การจัดทำบัญชี ที่คนชอบเข้าใจผิดมาก

การจัดทำบัญชี ที่คนชอบเข้าใจผิดมาก คิดว่าการทำบัญชีมักถูกมองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อและไม่น่าสนใจสำหรับคนทั่วไป เพราะเป็นการทำงานที่เน้นความละเอียด ตัวเลขซ้ำ ๆ และการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม ในบริบทของธุรกิจ การทำบัญชี กลับกลายเป็น เครื่องมือชี้เป็นชี้ตาย ที่สำคัญที่สุดในการดำเนินกิจการ นี่คือคำอธิบายโดยละเอียดว่าทำไม:


1. การรับรู้ของคนทั่วไป vs. ความเป็นจริงของธุรกิจ 🤯

มุมมองของคนทั่วไป (ความเบื่อหน่าย)

ความเป็นจริงทางธุรกิจ (ความสำคัญ)

เบื่อหน่าย: เน้นการ บันทึกย้อนหลัง (Past-focused) และการจัดเรียงเอกสารที่น่าเบื่อสำคัญ: เป็น การสร้างแผนที่ ทางการเงิน (Future-focused) เพื่อนำทางธุรกิจ
เบื่อหน่าย: เป็นแค่ ภาระผูกพัน (Compliance Burden) ที่ต้องทำตามกฎหมายสำคัญ: เป็น เครื่องมือควบคุม (Control Tool) ที่ใช้ในการบริหารสภาพคล่องและกำไร
เบื่อหน่าย: มองว่าเป็นแค่ ต้นทุน (Cost Center) ในการจ้างนักบัญชีสำคัญ: เป็น แหล่งข้อมูล (Data Source) ที่ใช้ในการตัดสินใจและสร้างความมั่งคั่ง

2. เหตุผลที่การทำบัญชี “ชี้เป็นชี้ตาย” ธุรกิจได้ 💥

การทำบัญชีที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นระบบมีผลกระทบโดยตรงต่อความอยู่รอดและการเติบโตของธุรกิจใน 4 มิติหลัก:

A. การตัดสินใจทางธุรกิจ (Business Decision-Making) 🎯

การทำบัญชีคือการเปลี่ยนข้อมูลดิบ (ธุรกรรม) ให้เป็นข้อมูลที่มีความหมาย งบการเงิน (งบกำไรขาดทุน, งบฐานะการเงิน) ที่มาจากบัญชีที่ถูกต้องจะบอกได้ว่า:

  • ควรลงทุนเพิ่มหรือไม่: บริษัทมีกำไรสุทธิที่แท้จริงเท่าใด ไม่ใช่แค่กระแสเงินสดที่ผ่านมือ
  • ควรกำหนดราคาสินค้าอย่างไร: ต้นทุนที่แท้จริงต่อหน่วยคือเท่าใด เพื่อให้กำหนดราคาขายได้อย่างเหมาะสม
  • ควรลดค่าใช้จ่ายตรงไหน: รายจ่ายใดที่สูงผิดปกติและเป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
  • ชี้เป็นชี้ตาย: หากไม่ทราบกำไรขาดทุนที่แท้จริง อาจทำให้ ขายขาดทุนโดยไม่รู้ตัว หรือ ขยายกิจการในขณะที่สภาพคล่องวิกฤต ซึ่งนำไปสู่การล้มละลาย

B. ความอยู่รอดทางภาษีและกฎหมาย (Tax and Legal Survival) ⚖️

ในฐานะนิติบุคคล การทำบัญชีคือการปฏิบัติตามกฎหมายที่เข้มงวด ซึ่งส่งผลต่อความอยู่รอดทางการเงินของกิจการโดยตรง:

  • ป้องกันภาษีย้อนหลังและค่าปรับ: การทำบัญชีผิดพลาดหรือไม่ครบถ้วน ทำให้กิจการไม่สามารถพิสูจน์รายจ่ายได้ หรือคำนวณภาษีผิดพลาด เมื่อถูกกรมสรรพากรเรียกตรวจสอบ จะถูกประเมิน ภาษีย้อนหลัง พร้อม เบี้ยปรับ (สูงสุด 200% ของภาษีที่ขาดไป) และ เงินเพิ่ม (1.5% ต่อเดือน) ซึ่งเป็นภาระก้อนใหญ่ที่อาจทำให้ธุรกิจขนาดเล็กต้องปิดตัวลง
  • การจำกัดความรับผิดชอบ: บัญชีที่ชัดเจนช่วยให้ ทรัพย์สินของบริษัท แยกออกจาก ทรัพย์สินส่วนตัว ตามกฎหมายอย่างชัดเจน ทำให้การจำกัดความรับผิดชอบ (Limited Liability) มีผลสมบูรณ์

C. การเข้าถึงแหล่งเงินทุน (Access to Capital) 🏦

ธุรกิจที่กำลังเติบโตต้องพึ่งพาเงินทุนจากภายนอก:

  • การขอสินเชื่อจากธนาคาร: ธนาคารใช้ งบการเงิน (ที่มาจากการทำบัญชีที่ถูกต้อง) เป็นเอกสารหลักในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ งบการเงินที่อ่อนแอหรือไม่น่าเชื่อถือจะทำให้บริษัท พลาดโอกาสในการกู้เงิน มาขยายธุรกิจ
  • การระดมทุนจากนักลงทุน: นักลงทุนภายนอก (VC หรือ Angel Investor) จะพิจารณาลงทุนเฉพาะในบริษัทที่มีระบบบัญชีที่โปร่งใสและตรวจสอบได้เท่านั้น

D. การบริหารสภาพคล่อง (Cash Flow Management) 🌊

บัญชีไม่ได้สนใจแค่ “กำไร” แต่รวมถึง “กระแสเงินสด” ด้วย:

  • เตือนภัยล่วงหน้า: การทำบัญชีช่วยให้ทราบว่าเมื่อใดที่บริษัทจะเกิด สภาพคล่องติดลบ แม้ว่าบริษัทจะมีกำไรทางบัญชีก็ตาม (เช่น ลูกค้าค้างจ่ายนาน)
  • ชี้เป็นชี้ตาย: ธุรกิจที่มีกำไรสูงสามารถล้มละลายได้ หากบริหารกระแสเงินสดผิดพลาด เพราะไม่มีเงินสดจ่ายค่าแรงหรือชำระหนี้ในระยะสั้น การทำบัญชีคือระบบเดียวที่สามารถส่งสัญญาณเตือนภัยนี้ได้ล่วงหน้า
การทำบัญชี "ชี้เป็นชี้ตาย" ธุรกิจได้
การทำบัญชี “ชี้เป็นชี้ตาย” ธุรกิจได้

เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่มอง การทำบัญชี และ งบการเงิน ว่าเป็นเพียงภาระที่ต้องทำเพื่อ “ยื่นเสียภาษี” เท่านั้น โดยมองข้ามบทบาทที่แท้จริงในฐานะ เครื่องมือชี้วัดมูลค่าและโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ ชี้เป็นชี้ตาย ในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกิจการ

ความจริงคือ งบการเงินที่ใช้ยื่นภาษี คือข้อมูลเดียวกันกับที่สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ นี่คือคำอธิบายโดยละเอียดว่าทำไมงบการเงินจึงมีผลต่อการเข้าถึงแหล่งทุนอย่างมาก:


1. ความเข้าใจผิด: บัญชีคือภาระทางภาษี (Tax Burden Misconception)

ผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) มักคิดว่า:

  • วัตถุประสงค์หลัก: บันทึกรายรับ-รายจ่ายเพื่อนำไปคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายเท่านั้น
  • การวางแผนที่ผิด: พยายาม “กดกำไรสุทธิ” ให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลน้อยที่สุด โดยเชื่อว่านี่คือการประหยัดภาษีที่ดีที่สุด
  • ผลลัพธ์: เมื่อต้องการขอสินเชื่อ ธุรกิจจึงยื่นงบการเงินที่แสดงกำไรต่ำมาก (หรือขาดทุน) ให้กับธนาคาร

2. ความเป็นจริง: งบการเงินคือ “พาสปอร์ต” สู่แหล่งทุน (The Passport to Capital) 🏦

สำหรับธนาคารและนักลงทุน งบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบและยื่นต่อกรมสรรพากรและกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) คือ หลักฐานเดียว ที่เชื่อถือได้และเป็นกลางที่สุดในการประเมินธุรกิจ

A. การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ (Repayment Ability)

ธนาคารจะใช้ งบกำไรขาดทุน เป็นหลักในการพิจารณา:

  • กำไรสุทธิ (Net Profit): เป็นตัวบ่งชี้ว่าธุรกิจสามารถสร้างรายได้เหนือกว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้จริงหรือไม่ หากกำไรสุทธิที่ปรากฏในงบการเงินต่ำมากหรือเป็นขาดทุน ธนาคารจะตีความว่า ธุรกิจมีความสามารถในการชำระหนี้คืนต่ำ และจะปฏิเสธการให้สินเชื่อทันที
  • ความขัดแย้งที่ร้ายแรง: การที่กิจการพยายาม “กดกำไร” เพื่อประหยัดภาษีเพียงเล็กน้อย ส่งผลให้ธนาคารมองว่ากิจการไม่สามารถทำกำไรได้ ผลลัพธ์คือ: ประหยัดภาษีได้เล็กน้อย แต่สูญเสียโอกาสในการเข้าถึงเงินทุนก้อนใหญ่เพื่อขยายกิจการ

B. การประเมินความมั่นคงและสภาพคล่อง (Solvency and Liquidity)

ธนาคารจะใช้ งบฐานะการเงิน (Balance Sheet) ในการวิเคราะห์ความเสี่ยง:

  • สภาพคล่อง (Liquidity): ดูจากอัตราส่วนสินทรัพย์หมุนเวียนต่อหนี้สินหมุนเวียน (Current Ratio) เพื่อประเมินว่าบริษัทมีเงินสดหรือสินทรัพย์ที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้เพียงพอต่อการชำระหนี้ระยะสั้นหรือไม่
  • ความมั่นคง (Solvency): ดูจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt-to-Equity Ratio) หากส่วนของผู้ถือหุ้นมีมูลค่าต่ำ หรือติดลบ (ขาดทุนสะสม) ธนาคารจะมองว่าธุรกิจมีความเสี่ยงสูงเกินไปที่จะปล่อยกู้ให้

C. การทำบัญชีคือการสร้างเครดิต (Building Credit History)

งบการเงินที่ยื่นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำและแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของรายได้และกำไร คือการสร้าง ประวัติเครดิต (Credit History) ให้กับตัวนิติบุคคลเอง เมื่อเวลาผ่านไป งบการเงินที่แข็งแกร่งจะทำให้การเข้าถึงเงินทุนง่ายขึ้นและได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ดีขึ้น


สรุป: การวางแผนภาษีที่สมบูรณ์ (Tax Optimization) 💡

การวางแผนภาษีที่ถูกต้องไม่ได้หมายถึงการจ่ายภาษีให้ น้อยที่สุด แต่หมายถึงการจ่ายภาษีในจำนวนที่ เหมาะสมและเป็นไปตามกฎหมาย โดยไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ทางการเงินของบริษัท

ผู้ประกอบการที่ฉลาดจะมองบัญชีเป็น การบริหารความมั่งคั่ง โดย:

  1. ไม่พยายามกดกำไร: แสดงกำไรที่เกิดขึ้นจริง เพื่อให้งบการเงินมีความแข็งแกร่งเพียงพอสำหรับการขอสินเชื่อและการขยายกิจการ
  2. จัดการรายจ่ายให้ถูกต้อง: นำรายจ่ายที่ถูกต้องตามกฎหมายมาหักออกให้ครบถ้วน แต่ไม่สร้างรายจ่ายปลอม
ปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อธุรกิจใช้ข้อมูลจากงบการเงินที่ใช้เสียภาษีเป็นหลัก งบการเงิน ล้วนมีผลต่อการเข้าถึงแหล่งทุนของธุรกิจอย่างมาก
ปัจจุบันการปล่อยสินเชื่อธุรกิจใช้ข้อมูลจากงบการเงินที่ใช้เสียภาษีเป็นหลัก งบการเงิน ล้วนมีผลต่อการเข้าถึงแหล่งทุนของธุรกิจอย่างมาก

เป็นความจริงอย่างยิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่า งบการเงิน มีไว้เพื่อ ยื่นกรมสรรพากร (Revenue Department) เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง งบการเงินที่นิติบุคคลยื่นนั้นมีสถานะเป็น ข้อมูลสาธารณะ ที่มีผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจและโอกาสในการเติบโตอย่างมหาศาล

การทำงบการเงินที่ไม่สะท้อนข้อมูลจริงของธุรกิจ (เช่น การกดกำไรให้ต่ำที่สุดเพื่อเลี่ยงภาษี) คือการ ทำลายความน่าเชื่อถือ ในสายตาของบุคคลภายนอกอย่างร้ายแรง


1. งบการเงินไม่ใช่เอกสารลับ: ความเข้าถึงได้ของคู่ค้า 🔍

งบการเงินที่บริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดยื่นเป็นประจำทุกปีนั้น ไม่ได้ถูกเก็บไว้เป็นความลับ เฉพาะกรมสรรพากรเท่านั้น แต่จะถูกนำส่งไปยัง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ด้วย

A. ช่องทางการเข้าถึงข้อมูล

  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD): บุคคลทั่วไป, คู่ค้า, สถาบันการเงิน หรือนักลงทุน สามารถเข้าถึงและ ขอสำเนางบการเงิน ที่ยื่นต่อ DBD เพื่อตรวจสอบฐานะทางการเงินของบริษัทใดก็ได้
  • การประเมินคู่ค้า (Vendor Vetting): บริษัทขนาดใหญ่หรือหน่วยงานราชการทุกแห่ง จะมีขั้นตอนการ ตรวจสอบสถานะทางการเงิน ของผู้รับเหมาหรือคู่ค้าใหม่ โดยการขอเอกสารหรือตรวจสอบข้อมูลผ่านระบบของ DBD โดยตรง

2. วิกฤตความน่าเชื่อถือเมื่อข้อมูลไม่ตรงความจริง 📉

เมื่อกิจการแสดงตัวว่าเป็นธุรกิจที่มีรายได้หลักสิบล้าน แต่กลับยื่นงบการเงินที่แสดงกำไรเพียงหลักแสน หรือหนักกว่านั้นคือ ขาดทุนสะสม จะนำไปสู่วิกฤตความน่าเชื่อถือทันที

A. การตีความของคู่ค้าและธนาคาร

งบการเงินที่แสดง

การตีความของคู่ค้า/ธนาคาร

ผลกระทบต่อธุรกิจ

กำไรต่ำมาก/ขาดทุน1. ความอ่อนแอทางธุรกิจ: ธุรกิจไม่มีความสามารถในการทำกำไรจริง มีความเสี่ยงสูงที่จะล้มละลาย หรือไม่สามารถส่งมอบงานได้ครบถ้วนสูญเสียโอกาส ในการรับงานขนาดใหญ่ หรือถูกปฏิเสธสินเชื่อ
ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ2. ขาดความมั่นคง: มีหนี้สินมากกว่าสินทรัพย์ (เข้าข่ายความเสี่ยงสูง)ถูกคู่ค้ามองว่าขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง
ข้อมูลขัดแย้งกับคำกล่าวอ้าง3. ขาดความซื่อสัตย์: เจ้าของพยายามปกปิดข้อมูลเพื่อเลี่ยงภาษี ซึ่งแสดงถึงความไม่ซื่อสัตย์ในการดำเนินกิจการทำลายความเชื่อมั่น (Trust) ในความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว

B. การทำลายโอกาสในการขยายกิจการ

  • การกู้ยืม: ธนาคารใช้ งบการเงินที่ยื่นสรรพากร เป็นข้อมูลพื้นฐานในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ (Repayment Ability) การกดกำไรเพื่อเลี่ยงภาษีเพียงหลักหมื่นหรือหลักแสน ทำให้ สูญเสียโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่อหลักล้าน เพื่อขยายกิจการ
  • การระดมทุน: นักลงทุนจะไม่พิจารณาลงทุนในบริษัทที่งบการเงินไม่สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง เนื่องจากข้อมูลนั้นไม่สามารถใช้ในการประเมินมูลค่า (Valuation) หรือสร้างแผนธุรกิจในอนาคตได้

3. สรุป: การทำบัญชีคือการสร้างมูลค่า 🌟

การทำบัญชีที่ถูกต้องไม่ได้มีไว้เพื่อ “เสียภาษี” แต่มีไว้เพื่อ “สร้างมูลค่า” ให้กับกิจการ

  1. การควบคุมความเสี่ยง: งบการเงินที่สะท้อนความจริงช่วยให้ผู้บริหารทราบว่าธุรกิจมี กำไรที่แท้จริง หรือ ขาดทุน และสามารถแก้ไขได้ทันท่วงที
  2. ความน่าเชื่อถือคือต้นทุนต่ำที่สุด: การยื่นงบการเงินที่แข็งแกร่งอย่างสม่ำเสมอ เป็นการลงทุนในความน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยลด ต้นทุนทางการเงิน (ได้ดอกเบี้ยสินเชื่อที่ถูกลง) และเพิ่ม โอกาสทางธุรกิจ (ได้งานประมูลขนาดใหญ่)

ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ฉลาดจะวางแผนภาษีโดยการ บริหารรายจ่ายให้ถูกต้อง เพื่อลดภาระภาษี แต่จะ แสดงกำไรที่สมเหตุสมผล เพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางการเงินที่มั่นคงสำหรับอนาคต

คู่ค้าสามารถเข้าถึงงบการเงินจากหลายช่องทาง การทำงบการเงินเพื่อเสียภาษี โดยไม่สะท้อนข้อมูลจริงของธุรกิจ มีผลต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ
คู่ค้าสามารถเข้าถึงงบการเงินจากหลายช่องทาง การทำงบการเงินเพื่อเสียภาษี โดยไม่สะท้อนข้อมูลจริงของธุรกิจ มีผลต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ

การที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า กำไรทางบัญชี (Accounting Profit) เท่ากับ กำไรทางภาษี (Taxable Profit) เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดอย่างมาก และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กิจการถูกกรมสรรพากรประเมินภาษีเพิ่มเติมภายหลัง

ความจริงคือ กำไรทางบัญชีใช้คำนวณภาษีโดยตรงไม่ได้ เพราะมีวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ความแตกต่างหลัก: วัตถุประสงค์ของกฎหมาย ⚖️

แนวคิด

กำไรทางบัญชี (ตามมาตรฐานบัญชี)

กำไรทางภาษี (ตามประมวลรัษฎากร)

วัตถุประสงค์เพื่อแสดง ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่แท้จริง (True Economic Performance) ให้แก่ผู้ถือหุ้น, ผู้บริหาร, และนักลงทุนเพื่อกำหนด ฐานภาษี ที่รัฐจะเรียกเก็บ (Revenue Collection and Policy Drive)
กฎเกณฑ์อ้างอิงมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป (TFRS)ประมวลรัษฎากร (มาตรา 65 ทวิ และ 65 ตรี)

ในการคำนวณภาษี บริษัทจะต้องนำ กำไรทางบัญชี มาทำการ “ปรับปรุง (Adjustment)” ให้เป็น กำไรทางภาษี โดยการบวกกลับและหักออกตามกฎหมายภาษี ดังนี้:


1. รายการที่กฎหมายภาษีกำหนดให้ “หักไม่ได้” (Non-Deductible Expenses)

รายการเหล่านี้คือ รายจ่ายต้องห้าม ตามมาตรา 65 ตรี แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งถึงแม้จะมีการจ่ายเกิดขึ้นจริงและบันทึกในบัญชีแล้ว แต่สรรพากรไม่อนุญาตให้นำมาลดกำไรเพื่อคำนวณภาษี

A. เหตุผลที่ถูก “บวกกลับ” (Add Back)

  • ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการโดยตรง: รายจ่ายส่วนตัว, ของขวัญ, หรือรายจ่ายที่ไม่มีความจำเป็นต่อการสร้างรายได้ (มาตรา 65 ตรี (13))
    • ตัวอย่าง: ค่าใช้จ่ายในการดูแลรถยนต์ส่วนตัวของกรรมการ, ค่าใช้จ่ายเดินทางไปพักผ่อนที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
  • ขาดหลักฐานพิสูจน์ผู้รับ: รายจ่ายที่ไม่มีใบเสร็จรับเงินที่สมบูรณ์ หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นผู้รับเงิน (มาตรา 65 ตรี (18))
    • ตัวอย่าง: รายจ่ายที่จ่ายเป็นเงินสดจำนวนมากโดยไม่มีหลักฐานการรับเงินจากผู้ขาย
  • มีวัตถุประสงค์ขัดต่อนโยบายรัฐ: รายจ่ายที่กฎหมายต้องการป้องปรามหรือลงโทษ
    • ตัวอย่าง: ค่าปรับทางอาญา, ค่าปรับตามกฎหมาย (เช่น ค่าปรับจราจร), ภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดจากภาษีซื้อต้องห้าม
  • รายจ่ายเพื่อการกุศลที่เกินวงเงิน: กฎหมายยอมรับให้หักได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิ (ก่อนหักรายจ่ายเพื่อการกุศล) ส่วนที่เกินต้องบวกกลับ

2. รายการที่กฎหมายภาษีกำหนดให้ “หักได้มากขึ้น” หรือ “น้อยลง” (Tax Allowances/Disallowances)

รายการเหล่านี้คือค่าใช้จ่ายที่มีหลักเกณฑ์ในการยอมรับทางบัญชีและทางภาษีที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการให้สิทธิพิเศษทางภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

A. รายการที่ “หักได้น้อยกว่าบัญชี”

  • ค่าเสื่อมราคา (Depreciation): มาตรฐานบัญชีอาจกำหนดอัตราค่าเสื่อมราคาตามอายุการใช้งานจริง แต่กฎหมายภาษีกำหนดเพดานอัตราสูงสุดที่ยอมรับได้ (เช่น อาคารถาวรหักได้สูงสุด 5% ต่อปี) หากบัญชีหักเกินกว่านี้ ส่วนที่เกินจะต้อง บวกกลับ

B. รายการที่ “หักได้มากกว่าบัญชี” (หรือแตกต่างกัน)

  • สิทธิประโยชน์ทางภาษี: กฎหมายภาษีกำหนดให้หักค่าใช้จ่ายได้มากขึ้นเพื่อส่งเสริมการลงทุน
    • ตัวอย่าง: ค่าใช้จ่ายวิจัยและพัฒนา (R&D): อาจได้รับอนุญาตให้หักได้ 200% หรือ 300% ของรายจ่ายจริง
    • การหักค่าเสื่อมราคาแบบเร่งรัด: กฎหมายอาจอนุญาตให้หักค่าเสื่อมราคาสำหรับเครื่องจักรหรือซอฟต์แวร์ได้เร็วกว่าปกติ (เช่น 100% ในปีแรก)
  • หนี้สูญ (Bad Debt): กฎหมายบัญชีอาจอนุญาตให้ตั้งสำรองหนี้สูญได้ตามหลักความระมัดระวัง แต่กฎหมายภาษีกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดกว่าในการตัดหนี้เป็นหนี้สูญจริง (ต้องมีการฟ้องร้อง หรือมีหลักฐานการติดตามทวงถามที่ชัดเจน)

บทสรุป: กระบวนการปรับปรุงกำไร 📝

ด้วยเหตุผลข้างต้น กำไรทางบัญชี จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ในทางปฏิบัติ บริษัทต้องจัดทำ แบบปรับปรุงกำไรสุทธิ (Tax Reconciliation) โดยมีขั้นตอนหลักคือ:

กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษี นี้เท่านั้นที่นำไปใช้คำนวณอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (สูงสุด 20% สำหรับ SME) โดยตรง

"กำไรทางบัญชี" จึงใช้คำนวณ "ภาษี" โดยตรงไม่ได้
“กำไรทางบัญชี” จึงใช้คำนวณ “ภาษี” โดยตรงไม่ได้

เป็นความเข้าใจผิดที่แพร่หลายอย่างมากในกลุ่มผู้ประกอบการ คือการคิดว่าการทำบัญชีและการจัดทำงบการเงินให้เสร็จภายในกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนดนั้น ก็เพียงพอแล้ว

ในความเป็นจริง การใช้เวลานานถึง 5 เดือน (150 วันนับจากวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี) เพื่อจัดทำและยื่นงบการเงินตามกำหนดของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) นั้น ถือว่า ล่าช้าเกินไปอย่างยิ่ง สำหรับการบริหารธุรกิจ การทำบัญชีช้าเท่ากับ รู้สุขภาพทางการเงินของธุรกิจช้าไปด้วย และอาจนำไปสู่หายนะโดยไม่รู้ตัว นี่คือคำอธิบายโดยละเอียด:


1. กรอบเวลาตามกฎหมาย: “กับดักความชะล่าใจ”

กำหนดเวลาตามกฎหมาย:

  • นิติบุคคล (บริษัทจำกัด/หจก.): ต้องจัดทำและนำส่งงบการเงินที่ผ่านการตรวจสอบโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต (CPA) ภายใน 5 เดือน (150 วัน) นับจากวันสิ้นสุดรอบระยะเวลาบัญชี (เช่น หากสิ้นสุด 31 ธ.ค. ต้องยื่นภายในเดือน พ.ค. ปีถัดไป)
  • วัตถุประสงค์ทางกฎหมาย: กรอบเวลานี้มีไว้เพื่อ ปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance) เท่านั้น เพื่อให้รัฐบาลสามารถรวบรวมข้อมูลทางเศรษฐกิจและเก็บภาษีได้ทันเวลา

ปัญหาเมื่อยึดตามกำหนดกฎหมาย:

งบการเงินที่ออกมาในช่วงเดือนพฤษภาคม เป็นข้อมูลที่สะท้อนผลการดำเนินงานของธุรกิจเมื่อ 5 เดือนที่แล้ว ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็ว ข้อมูล 5 เดือนที่แล้วถือเป็น อดีต หรือ ประวัติศาสตร์ ที่ใช้ในการวางแผนอนาคตไม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


2. ความจำเป็นของข้อมูลปัจจุบัน: “การตรวจสุขภาพแบบทันที” 🩺

การบริหารธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่ เป็นปัจจุบัน (Up-to-Date) หรือที่เรียกว่า Real-Time Data เพื่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ

A. รู้สุขภาพการเงินช้า = การตัดสินใจที่ผิดพลาด

หากคุณรอจนกระทั่งเดือนพฤษภาคมจึงรู้ว่าในเดือนธันวาคมปีก่อนเกิดปัญหา กำไรสุทธิลดลงอย่างรุนแรง หรือ ต้นทุนขายพุ่งสูงขึ้น คุณได้เสียเวลาไปแล้ว 5 เดือนในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น การตัดสินใจในระหว่าง 5 เดือนนั้น เช่น:

  • การขยายสาขา
  • การเพิ่มสินค้าคงคลัง
  • การเพิ่มงบการตลาด
  • การรับเงินกู้ก้อนใหม่ — อาจกลายเป็นการตัดสินใจที่ ผิดพลาด และนำไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวง เพราะถูกตัดสินบน ข้อมูลที่ไม่เป็นปัจจุบัน

B. วิกฤตกระแสเงินสด (Cash Flow Crisis)

งบการเงินที่ล่าช้าจะทำให้คุณทราบปัญหา สภาพคล่อง ล่าช้าไปด้วย

  • การชำระหนี้: อาจไม่ทราบว่าลูกหนี้การค้าเริ่มจ่ายช้าลง หรือหนี้สูญเพิ่มขึ้น จนกว่าบัญชีจะถูกปิด
  • สัญญาณเตือนภัย: ข้อมูลบัญชีที่ทันเวลาจะทำหน้าที่เป็น สัญญาณเตือนภัย ให้คุณทราบล่วงหน้าว่าเงินสดกำลังจะขาดมือภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า ทำให้มีเวลาเจรจากับซัพพลายเออร์ หรือหาวิธีเพิ่มกระแสเงินสด แต่หากรู้ช้าไป อาจทำให้ ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนพนักงาน หรือ ไม่มีเงินชำระหนี้ระยะสั้น

C. พลาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน 💰

สถาบันการเงินและนักลงทุนต้องการเห็น งบการเงินล่าสุด เพื่อพิจารณาการปล่อยสินเชื่อหรือการลงทุน หากคุณต้องการเงินกู้ในเดือนมกราคม แต่คุณยังไม่มีงบการเงินของปีที่แล้ว (เพราะเพิ่งจะเริ่มทำ) คุณจะ พลาดโอกาส ในการกู้เงินทันที และนั่นหมายถึงการสูญเสียโอกาสในการขยายธุรกิจในจังหวะที่ดีที่สุด


3. สรุป: เป้าหมายในการทำบัญชีที่ถูกต้อง 🎯

สำหรับผู้ประกอบการที่จริงจัง เป้าหมายในการทำบัญชีจึงไม่ใช่แค่การ “ยื่นให้ทัน” ตามกฎหมาย แต่คือการ:

เป้าหมายของนักบัญชีมืออาชีพ

ความหมายทางธุรกิจ

ปิดบัญชีรายเดือนให้ทันรู้กำไรขาดทุนทุกเดือน เพื่อให้ผู้บริหารปรับกลยุทธ์ด้านราคาและต้นทุนได้ทันที
จัดทำงบการเงินทุกไตรมาสตรวจสุขภาพการเงินทุก 3 เดือน เพื่อให้สามารถวางแผนภาษี, เงินปันผล, และการลงทุนได้
มีข้อมูลแบบ Real-Timeสามารถ ตัดสินใจได้ทันที บนพื้นฐานของข้อมูลที่เชื่อถือได้และเป็นปัจจุบัน

ดังนั้น การทำบัญชีและการออกงบการเงินที่รวดเร็วคือ เครื่องมือในการแข่งขัน ที่สำคัญที่สุด เพราะช่วยให้คุณสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและแก้ปัญหาทางการเงินได้ก่อนที่มันจะสายเกินไป

กฏหมายกำหนดเวลาส่งงบการเงิน ภายใน 5 เดือน แต่ธุรกิจจำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน รู้งบช้า ก็รู้"สุขภาพการเงิน"ช้าไปด้วย
กฏหมายกำหนดเวลาส่งงบการเงิน ภายใน 5 เดือน แต่ธุรกิจจำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน รู้งบช้า ก็รู้”สุขภาพการเงิน”ช้าไปด้วย

เป็นเรื่องจริงที่ผู้ประกอบการจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มตั้งบริษัท มักจะมองว่า “ค่าบริการทำบัญชี ยิ่งถูกยิ่งดี” และตัดสินใจว่าจ้างนักบัญชีหรือสำนักงานบัญชีโดยพิจารณาจาก ราคาต่ำสุด เป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นความเข้าใจผิดที่ อันตรายอย่างยิ่ง และเป็นหนึ่งในความเสี่ยงสูงสุดที่สามารถ ทำลายธุรกิจ ได้เลยทีเดียว เพราะการทำงบการเงินที่ถูกต้องนั้นต้องอาศัย ความละเอียดรอบคอบ ความชำนาญ และความเข้าใจในตัวธุรกิจ อย่างลึกซึ้ง


1. ความซับซ้อนของงานบัญชีและภาษีนิติบุคคล 🤯

การทำบัญชีสำหรับบริษัทจำกัด (นิติบุคคล) มีความซับซ้อนและมีภาระทางกฎหมายที่สูงกว่าบุคคลธรรมดามาก ซึ่งต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญจริง:

A. การแยก “กำไรทางบัญชี” และ “กำไรทางภาษี”

นักบัญชีต้องมีความเข้าใจใน ประมวลรัษฎากร (มาตรา 65 ตรี) เพื่อปรับปรุงรายการรายได้และรายจ่ายที่แตกต่างกันระหว่างหลักการบัญชีกับหลักการภาษี เช่น การแยก รายจ่ายต้องห้าม, การคำนวณ ค่าเสื่อมราคา ที่ถูกต้องตามภาษี, หรือการใช้ สิทธิประโยชน์ทางภาษี การขาดความเข้าใจตรงนี้จะทำให้คำนวณภาษีผิดพลาดทันที

B. ภาระการยื่นภาษีที่หลากหลาย

นิติบุคคลมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีรายเดือนหลายประเภท (ภ.ง.ด.1, 3, 53, ภ.พ.30) ซึ่งแต่ละประเภทมีกำหนดเวลาที่เคร่งครัดและมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน การทำบัญชีราคาถูกมักจะทำให้การยื่นภาษีเหล่านี้ผิดพลาด หรือล่าช้า ซึ่งนำไปสู่ ค่าปรับและเงินเพิ่ม ที่มหาศาล

C. การปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชี (TFRS)

งบการเงินต้องจัดทำตามมาตรฐานการบัญชีที่กำหนดโดยสภาวิชาชีพบัญชี ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าการบันทึกรายรับ-รายจ่ายทั่วไป หากทำบัญชีผิดมาตรฐาน ผู้สอบบัญชีจะไม่สามารถรับรองงบการเงินได้


2. ความเสี่ยงที่มาพร้อมกับค่าบริการทำบัญชีราคาถูก 📉

การว่าจ้างนักบัญชีโดยดูจากราคาเป็นหลัก คือการ ลดคุณภาพลงเพื่อแลกกับราคาถูก ซึ่งทำให้ธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่ประเมินค่าไม่ได้:

A. ความเสี่ยงด้านภาษี (Tax Risk)

  • การคำนวณภาษีผิดพลาด: นักบัญชีที่ไม่มีความเชี่ยวชาญมักจะไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างครบถ้วน หรือคำนวณรายจ่ายต้องห้ามผิดพลาด ส่งผลให้กิจการ จ่ายภาษีเกินความเป็นจริง (เพราะไม่รู้สิทธิ) หรือ จ่ายภาษีต่ำไป (ซึ่งจะถูกเรียกเก็บย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับ 100-200%)
  • การถูกตรวจสอบย้อนหลัง: สำนักงานบัญชีราคาถูกมักจะใช้ข้อมูลแบบเหมารวม (Generalization) และไม่มีการตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียด ซึ่งเป็นสัญญาณเตือน (Red Flag) ที่กรมสรรพากรใช้ในการเรียก ตรวจสอบย้อนหลัง

B. ความเสี่ยงด้านการตัดสินใจ (Decision-Making Risk)

  • ข้อมูลทางการเงินที่ผิดเพี้ยน: นักบัญชีราคาถูกอาจจะทำบัญชีเพียงเพื่อให้ “ปิดงบได้” แต่ไม่ได้สะท้อน สุขภาพการเงินที่แท้จริง ของธุรกิจ ทำให้เจ้าของไม่สามารถใช้ข้อมูลจากงบการเงินในการตัดสินใจได้ เช่น ตัดสินใจขยายกิจการในขณะที่ธุรกิจกำลังขาดสภาพคล่อง

C. ความน่าเชื่อถือของธุรกิจ (Credibility Risk)

  • งบการเงินที่ไม่น่าเชื่อถือ: งบการเงินที่ทำโดยไม่ได้มาตรฐานจะทำให้ผู้สอบบัญชีต้องแสดงความเห็นแบบมีเงื่อนไข หรือไม่แสดงความเห็น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ความน่าเชื่อถือ ในสายตาของธนาคารเมื่อคุณต้องการขอสินเชื่อ

3. บัญชีคุณภาพ คือการลงทุน ไม่ใช่แค่ค่าใช้จ่าย 💰

การว่าจ้างที่ปรึกษาภาษีที่มีคุณภาพและราคาเหมาะสม เป็นการ ลงทุนในความมั่นคงของธุรกิจ เพราะคุณจะได้รับมากกว่าการทำเอกสาร:

บัญชีราคาถูก

บัญชีคุณภาพ (การลงทุน)

ผลลัพธ์: ได้แค่ ตัวเลขงบการเงิน เพื่อยื่นภาษีผลลัพธ์: ได้ ข้อมูลเชิงกลยุทธ์ เพื่อวางแผนการเติบโต
ความเสี่ยง: มีความเสี่ยงสูงที่จะ จ่ายเบี้ยปรับ ในอนาคตความเสี่ยง: ลดความเสี่ยงทางภาษีให้ ใกล้เคียงศูนย์
บทบาท: ทำงานแบบ ย้อนหลัง (บันทึกอดีต)บทบาท: ทำงานแบบ มองไปข้างหน้า (วางแผนภาษีล่วงหน้า)
ค่าใช้จ่ายที่แท้จริง: ค่าบริการทำบัญชี + ค่าปรับและเงินเพิ่มค่าใช้จ่ายที่แท้จริง: ค่าบริการทำบัญชี + การประหยัดภาษี ที่มาจากการวางแผนอย่างถูกกฎหมาย

ดังนั้น การเลือกนักบัญชีจึงไม่ควรเน้นที่การประหยัดค่าใช้จ่ายรายเดือน แต่ควรเน้นที่ความสามารถในการ ป้องกันไม่ให้ธุรกิจของคุณต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ ให้กับกรมสรรพากรในอนาคตค่ะ

AccProTax รับทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี วางแผนภาษี ประสบการณ์กว่า 25 ปีวางแผนภาษีกับ AccProTax

“สะดวก รวดเร็ว เข้าใจ ให้คำปรึกษาเชิงรุก”  คือสิ่งที่ AccProTax ให้ความสำคัญ

เพราะเราเข้าใจดีว่า “เรื่องภาษี” ไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้ AccProTax จึงมุ่งเน้นการวางระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการตีความผิดพลาดและลดความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บย้อนหลัง ทีมงานของเรามีประสบการณ์กว่า 25 ปี ในการให้บริการทั้งการทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี และวางแผนภาษีอย่างรอบด้าน พร้อมคำปรึกษาที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน

เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/accprotax/

📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ
บริการประทับใจ ด้วยทีมงานมืออาชีพ

เริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดทำบัญชี วางแผนภาษี และการขอใบอนุญาตต่างๆ อย่างถูกต้อง มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และใช้ระยะเวลานาน การมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านงานจดทะเบียนธุรกิจเป็นที่ปรึกษาและวางแผนอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งข้อมูลต่อทางการอย่างถูกต้อง เป็นหัวใจสำคัญของก้าวแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจ เรายินดีให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่าน พร้อมให้คำแนะนำในด้านการจดทะเบียน บริษัท(บจก.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) อย่างครบวงจร รวมถึง จัดทำบัญชี และวางแผนภาษี (Tax Planning) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูล เรายินดีช่วยเหลือ ให้บริการที่รวดเร็ว ทันเวลา ราคาเหมาะสม คุยอย่างเป็นกันเอง ยินดีให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

กรุณากรอกข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญติดต่อกลับ ให้คำปรึกษาที่ตรงกับความต้องการของคุณได้อย่างรวดเร็ว

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่