความเสียหาย, รายงานจากผู้เชี่ยวชาญ/ช่างเทคนิค
-
การชำรุดเสื่อมสภาพอย่างสิ้นเชิง: ทรัพย์สินที่ใช้งานมาเป็นเวลานานจนชำรุดทรุดโทรมถึงขีดสุด ไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติอย่างคุ้มค่า หรือไม่มีอะไหล่ที่จะซ่อมแซมได้อีกต่อไป
- หลักฐาน: รายงานการประเมินสภาพทรัพย์สินจากช่างผู้ชำนาญการหรือผู้เชี่ยวชาญ ว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้อีก หรือไม่คุ้มค่ากับการซ่อมแซม, บันทึกประวัติการซ่อมแซมที่ผ่านมา, ภาพถ่ายสภาพทรัพย์สินที่ชำรุดรุนแรง
-
ความล้าสมัยทางเทคโนโลยีอย่างรุนแรง (Obsolescence): ทรัพย์สินที่เป็นเทคโนโลยีตกรุ่นอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถใช้งานร่วมกับระบบปัจจุบันได้ หรือมีเทคโนโลยีใหม่ที่ดีกว่าและคุ้มค่ากว่ามากเข้ามาแทนที่จนการใช้ทรัพย์สินเดิมไม่มีประโยชน์เชิงพาณิชย์
- หลักฐาน: รายงานการวิเคราะห์ความล้าสมัยและการไม่คุ้มค่าในการใช้งานจากผู้บริหาร/ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
-
-
การดำเนินการทางบัญชีและหลักฐานการตัดจำหน่าย/จำหน่ายซาก:
-
บันทึกทะเบียนทรัพย์สิน (Fixed Asset Register): ต้องมีข้อมูลของทรัพย์สินที่สมบูรณ์ เช่น วันที่ได้มา, ราคาต้นทุน, ค่าเสื่อมราคาสะสมจนถึงวันที่ตัดสินใจตัดจำหน่าย, มูลค่าสุทธิทางบัญชี (Book Value)
-
การอนุมัติจากผู้มีอำนาจ: ควรมีการประชุมของคณะกรรมการบริษัทหรือผู้บริหารที่มีอำนาจอนุมัติ เพื่อมีมติให้ตัดจำหน่ายทรัพย์สินนั้นออกจากบัญชี โดยต้องระบุเหตุผล, รายละเอียดทรัพย์สิน, มูลค่าทางบัญชีที่เหลืออยู่, และแนวทางการจัดการซาก (เช่น ทำลาย, ขายซาก) พร้อมลงนามรับรอง
-
หลักฐานการจำหน่าย/ทำลายซาก (ถ้ามี):
- การขายซาก: หากมีการขายซากทรัพย์สินที่เสียหาย (เช่น ขายเศษเหล็ก) ต้องมีเอกสารหลักฐานการขาย เช่น ใบเสร็จรับเงิน, ใบกำกับภาษี (ถ้าเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT), หลักฐานการรับเงิน
- การทำลาย: หากไม่สามารถขายซากได้และจำเป็นต้องทำลาย ควรมีหลักฐานการทำลาย เช่น
- บันทึกการทำลาย: โดยมีพยานบุคคล (เช่น พนักงานที่เกี่ยวข้อง, บุคคลภายนอก) ร่วมเป็นสักขีพยานและลงนามรับรอง
- ภาพถ่าย/วิดีโอ: แสดงขั้นตอนการทำลาย (หากทำลายด้วยตนเอง)
- ใบรับรองการทำลาย: หากจ้างบริษัทภายนอกมาทำลาย (เช่น บริษัทรับกำจัดของเสีย) ซึ่งระบุรายละเอียดทรัพย์สินที่ทำลาย
-

การบันทึกบัญชีและการแสดงผลทางภาษี
-
การคำนวณมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่:
- มูลค่าต้นทุนตามบัญชี – ค่าเสื่อมราคาสะสม ณ วันที่ตัดจำหน่าย = มูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่ (Book Value)
- ตัวอย่าง: เครื่องจักรราคา 1,000,000 บาท ค่าเสื่อมราคาสะสม 700,000 บาท มูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่ = 300,000 บาท
-
บันทึกบัญชี:
