ในฐานะผู้ประกอบการ การไม่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เมื่อมีรายได้เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และมีความเสี่ยงสูงมากที่จะถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร ซึ่งจะส่งผลเสียต่อธุรกิจในระยะยาว
เหตุผลที่สรรพากรจะเรียกตรวจสอบ
การที่กิจการมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทแต่ไม่จดทะเบียน VAT ถือเป็น “ธงแดง” (Red Flag) ที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับกรมสรรพากร เพราะข้อมูลดังกล่าวเป็นสิ่งที่ตรวจสอบได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในปัจจุบันที่สรรพากรมีเทคโนโลยีในการวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูล ดังนี้
- ข้อมูลการชำระเงินจากธนาคาร: ตามกฎหมาย สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลบัญชีที่มีการรับโอนเงินจำนวนมากหรือจำนวนครั้งเกินเกณฑ์ที่กำหนดให้แก่กรมสรรพากร หากยอดรวมในบัญชีของคุณสูงกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี สรรพากรจะทราบได้ทันทีว่าคุณมีรายได้เกินเกณฑ์ที่ต้องจด VAT
- ข้อมูลจากผู้ซื้อ: หากลูกค้าของคุณเป็นบริษัทหรือผู้ประกอบการที่จด VAT พวกเขาอาจขอใบกำกับภาษีจากคุณเพื่อนำไปบันทึกเป็นภาษีซื้อ แต่เมื่อคุณไม่สามารถออกให้ได้ ลูกค้าก็อาจแจ้งเบาะแสให้กรมสรรพากรทราบ
- การเปรียบเทียบข้อมูลภายใน: หากคุณมีการซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าจำนวนมาก และได้รับใบกำกับภาษีซื้อจากผู้ขาย สรรพากรสามารถนำข้อมูลการซื้อของคุณไปเปรียบเทียบกับยอดขายที่คุณแจ้งได้ หากยอดซื้อสูงแต่ไม่มีการแจ้งยอดขายหรือไม่มีการจด VAT ก็จะเกิดข้อสงสัย
- การลงพื้นที่ตรวจสอบ: สรรพากรอาจใช้วิธีการล่อซื้อหรือลงพื้นที่ตรวจสอบเพื่อยืนยันว่ามีการประกอบกิจการจริง และมีการซื้อขายในปริมาณที่สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดหรือไม่
ผลกระทบจากการไม่จด VAT
หากถูกตรวจสอบและพบว่าคุณมีรายได้เกินเกณฑ์แต่ไม่จดทะเบียน VAT คุณจะต้องเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงดังนี้:
- ต้องจดทะเบียน VAT ย้อนหลัง: สรรพากรจะสั่งให้คุณจดทะเบียน VAT ตั้งแต่วันที่รายได้เกินเกณฑ์
- ภาระภาษีที่มหาศาล: คุณจะต้องจ่าย ภาษีขาย 7% ของยอดขายย้อนหลังทั้งหมดตั้งแต่ที่รายได้เกิน 1.8 ล้านบาท
- ค่าปรับและเงินเพิ่ม:
- เบี้ยปรับ: ต้องจ่ายเบี้ยปรับสูงสุด 2 เท่า ของเงินภาษีที่ต้องชำระ
- เงินเพิ่ม: ต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตรา 1.5% ต่อเดือน ของเงินภาษีที่ขาดไป
- การขาดโอกาสทางธุรกิจ: การไม่มีใบกำกับภาษีจะทำให้คุณไม่สามารถทำธุรกิจกับบริษัทใหญ่ๆ ที่ต้องการใบกำกับภาษีซื้อได้ ซึ่งจะทำให้คุณเสียโอกาสในการขยายตลาด
การไม่จดทะเบียน VAT จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจนำไปสู่ภาระทางการเงินที่หนักหน่วงและทำให้ธุรกิจไม่สามารถไปต่อได้ในอนาคตค่ะ

การขายของออนไลน์ในปัจจุบันไม่ได้หลุดรอดจากระบบการตรวจสอบของกรมสรรพากรอีกต่อไป เนื่องจากมีเทคโนโลยีและกฎหมายที่ช่วยให้สรรพากรสามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลได้อย่างแม่นยำ
เหตุผลที่สรรพากรตรวจสอบเจอรายได้
-
การรายงานข้อมูลจากสถาบันการเงิน:
- ตามกฎหมายใหม่ (มาตรา 3 สัตต) ธนาคารมีหน้าที่ต้องรายงานข้อมูลบัญชีที่มีการรับโอนเงิน เกิน 3,000 ครั้งต่อปี หรือ เกิน 400 ครั้งและมียอดรวม 2 ล้านบาทขึ้นไปต่อปี ให้กับกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ
- ข้อมูลนี้ทำให้สรรพากรทราบได้ทันทีว่าบัญชีใดมีการรับเงินในระดับที่สูง ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีการประกอบธุรกิจ
-
การตรวจสอบจากแพลตฟอร์มออนไลน์:
- แพลตฟอร์ม E-commerce ขนาดใหญ่ เช่น Shopee, Lazada, หรือ Grab มีการส่งข้อมูลรายได้ของผู้ขายให้กับกรมสรรพากร
- ข้อมูลเหล่านี้ทำให้สรรพากรสามารถตรวจสอบรายได้ของผู้ขายได้อย่างละเอียด และนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ผู้ขายยื่นภาษี
-
การล่อซื้อและตรวจสอบจากสื่อออนไลน์:
- สรรพากรมีทีมงานที่คอยตรวจสอบร้านค้าออนไลน์, เพจเฟซบุ๊ก, หรือบัญชีโซเชียลมีเดียที่มีการโฆษณาและยอดขายที่สูง
- เจ้าหน้าที่อาจใช้วิธีการล่อซื้อเพื่อเก็บหลักฐานการทำธุรกรรม, การโอนเงิน, และการจัดส่งสินค้า เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินรายได้
ทำไมเป็นกลุ่มเสี่ยงที่โดนภาษีย้อนหลัง
การขายของออนไลน์และไม่ยื่นภาษี หรือยื่นน้อยจนผิดปกติ เป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลังด้วยเหตุผลดังนี้
-
ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน:
- สรรพากรจะนำข้อมูลการเงินจากธนาคารและข้อมูลจากแพลตฟอร์ม E-commerce มาเปรียบเทียบกับรายได้ที่คุณยื่นภาษี หากตัวเลขไม่ตรงกัน เช่น ยอดรับโอนเงินสูงกว่ารายได้ที่แจ้งในแบบภาษีอย่างมาก จะถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะหลีกเลี่ยงภาษี
-
ไม่มีการจดทะเบียน VAT:
- ผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หากสรรพากรตรวจสอบพบว่ามีรายได้เกินเกณฑ์แต่ไม่ได้จด VAT จะต้องโดนประเมินภาษีขาย 7% ย้อนหลัง รวมถึงเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
-
ขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือ:
- เมื่อถูกตรวจสอบและไม่มีการทำบัญชีที่ถูกต้อง ไม่มีใบเสร็จหรือเอกสารค่าใช้จ่าย สรรพากรอาจประเมินรายได้ของคุณตามที่พวกเขาเห็นจากหลักฐานที่มี ซึ่งอาจทำให้ยอดประเมินสูงกว่าความเป็นจริงมาก
การไม่ยื่นภาษีหรือยื่นน้อยกว่าความเป็นจริงจึงเป็นความเสี่ยงที่ร้ายแรง เพราะนอกจากจะโดนภาษีย้อนหลังแล้ว ยังต้องเผชิญกับเบี้ยปรับและเงินเพิ่มที่มีมูลค่าสูงมากอีกด้วยค่ะ

เมื่อกิจการมีภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย แต่ไม่ยื่นแสดงรายการรายได้ให้สอดคล้องกัน ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่กรมสรรพากรจะตรวจสอบภาษีย้อนหลัง เพราะข้อมูลไม่สอดคล้องกัน ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีการแจ้งรายได้ไม่ครบถ้วน
ระบบการตรวจสอบของสรรพากร
กรมสรรพากรมีระบบที่เรียกว่า “การเปรียบเทียบข้อมูล” (Data Matching) ที่จะนำข้อมูลที่ได้รับจากหลายแหล่งมาตรวจสอบความถูกต้องระหว่างกัน ซึ่งในกรณีนี้คือ:
- ข้อมูลจากผู้จ่ายเงิน: ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53) และออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) ให้แก่คุณ ข้อมูลนี้จะถูกส่งตรงเข้าสู่ระบบของกรมสรรพากร
- ข้อมูลที่คุณยื่น: คุณในฐานะผู้รับเงิน มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการรายได้ประจำปี (ภ.ง.ด.90, ภ.ง.ด.50) ซึ่งในแบบฟอร์มจะมีช่องให้กรอกข้อมูลภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายด้วย
