ค่าน้ำมันรถ ทำเป็นรายจ่ายของกิจการได้อย่างไร?

ค่าน้ำมันรถ ทำเป็นรายจ่ายของกิจการได้อย่างไร ทาง”กิจการจะนำค่าน้ำมันรถมาเป็นรายจ่ายของธุรกิจได้ จะต้องมีเงื่อนไขหลักคือ เป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจจริง และมีหลักฐานการจ่ายที่สามารถพิสูจน์ผู้รับได้” นั้น ถูกต้องอย่างยิ่ง และเป็นหลักการพื้นฐานที่กรมสรรพากรใช้ในการพิจารณารายจ่ายทุกประเภท ไม่ใช่แค่ค่าน้ำมันรถเท่านั้น

นี่คือรายละเอียดและเงื่อนไขที่ครบถ้วนสำหรับการนำค่าน้ำมันมาเป็นรายจ่ายของกิจการ:


1. เงื่อนไขหลักข้อที่ 1: ต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจจริง (มาตรา 65 ตรี (13))

รายจ่ายค่าน้ำมันจะยอมรับได้ทางภาษี ก็ต่อเมื่อใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการโดยตรง ไม่ใช่เพื่อการส่วนตัวหรือเพื่อการอื่นที่กฎหมายห้ามไว้

A. ความเกี่ยวเนื่องโดยตรง

  • ใช้เพื่อกิจการ: ต้องพิสูจน์ได้ว่าการใช้น้ำมันนั้นเกิดจากการเดินทางเพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจเท่านั้น เช่น การขนส่งสินค้า, การไปพบลูกค้า, การเดินทางไปติดต่อราชการ, การเดินทางไปสำรวจงาน
  • การควบคุมภายในที่ชัดเจน: กิจการควรมี ระเบียบปฏิบัติ หรือ บันทึกการใช้รถ (Log Book) ที่แสดงรายละเอียดการเดินทางในแต่ละครั้ง ซึ่งระบุ:
    • วัน/เวลาที่ใช้
    • จุดหมายปลายทาง
    • วัตถุประสงค์ของการเดินทาง (เช่น “ไปรับเช็คจากลูกค้า A”, “ไปส่งสินค้าที่ท่าเรือ”)
    • ผู้ขับขี่ และ ลายเซ็นผู้อนุมัติ

B. ความสมเหตุสมผล

  • ไม่เกินความจำเป็น: ปริมาณการใช้น้ำมันต้องสมเหตุสมผลกับลักษณะการดำเนินงานของกิจการ (เช่น บริษัทที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ควรมีค่าใช้จ่ายน้ำมันจำนวนมากสำหรับการเดินทางข้ามจังหวัดเป็นประจำ หากไม่มีการติดต่อลูกค้าในพื้นที่นั้น)
  • พิสูจน์ความเป็นเจ้าของรถ: หากรถคันนั้นเป็นของกรรมการหรือพนักงาน กิจการต้องมี ระเบียบการเบิกค่าเดินทาง/ค่าน้ำมัน ที่ชัดเจน

2. เงื่อนไขหลักข้อที่ 2: ต้องมีหลักฐานการจ่ายที่สมบูรณ์และพิสูจน์ผู้รับได้

การมีหลักฐานที่ถูกต้องและสามารถระบุตัวตนของผู้รับเงินได้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของมาตรา 65 ตรี (18) ที่ห้ามมิให้นำรายจ่ายที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นผู้รับมาหักเป็นรายจ่าย

A. หลักฐานสำหรับค่าน้ำมัน

  1. ใบกำกับภาษีเต็มรูป (ส่วนใหญ่): หากเติมน้ำมันจากปั๊มน้ำมันที่จดทะเบียน VAT (ส่วนใหญ่เป็นปั๊มใหญ่) ต้องขอ ใบกำกับภาษีเต็มรูป ที่มีรายละเอียดดังนี้:
    • ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี ของกิจการที่เติมน้ำมัน
    • ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี ของผู้ขาย (ปั๊มน้ำมัน)
    • จำนวน และ ราคาน้ำมัน (แยกภาษีมูลค่าเพิ่ม)
    • วันที่ ที่ออกใบกำกับภาษี
    • ประโยชน์เพิ่มเติม: สามารถใช้เป็นหลักฐานในการหักภาษีซื้อ (Input VAT) ได้
  2. ใบเสร็จรับเงิน/บิลเงินสด (บางกรณี): หากเติมน้ำมันจากร้านค้าที่ไม่จด VAT หรือไม่สะดวกออกใบกำกับภาษี (ซึ่งพบได้น้อยลง) ใบเสร็จนั้นต้องมีรายละเอียดที่พอเพียง เช่น ชื่อผู้ขาย ที่อยู่ วันที่ จำนวนเงิน และลายเซ็นผู้รับเงิน (เพื่อเป็นรายจ่ายนิติบุคคล แต่ไม่สามารถหักภาษีซื้อได้)

B. การพิสูจน์ “ผู้รับเงิน”

การมีชื่อผู้ขาย (ปั๊มน้ำมัน) ในใบกำกับภาษีเต็มรูป ถือว่า พิสูจน์ผู้รับได้สมบูรณ์แล้ว

ข้อควรระวัง:

  • ห้ามใช้ใบกำกับภาษีจากปั๊มอื่น: หากไม่ได้เติมที่ปั๊มนั้นจริง หรือใช้ใบกำกับภาษีปลอม จะมีโทษร้ายแรง
  • รายละเอียดต้องครบถ้วน: หากไม่มีรายละเอียดของกิจการผู้ซื้อ อาจถูกพิจารณาเป็นรายจ่ายที่พิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นของกิจการ
ค่าน้ำมันรถยนต์ ทำเป็นรายจ่ายของกิจการได้ ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และมีหลักฐานการจ่าย ที่สามารถพิสูจน์ผู้รับได้
ค่าน้ำมันรถยนต์ ทำเป็นรายจ่ายของกิจการได้ ต้องเป็นรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และมีหลักฐานการจ่าย ที่สามารถพิสูจน์ผู้รับได้

3. ประเด็นด้านภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เกี่ยวข้อง

ค่าน้ำมันเป็นค่าใช้จ่ายที่มี VAT เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งต้องพิจารณาเงื่อนไขเพิ่มเติม:

  • น้ำมันสำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง): ภาษีซื้อสำหรับค่าน้ำมันรถเก๋ง ถือเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ตามมาตรา 82/5(3) และประกาศอธิบดีกรมสรรพากร (ต้องนำ VAT ไปรวมเป็นต้นทุนค่าน้ำมันและหักเป็นรายจ่ายนิติบุคคลทั้งหมด)
  • น้ำมันสำหรับรถกระบะ/รถบรรทุก (เกิน 10 ที่นั่ง): ภาษีซื้อสำหรับรถประเภทนี้ สามารถนำมาหักได้ เนื่องจากถือว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับการขนส่งสินค้าหรือบริการ

ดังนั้น แม้จะเตรียมเอกสารครบถ้วน แต่กิจการยังต้องพิจารณา ประเภทของรถ เพื่อให้สามารถใช้สิทธิ์หักภาษีซื้อได้อย่างถูกต้อง

สรุป: เงื่อนไขหลักทั้งสองข้อ (ความเกี่ยวข้องกับธุรกิจจริงและหลักฐานที่พิสูจน์ผู้รับได้) เป็นรากฐานที่ถูกต้องในการนำค่าน้ำมันมาเป็นรายจ่ายทางภาษี และการมี บันทึกการใช้รถ ที่เป็นระบบจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับหลักฐานค่าน้ำมันได้อย่างมากค่ะ


รถยนต์ทั้ง 3 ประเภทของกิจการ ที่สามารถนำค่าน้ำมันมาเป็นรายจ่ายของกิจการได้ หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่เข้มงวดของกรมสรรพากร โดยเฉพาะเรื่อง การพิสูจน์ความเกี่ยวข้องกับธุรกิจจริง (มาตรา 65 ตรี (13)) และ หลักฐานการจ่ายที่พิสูจน์ผู้รับได้

เงื่อนไขและวิธีการเบิกจ่ายค่าน้ำมันสำหรับรถยนต์แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน ดังนี้:


1. รถยนต์ของกิจการ (กรรมสิทธิ์เป็นของบริษัท/ห้างหุ้นส่วน)

รถยนต์ประเภทนี้มีหลักฐานการเบิกจ่ายที่ง่ายที่สุด เนื่องจากความเป็นเจ้าของชัดเจน แต่ยังต้องพิสูจน์การใช้งานเพื่อธุรกิจ

เงื่อนไขหลักในการเป็นรายจ่าย

วิธีการและเอกสารที่ต้องใช้

ภาระภาษีซื้อ (VAT)

การใช้งานต้องใช้เพื่อดำเนินกิจการจริง เช่น ขนส่งสินค้า ติดต่อลูกค้ารถยนต์นั่งส่วนบุคคล (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง/รถเก๋ง): ภาษีซื้อถือเป็น ต้องห้าม (ต้องนำ VAT ไปรวมเป็นต้นทุนค่าน้ำมัน)
หลักฐานการจ่ายใบกำกับภาษีเต็มรูป ที่ระบุชื่อและเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของ กิจการ โดยสมบูรณ์ (พิสูจน์ผู้รับได้)รถกระบะ/รถบรรทุก (รถที่ไม่ใช่รถยนต์นั่ง): ภาษีซื้อ สามารถนำมาหัก ได้
การพิสูจน์ควรมี บันทึกการใช้รถ (Log Book) หรือหนังสืออนุมัติการเดินทาง เพื่อยืนยันวัน/เวลา/วัตถุประสงค์ในการใช้รถ 
ค่าน้ำมันรถยนต์ สำหรับรถยนต์ของกิจการ (กรรมสิทธิ์เป็นของบริษัท/ห้างหุ้นส่วน)
ค่าน้ำมันรถยนต์ สำหรับรถยนต์ของกิจการ (กรรมสิทธิ์เป็นของบริษัท/ห้างหุ้นส่วน)

2. รถยนต์ของกรรมการ หรือพนักงาน (จ่ายชดเชยค่าใช้จ่าย)

การนำรถส่วนตัวมาใช้ในงานของบริษัท จัดเป็น รายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อกิจการ แต่ต้องมีระบบที่รัดกุมกว่ารถของกิจการเพื่อป้องกันการตีความว่าเป็นรายจ่ายส่วนตัว

เงื่อนไขหลักในการเป็นรายจ่าย

วิธีการและเอกสารที่ต้องใช้

ภาระภาษีซื้อ (VAT)

การใช้งานต้องมีคำสั่ง/บันทึกการใช้รถเพื่อกิจการของบริษัทอย่างชัดเจนภาษีซื้อที่ปรากฏในใบกำกับภาษี ถือเป็นต้องห้าม เพราะผู้ซื้อไม่ใช่บริษัทโดยตรง
หลักฐานการจ่ายระเบียบการเบิกจ่าย: บริษัทต้องมีระเบียบที่ระบุอัตราการจ่ายชดเชยที่ชัดเจนและสมเหตุสมผล 
รูปแบบการจ่าย1. จ่ายค่าน้ำมันตามจริง (Reimbursement): พนักงานรวบรวมใบกำกับภาษี/ใบเสร็จ แนบมาเบิกจากบริษัท บริษัทบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายบริษัท 
 2. จ่ายค่าสึกหรอและค่าใช้จ่ายรถยนต์แบบเหมาจ่าย: จ่ายเป็นเงินเหมาจ่ายต่อเดือนให้กับพนักงานเพื่อครอบคลุมค่าน้ำมันและการดูแลรักษา โดยที่พนักงาน ไม่ต้องแนบใบเสร็จ มาเบิก 

ข้อควรระวังสำหรับรถพนักงาน: รูปแบบที่ 2 (เหมาจ่าย) มีความเสี่ยงที่สรรพากรอาจตีความว่าเงินเหมาจ่ายส่วนเกินนั้นเป็น เงินได้พนักงาน (40(1)) ซึ่งต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากอัตราเหมาจ่ายสูงเกินความจำเป็น

ค่าน้ำมันรถยนต์ ประเภทรถยนต์ของกรรมการ หรือพนักงาน
ค่าน้ำมันรถยนต์ ประเภทรถยนต์ของกรรมการ หรือพนักงาน

3. รถยนต์ที่ใช้ครั้งคราว (การยืมใช้แล้วเบิกค่าน้ำมัน)

การยืมใช้รถยนต์ของบุคคลอื่นชั่วคราวแล้วมาเบิกค่าน้ำมันนั้น คล้ายกับกรณีของรถกรรมการ/พนักงาน แต่ต้องมีการควบคุมเป็นรายครั้งที่เข้มงวดกว่า

เงื่อนไขหลักในการเป็นรายจ่าย

วิธีการและเอกสารที่ต้องใช้

ภาระภาษีซื้อ (VAT)

การใช้งานต้องมีการ อนุมัติการยืมใช้รถ และ อนุมัติการเดินทาง เป็นลายลักษณ์อักษรก่อนการเดินทางภาษีซื้อที่ปรากฏในใบกำกับภาษี ถือเป็นต้องห้าม
หลักฐานการจ่ายใบเบิกเงินทดรองจ่าย/ใบสำคัญจ่าย: พนักงาน/ผู้ที่ยืมใช้ต้องสำรองจ่ายก่อน แล้วนำใบกำกับภาษีค่าน้ำมัน (ระบุชื่อผู้สำรองจ่าย) มา แนบเบิก พร้อมกับหลักฐานการอนุมัติการยืมใช้ 
การพิสูจน์หนังสือยืนยัน/บันทึก: ต้องมีบันทึกว่าการเดินทางครั้งนั้นเป็นการทำเพื่อกิจการของบริษัทจริง และพิสูจน์ได้ว่าบริษัทจ่ายเงินชดเชยให้พนักงานจริงตามจำนวนที่จ่ายไป 
ค่าน้ำมันรถยนต์ ของรถยนต์ที่ใช้ครั้งคราว (การยืมใช้แล้วเบิกค่าน้ำมัน)
ค่าน้ำมันรถยนต์ ของรถยนต์ที่ใช้ครั้งคราว (การยืมใช้แล้วเบิกค่าน้ำมัน)

สรุปหลักการยอมรับค่าน้ำมันเป็นรายจ่าย

เพื่อให้ค่าน้ำมันรถยนต์ทั้ง 3 ประเภทนี้เป็น รายจ่ายที่หักได้ทางภาษี (Tax Deductible) กิจการต้องปฏิบัติตามหลักการสำคัญ 3 ประการ:

  1. ต้องมีใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงินที่สมบูรณ์: เพื่อพิสูจน์การจ่ายเงินและผู้รับเงิน
  2. ต้องพิสูจน์ความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ: ต้องมีเอกสารภายใน (เช่น Log Book หรือหนังสืออนุมัติ) ยืนยันว่าการเดินทางนั้นทำเพื่อสร้างรายได้ของกิจการ
  3. ต้องทำตามระเบียบของบริษัท: หากเป็นรถของกรรมการ/พนักงาน การจ่ายชดเชยต้องเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและสมเหตุสมผล

หากขาดหลักฐานใดหลักฐานหนึ่งไป มีความเสี่ยงสูงที่สรรพากรจะปัดรายจ่ายค่าน้ำมันนั้นเป็น รายจ่ายต้องห้าม ทำให้กิจการต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นย้อนหลังค่ะ


ค่าน้ำมันรถยนต์จะเป็นรายจ่ายของกิจการได้อย่างถูกต้องและสรรพากรยอมรับได้นั้น หัวใจสำคัญ คือ การรวบรวมเอกสารที่ครบถ้วนและสามารถพิสูจน์ “การจ่ายจริง” และ “ความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ” ในทุกขั้นตอน

นี่คือรายละเอียดของเอกสารที่กิจการต้องรวบรวมอย่างถูกต้องและเป็นระบบ:


1. เอกสารหลักฐานภายนอก: พิสูจน์การจ่ายเงินและผู้รับ

เอกสารเหล่านี้คือหลักฐานการทำธุรกรรมจากภายนอก ซึ่งต้องมีรายละเอียดตามที่กฎหมายกำหนด

A. ใบกำกับภาษีเต็มรูป/ใบเสร็จรับเงิน

รายการที่ต้องมี

รายละเอียดที่ถูกต้อง

ความสำคัญทางภาษี

1. ชื่อผู้ซื้อต้องระบุ ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (13 หลัก) ของกิจการ (ผู้ซื้อ) อย่างชัดเจนและถูกต้องยืนยันว่ารายจ่ายเป็นของกิจการจริง (ป้องกันรายจ่ายส่วนตัว) และพิสูจน์ผู้รับเงินได้ (ม. 65 ตรี (18))
2. ชื่อผู้ขายต้องระบุ ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ขาย (ปั๊มน้ำมัน)พิสูจน์แหล่งที่มาของรายจ่าย
3. รายละเอียดสินค้าต้องระบุ ชนิดน้ำมัน และ จำนวนเงินที่ชัดเจน (รวมและแยกภาษีมูลค่าเพิ่ม)ใช้คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้อย่างถูกต้อง
4. วันที่ต้องเป็นวันที่เกิดรายการซื้อขายจริงใช้บันทึกบัญชีตามรอบระยะเวลาบัญชี

B. หลักฐานการจ่ายเงิน (ถ้ามีการจ่ายด้วยวิธีอื่น)

  • บัตรเติมน้ำมัน (Fleet Card): หลักฐานการใช้บัตรเติมน้ำมันที่ออกในนามของบริษัท (ควรแนบสรุปยอดการใช้บัตรรายเดือนที่บริษัทออกให้)
  • สลิปโอนเงิน/Bank Statement: หากมีการโอนเงินไปชำระยอดรวมค่าน้ำมัน (ในกรณีที่เป็น Fleet Card)

2. เอกสารหลักฐานภายใน: พิสูจน์ความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ

เอกสารเหล่านี้เป็นหลักฐานที่กิจการจัดทำขึ้นเองเพื่อยืนยันว่าการใช้น้ำมันนั้น จำเป็นและสมเหตุสมผลต่อการดำเนินงาน

A. ใบสำคัญจ่าย/ใบเบิกเงินทดรองจ่าย

  • เป็นเอกสารภายในที่ใช้ รวม หลักฐานทั้งหมด
  • ต้องมี วันที่จ่าย, จำนวนเงินที่จ่าย, เหตุผลในการจ่าย, ลายเซ็นผู้อนุมัติ (ผู้มีอำนาจ) และ ลายเซ็นผู้รับเงิน (ผู้เบิก)
  • ใช้เป็นเอกสารหลักในการบันทึกบัญชี

B. บันทึกการใช้รถ (Log Book)

แม้กฎหมายภาษีไม่ได้บังคับให้มี แต่ บันทึกนี้สำคัญที่สุด ในการพิสูจน์ความเกี่ยวข้องทางธุรกิจ โดยเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (รถเก๋ง) ที่ถูกเพ่งเล็ง:

  • ระบุ วัน/เวลาที่เดินทาง
  • ระบุ ต้นทาง และ ปลายทาง
  • ระบุ วัตถุประสงค์ ของการเดินทางอย่างละเอียด (เช่น “ส่งสินค้าให้ลูกค้า A”, “เข้าประชุมที่สำนักงาน B”)
  • ระบุ เลขทะเบียนรถ และ ชื่อผู้ขับขี่
  • ระยะทาง ที่ใช้ (เลขไมล์เริ่มต้น/สิ้นสุด)

C. หนังสืออนุมัติการเบิกจ่าย

  • ระเบียบการเบิกจ่ายค่าน้ำมัน: ต้องมีระเบียบที่อนุมัติโดยผู้มีอำนาจของกิจการ เพื่อยืนยันว่าการเบิกค่าน้ำมันรถยนต์ของกรรมการ/พนักงาน (กรณีรถส่วนตัว) เป็นไปตามนโยบายของบริษัท และถือเป็นรายจ่ายที่จ่ายไปเพื่อกิจการจริง
หลักฐานการเบิกค่าน้ำมันรถยนต์เป็นรายจ่ายของกิจการที่ถูกต้อง
หลักฐานการเบิกค่าน้ำมันรถยนต์เป็นรายจ่ายของกิจการที่ถูกต้อง
หลักฐานการเบิกค่าน้ำมันรถยนต์เป็นรายจ่ายของกิจการที่ถูกต้อง
หลักฐานการเบิกค่าน้ำมันรถยนต์เป็นรายจ่ายของกิจการที่ถูกต้อง

3. เงื่อนไขเพิ่มเติมด้านภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

แม้จะมีเอกสารครบถ้วน แต่ภาษีซื้อ (VAT) ที่อยู่ในใบกำกับภาษีค่าน้ำมันก็ยังอาจเป็น ภาษีซื้อต้องห้าม หากเป็นกรณีดังต่อไปนี้:

ประเภทรถยนต์

การจัดการภาษีซื้อ (VAT)

รถยนต์นั่งส่วนบุคคล (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง เช่น รถเก๋ง)ภาษีซื้อถือเป็น ต้องห้าม หักไม่ได้ ต้องนำ VAT ไปรวมเป็นต้นทุนค่าน้ำมันทั้งหมด
รถกระบะ, รถตู้, รถบรรทุก (รถที่ไม่ได้จัดเป็นรถยนต์นั่ง)ภาษีซื้อ นำมาหักได้ ตามปกติ
รถของกรรมการ/พนักงาน (รถส่วนตัว)ภาษีซื้อถือเป็น ต้องห้าม เพราะผู้ซื้อ (ตามใบกำกับภาษี) ไม่ใช่กิจการโดยตรง (เว้นแต่จะมีการแก้ไขรายละเอียดในใบกำกับภาษีให้ถูกต้อง)

ดังนั้น ค่าน้ำมันทั้งหมด (รวม VAT) จะเป็นรายจ่ายของกิจการได้ แต่สิทธิในการ หักภาษีซื้อ จะขึ้นอยู่กับประเภทของรถยนต์เป็นสำคัญ

เอกสารจะสมบูรณ์ แบะเป็นรายจ่ายการเบิกค่าน้ำมัน จะต้องมีเอกสารพร้อมรายละเอียดชัดเจน และได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจของกิจการเสมอ
เอกสารจะสมบูรณ์ แบะเป็นรายจ่ายการเบิกค่าน้ำมัน จะต้องมีเอกสารพร้อมรายละเอียดชัดเจน และได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจของกิจการเสมอ

AccProTax รับทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี วางแผนภาษี ประสบการณ์กว่า 25 ปีวางแผนภาษีกับ AccProTax

“สะดวก รวดเร็ว เข้าใจ ให้คำปรึกษาเชิงรุก”  คือสิ่งที่ AccProTax ให้ความสำคัญ

เพราะเราเข้าใจดีว่า “เรื่องภาษี” ไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้ AccProTax จึงมุ่งเน้นการวางระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการตีความผิดพลาดและลดความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บย้อนหลัง ทีมงานของเรามีประสบการณ์กว่า 25 ปี ในการให้บริการทั้งการทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี และวางแผนภาษีอย่างรอบด้าน พร้อมคำปรึกษาที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน

เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/accprotax/

📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ
บริการประทับใจ ด้วยทีมงานมืออาชีพ

เริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดทำบัญชี วางแผนภาษี และการขอใบอนุญาตต่างๆ อย่างถูกต้อง มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และใช้ระยะเวลานาน การมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านงานจดทะเบียนธุรกิจเป็นที่ปรึกษาและวางแผนอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งข้อมูลต่อทางการอย่างถูกต้อง เป็นหัวใจสำคัญของก้าวแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจ เรายินดีให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่าน พร้อมให้คำแนะนำในด้านการจดทะเบียน บริษัท(บจก.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) อย่างครบวงจร รวมถึง จัดทำบัญชี และวางแผนภาษี (Tax Planning) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูล เรายินดีช่วยเหลือ ให้บริการที่รวดเร็ว ทันเวลา ราคาเหมาะสม คุยอย่างเป็นกันเอง ยินดีให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

กรุณากรอกข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญติดต่อกลับ ให้คำปรึกษาที่ตรงกับความต้องการของคุณได้อย่างรวดเร็ว

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่