- เดบิต: ค่าเสื่อมราคาสะสม (700,000 บาท)
- เดบิต: ขาดทุนจากการจำหน่ายทรัพย์สิน (300,000 บาท) (หรือบางครั้งอาจใช้ชื่อบัญชี “ขาดทุนจากทรัพย์สินเสียหาย” หรือ “ขาดทุนจากทรัพย์สินสูญหาย”)
- เครดิต: บัญชีทรัพย์สิน (เครื่องจักร) (1,000,000 บาท)
- กรณีมีการขายซาก: หากขายซากได้เงิน 20,000 บาท
- เดบิต: เงินสด/ลูกหนี้ (20,000 บาท)
- เครดิต: รายได้จากการขายซาก (20,000 บาท) (ซึ่งรายได้นี้จะไปหักลดขาดทุน)
- ในกรณีนี้ ขาดทุนสุทธิที่บันทึกบัญชีจะเป็น 300,000 – 20,000 = 280,000 บาท
-
ผลกระทบทางภาษีเงินได้นิติบุคคล:
- “ขาดทุนจากการจำหน่ายทรัพย์สิน” (หรือขาดทุนสุทธิหลังหักรายได้จากการขายซาก) ถือเป็น รายจ่ายที่สามารถหักได้ ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล หากมีเอกสารหลักฐานครบถ้วนตามที่กล่าวมาข้างต้น
-
ผลกระทบทางภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT):
- กรณีตัดบัญชีเพราะเสียหาย/สูญหาย/เลิกใช้: โดยทั่วไป การตัดบัญชีทรัพย์สินที่เสียหาย สูญหาย หรือเลิกใช้ และไม่ได้นำไปขาย ไม่ถือเป็นการขายสินค้าตามกฎหมาย VAT ดังนั้นจึง ไม่มีภาระภาษีขาย
- กรณีมีการขายซากทรัพย์สิน: หากมีการขายซากทรัพย์สินที่เสียหาย และซากทรัพย์สินนั้นอยู่ในระบบ VAT (คือเป็นทรัพย์สินที่เคยใช้ในการประกอบกิจการและเคยมีภาษีซื้อที่นำมาหักได้) ผู้ประกอบการมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับรายรับจากการขายซากนั้น (หากผู้ซื้อเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT) หรือรับรู้รายได้จากภาษีรวมในกรณีขายให้ผู้บริโภคทั่วไป

ข้อควรระวังเพิ่มเติมจากมุมมองของสรรพากร:
- ความสมเหตุสมผลของมูลค่า: สรรพากรอาจตรวจสอบความเหมาะสมของมูลค่าทรัพย์สินที่ตัดจำหน่าย หากเห็นว่าสูงเกินจริง หรือมีการอ้างเหตุผลที่ไม่น่าเชื่อถือ
- การจัดเก็บหลักฐาน: การไม่มีเอกสารหลักฐานที่ครบถ้วนหรือไม่น่าเชื่อถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สรรพากรไม่ยอมรับรายจ่าย
- เจตนาฉ้อโกง: หากพบว่ามีการเจตนาตัดจำหน่ายทรัพย์สินเพื่อลดกำไรโดยที่ทรัพย์สินไม่ได้เสียหายจริง หรือมีการขายทอดตลาดในราคาต่ำกว่าจริงอย่างผิดปกติ อาจถูกประเมินภาษีย้อนหลังและมีบทลงโทษ
- กรณีภัยพิบัติ: กรมสรรพากรมีแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับทรัพย์สินที่เสียหายจากภัยพิบัติที่อาจมีหลักเกณฑ์เฉพาะเพิ่มเติม ควรตรวจสอบประกาศของกรมสรรพากรที่เกี่ยวข้อง
การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เหล่านี้อย่างเคร่งครัดและมีการเตรียมเอกสารหลักฐานที่แข็งแรง จะช่วยให้กิจการสามารถตัดมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่ของทรัพย์สินที่สูญหายหรือชำรุดเป็นรายจ่ายทางภาษีได้อย่างถูกต้องและไม่มีปัญหาในการตรวจสอบจากกรมสรรพากร
ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax








