ข้อดีและข้อเสีย การเปิดบัญชีธนาคารในนามนิติบุคคลของกิจการ

การตัดสินใจเปิดบัญชีธนาคารสำหรับบริษัทว่าจะเป็นบัญชีเดียวหรือหลายบัญชีนั้น ไม่มีคำตอบที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับขนาด ลักษณะการดำเนินงาน และนโยบายการบริหารจัดการของแต่ละกิจการ โดยมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้ค่ะ


การเปิดบัญชีธนาคารแบบ “บัญชีเดียว” สำหรับบริษัท

คือ การที่บริษัทมีบัญชีธนาคารหลักเพียงบัญชีเดียวเพื่อรองรับธุรกรรมทางการเงินทั้งหมด ทั้งรายรับและรายจ่าย

ข้อดี (Pros):

  1. ความง่ายในการบริหารจัดการ:

    • ลดความซับซ้อน: มีบัญชีเดียวให้ดูแล ทำให้การบันทึกบัญชี, การกระทบยอด, และการตรวจสอบกระแสเงินสดทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่า
    • ลดภาระธุรการ: ลดเอกสารที่ต้องจัดการ เช่น สมุดบัญชี, รายการเดินบัญชี (Statement), บัตรเดบิต/เครดิต ที่เกี่ยวข้องกับบัญชี
    • ประหยัดค่าธรรมเนียม: มีโอกาสเสียค่าธรรมเนียมธนาคารน้อยกว่า (เช่น ค่าธรรมเนียมรายปี, ค่าธรรมเนียมการโอนข้ามธนาคาร)
  2. ภาพรวมทางการเงินที่ชัดเจน:

    • สามารถเห็นภาพรวมของสภาพคล่องเงินสดทั้งหมดของบริษัทได้ทันที โดยไม่ต้องรวบรวมข้อมูลจากหลายบัญชี
    • ง่ายต่อการตัดสินใจทางการเงินเร่งด่วน
  3. สะดวกในการประสานงานกับผู้สอบบัญชี/สรรพากร (ในเบื้องต้น):
    • มีจุดเดียวให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบ ทำให้การตรวจสอบกระแสเงินสดทำได้ง่าย
    • ข้อมูลเงินเข้าที่ธนาคารนำส่งสรรพากร (ตามมาตรา 3 สัตต) มาจากบัญชีเดียว ทำให้การติดตามข้อมูลอาจดูตรงไปตรงมา

ข้อเสีย (Cons):

  1. ขาดการแบ่งแยกวัตถุประสงค์ของเงิน:

    • เงินทั้งหมดปะปนกัน ทำให้ยากที่จะแยกแยะว่าเงินส่วนใดเป็นรายได้หลัก, ส่วนใดเป็นเงินสำรอง, ส่วนใดเป็นเงินสำหรับจ่ายเงินเดือน หรือส่วนใดสำหรับโปรเจกต์เฉพาะ
    • การวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายที่เฉพาะเจาะจงทำได้ยาก ต้องอาศัยการบันทึกบัญชีภายในที่ละเอียดมาก
  2. ความเสี่ยงด้านการควบคุมภายใน:

    • หากมีการทุจริตหรือความผิดพลาดเกิดขึ้น อาจกระทบต่อเงินทั้งหมดของบริษัท
    • ยากต่อการกำหนดอำนาจการอนุมัติที่แตกต่างกันสำหรับเงินแต่ละประเภท
  3. ปัญหาเมื่อมีปริมาณธุรกรรมสูง:

    • รายการเดินบัญชีจะยาวมาก ทำให้การกระทบยอดและการตรวจสอบข้อผิดพลาดซับซ้อนและใช้เวลานานขึ้น
  4. ความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของธนาคาร:

    • หากระบบของธนาคารล่ม หรือบัญชีมีปัญหา (เช่น ถูกอายัดโดยหน่วยงานรัฐ) กิจการอาจไม่สามารถเข้าถึงเงินทุนทั้งหมดได้เลย
ข้อดี-ข้อเสีย บริษัทมีบัญชีธนาคารเดียว
ข้อดี-ข้อเสีย บริษัทมีบัญชีธนาคารเดียว

การเปิดบัญชีธนาคารแบบ “หลายบัญชี” สำหรับบริษัท

คือ การที่บริษัทมีบัญชีธนาคารมากกว่าหนึ่งบัญชี โดยอาจแบ่งตามวัตถุประสงค์ เช่น บัญชีสำหรับรายรับ, บัญชีสำหรับรายจ่าย, บัญชีเงินเดือน, บัญชีออมทรัพย์, บัญชีสำหรับโครงการเฉพาะ

ข้อดี (Pros):

  1. การควบคุมและการแบ่งแยกที่ดีเยี่ยม:

    • ชัดเจนในวัตถุประสงค์: สามารถแยกเงินตามวัตถุประสงค์ได้อย่างชัดเจน (เช่น บัญชีเงินเดือน, บัญชีโครงการ A, บัญชีเงินสำรอง) ทำให้การบริหารจัดการงบประมาณและการใช้จ่ายมีประสิทธิภาพ
    • เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมภายใน: สามารถกำหนดผู้มีอำนาจอนุมัติ หรือผู้ดูแลบัญชีแต่ละประเภทได้ ทำให้ลดความเสี่ยงในการทุจริตและการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์
    • ง่ายต่อการวิเคราะห์: สามารถวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับแต่ละประเภทบัญชีได้อย่างเฉพาะเจาะจง
  2. การบริหารสภาพคล่องที่มีประสิทธิภาพ:

    • สามารถจัดสรรเงินสำรองไว้ในบัญชีที่ให้ดอกเบี้ยสูงได้ โดยไม่ปะปนกับเงินหมุนเวียน
    • ช่วยในการวางแผนกระแสเงินสดสำหรับแต่ละส่วนงานหรือแต่ละโปรเจกต์
  3. กระจายความเสี่ยง:

    • หากเกิดปัญหากับธนาคารใดธนาคารหนึ่ง (เช่น ระบบล่ม, บัญชีถูกอายัด) เงินของบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบทั้งหมด
  4. ความยืดหยุ่นและการเลือกใช้บริการที่เหมาะสม:

    • สามารถเลือกธนาคารที่มีบริการหรือโปรโมชั่นที่เหมาะสมกับแต่ละประเภทบัญชี (เช่น ธนาคาร A เหมาะกับบัญชีเงินเดือน, ธนาคาร B มีบัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูง)

ข้อเสีย (Cons):

  1. ความซับซ้อนและภาระงานที่เพิ่มขึ้น:

    • ต้องจัดการบัญชีหลายเล่ม ทำให้การบันทึกบัญชี, การกระทบยอด, และการตรวจสอบข้อมูลใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้น
    • การรวบรวมข้อมูลเพื่อดูภาพรวมทั้งหมดของบริษัททำได้ยากกว่า
    • อาจต้องใช้ระบบบัญชีที่รองรับการจัดการหลายบัญชี
  2. ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น:

    • มีโอกาสเสียค่าธรรมเนียมธนาคารมากขึ้น เช่น ค่าธรรมเนียมรายปีของแต่ละบัญชี, ค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างธนาคาร (หากมี)
  3. ความท้าทายในการนำส่งข้อมูลสรรพากร (มุมมองการจัดการ):

    • แม้ธนาคารจะนำส่งข้อมูลเงินเข้าบัญชีทุกบัญชีที่เข้าเกณฑ์ (400 ครั้ง/2 ล้านบาท หรือ 3,000 ครั้ง) อยู่แล้ว และสรรพากรจะรวบรวมข้อมูลภาพรวมของเลขประจำตัวผู้เสียภาษีนั้นๆ แต่ในมุมของกิจการเอง การมีข้อมูลจากหลายธนาคาร/หลายบัญชี อาจทำให้การรวบรวมและชี้แจงที่มาของรายได้ดูซับซ้อนขึ้นหากถูกเรียกตรวจสอบ
    • อาจต้องกระทบยอดและดูแลความถูกต้องของข้อมูลจากหลายแหล่ง
      ข้อดี-ข้อเสีย บริษัทมีมากกว่า 2 บัญชี
      ข้อดี-ข้อเสีย บริษัทมีมากกว่า 2 บัญชี

      บริษัทมี 2 บัญชีแยกเป็นรายรับ-รายจ่าย ออกจากกัน
      บริษัทมี 2 บัญชีแยกเป็นรายรับ-รายจ่าย ออกจากกัน

ข้อสรุปและคำแนะนำ:

  • กิจการขนาดเล็ก/เพิ่งเริ่มต้น: มักจะเหมาะกับการเปิด บัญชีเดียว เพื่อความง่ายในการบริหารจัดการและลดค่าใช้จ่าย
  • กิจการขนาดกลางถึงใหญ่/มีโครงสร้างซับซ้อน/มีหลายโปรเจกต์: มักจะได้รับประโยชน์จากการเปิด หลายบัญชี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมภายใน, การวิเคราะห์ทางการเงิน, และการบริหารจัดการงบประมาณที่แม่นยำยิ่งขึ้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ว่าจะมีกี่บัญชี บริษัทจะต้องมีการบันทึกบัญชีอย่างถูกต้องครบถ้วน และสามารถชี้แจงที่มาของเงินเข้าและออกทั้งหมดได้ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของกรมสรรพากรค่ะ

ตารางเปรียบเทียบ: การเปิดบัญชีธนาคารของบริษัท (บัญชีเดียว vs. หลายบัญชี)

คุณสมบัติ

การเปิดบัญชีธนาคารแบบ บัญชีเดียว

การเปิดบัญชีธนาคารแบบ หลายบัญชี

ความหมาย ทุกธุรกรรมการเงินของบริษัท (รับ-จ่าย-ออม) อยู่ในบัญชีธนาคารหลักเพียง 1 บัญชี บริษัทมีบัญชีธนาคารมากกว่า 1 บัญชี โดยอาจแบ่งตามวัตถุประสงค์ (เช่น บัญชีรายรับ, บัญชีรายจ่าย, บัญชีเงินเดือน, บัญชีเงินสำรอง, บัญชีโครงการ)
เหมาะสำหรับ – กิจการขนาดเล็ก

– กิจการเพิ่งเริ่มต้น

– ธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน

– เน้นความง่ายในการบริหาร

– กิจการขนาดกลางถึงใหญ่

– ธุรกิจที่มีความซับซ้อน

– มีหลายแผนก/โครงการ

– ต้องการการควบคุมภายในที่เข้มงวด

ข้อดี ง่ายต่อการบริหารจัดการ: ลดความซับซ้อนในการกระทบยอดและติดตามกระแสเงินสด

ลดภาระธุรการ: เอกสารน้อยลง, การจัดการเอกสารง่ายขึ้น

ประหยัดค่าธรรมเนียม: มีโอกาสเสียค่าธรรมเนียมธนาคารน้อยกว่า

ภาพรวมเงินสดชัดเจน: เห็นสภาพคล่องรวมได้ทันที

การแบ่งแยกเงินทุนที่ชัดเจน: แยกเงินตามวัตถุประสงค์ (เช่น เงินเดือน, ค่าใช้จ่ายโครงการ)

เพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมภายใน: กำหนดผู้ดูแล/ผู้อนุมัติแยกตามบัญชีได้ ลดความเสี่ยงทุจริต

ง่ายต่อการวิเคราะห์: สามารถวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายของแต่ละส่วนงาน/โครงการได้

กระจายความเสี่ยง: หากบัญชีใดมีปัญหา หรือธนาคารมีปัญหา จะไม่กระทบเงินทุนทั้งหมด

บริหารสภาพคล่องได้หลากหลาย: เลือกบัญชีที่ให้ดอกเบี้ยสูงสำหรับเงินสำรองได้

ข้อเสีย ขาดการแบ่งแยกวัตถุประสงค์: เงินทั้งหมดปะปนกัน ยากต่อการวิเคราะห์เจาะจง

ความเสี่ยงสูงหากเกิดปัญหา: หากบัญชีมีปัญหา เงินทุนทั้งหมดอาจถูกกระทบ

ยากต่อการจัดการเมื่อธุรกรรมสูง: รายการเดินบัญชีจะยาวมาก การกระทบยอดอาจผิดพลาดง่าย

ข้อจำกัดในการบริหารสภาพคล่อง: ไม่สามารถแยกเงินสำรองไปไว้ในบัญชีที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าได้

ความซับซ้อนและภาระงานที่เพิ่มขึ้น: ต้องจัดการหลายบัญชี, กระทบยอดหลายครั้ง, ใช้เวลากับธุรการมากขึ้น

ค่าธรรมเนียมสูงขึ้น: อาจมีค่าธรรมเนียมบัญชีรายปีหรือค่าธรรมเนียมการโอนระหว่างธนาคารมากขึ้น

ภาพรวมเงินสดที่กระจัดกระจาย: ต้องรวบรวมข้อมูลจากหลายบัญชีเพื่อดูสภาพคล่องรวม

ความท้าทายในการนำส่งข้อมูลสรรพากร: แม้สรรพากรจะรวบรวมข้อมูลรวมอยู่แล้ว แต่การจัดการข้อมูลจากหลายแหล่งอาจซับซ้อนขึ้นหากถูกเรียกตรวจสอบ

ข้อควรพิจารณาสำหรับสรรพากร (มาตรา 3 สัตต) ทุกยอดเงินเข้าที่เข้าเกณฑ์ (400 ครั้ง/2 ล้านบาท หรือ 3,000 ครั้ง) จะถูกนำส่งข้อมูลให้สรรพากรจากบัญชีนั้นๆ ทุกบัญชีที่เข้าเกณฑ์ จะถูกนำส่งข้อมูลให้สรรพากร สรรพากรจะนำข้อมูลทุกบัญชีภายใต้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีเดียวกันมารวมกันเพื่อวิเคราะห์รายได้ทั้งหมด

ไม่ว่าบริษัทจะเลือกเปิดบัญชีเดียวหรือหลายบัญชี สิ่งสำคัญที่สุดคือการ บันทึกบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน รวมถึงสามารถ ชี้แจงที่มาที่ไปของเงินเข้า-ออก ทั้งหมดได้เสมอ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกรมสรรพากรค่ะ

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่