เมื่อสรรพากรนำข้อมูลจากทั้งสองแหล่งมาเปรียบเทียบกัน หากพบว่ายอดภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายสูงกว่ารายได้ที่คุณยื่นแสดงรายการ หรือไม่มีการยื่นแสดงรายการเลย จะเป็นสัญญาณเตือน (Red Flag) ทันทีว่าคุณอาจแจ้งรายได้ไม่ครบถ้วน
ผลกระทบจากการไม่ยื่นให้สอดคล้อง
หากถูกตรวจสอบและพบว่ามีการแจ้งรายได้ไม่ครบถ้วน กิจการจะต้องเผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงดังนี้:
- ภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น: คุณจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติมในส่วนของรายได้ที่ไม่ได้แจ้ง
- ค่าปรับและเงินเพิ่ม: ต้องจ่ายเบี้ยปรับสูงสุด 2 เท่า ของภาษีที่ต้องชำระ และเงินเพิ่มในอัตรา 1.5% ต่อเดือน ของภาษีที่ค้างชำระ
- ความน่าเชื่อถือที่ลดลง: การมีประวัติแจ้งข้อมูลเท็จจะทำให้ความน่าเชื่อถือทางภาษีของคุณลดลง และอาจส่งผลให้ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดมากขึ้นในอนาคต
ดังนั้น การตรวจสอบและยื่นภาษีให้สอดคล้องกับข้อมูลภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่าย จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบและประเมินภาษีย้อนหลังได้

การขาดการวางระบบเอกสารที่ถูกต้องและสมบูรณ์ ถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะทำให้กิจการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง และต้องรับภาระค่าปรับมหาศาล เพราะเอกสารเหล่านี้คือหัวใจสำคัญในการพิสูจน์ความถูกต้องของรายได้และค่าใช้จ่ายของกิจการ
เหตุผลที่เอกสารไม่สมบูรณ์ทำให้เสี่ยงถูกตรวจสอบ
- ไม่สามารถพิสูจน์รายจ่ายได้: กรมสรรพากรจะพิจารณาค่าใช้จ่ายที่นำมาหักลดหย่อนภาษีได้ก็ต่อเมื่อมีเอกสารที่ถูกต้องและครบถ้วนมาประกอบเท่านั้น หากไม่มีเอกสารหรือเอกสารไม่สมบูรณ์ (เช่น ไม่มีชื่อผู้ขาย, ไม่มีจำนวนเงิน, หรือไม่มีลายเซ็น) สรรพากรจะถือว่ารายจ่ายนั้นไม่มีอยู่จริง และจะ ปรับปรุงรายการ โดยไม่ยอมรับเป็นค่าใช้จ่าย
- ความน่าเชื่อถือที่ลดลง: เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ากิจการมีการจัดเก็บเอกสารที่ไม่เป็นระบบ หรือมีการใช้เอกสารปลอมเพื่อลงบัญชี จะทำให้เกิดข้อสงสัยในความโปร่งใสของกิจการ และจะทำการตรวจสอบอย่างละเอียดในทุกรายการย้อนหลัง
- ข้อมูลไม่สอดคล้อง: ในยุคดิจิทัล สรรพากรมีข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น การจ่ายภาษีหัก ณ ที่จ่าย หรือข้อมูลการรับโอนเงินจากธนาคาร หากรายการในบัญชีไม่สอดคล้องกับข้อมูลภายนอก และไม่มีเอกสารที่สมบูรณ์มาชี้แจง ก็จะกลายเป็นเป้าหมายในการตรวจสอบทันที
บทลงโทษและค่าปรับ
เมื่อถูกตรวจสอบและพบว่ามีการเก็บเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน จะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่รุนแรงดังนี้:
- ค่าปรับทางอาญา: สำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ทำบัญชีหรือจัดทำเอกสารประกอบการลงบัญชีไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย มีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท ตาม พ.ร.บ. การบัญชี พ.ศ. 2543 มาตรา 47
- เบี้ยปรับ: หากการไม่มีเอกสารส่งผลให้มีการเสียภาษีขาดไป จะต้องชำระ เบี้ยปรับสูงสุด 2 เท่า ของเงินภาษีที่ขาดไป
- เงินเพิ่ม: ต้องชำระ เงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน ของเงินภาษีที่ขาดไป
การจัดเก็บเอกสารที่ถูกต้องจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุดให้กับกิจการ เพราะไม่ใช่แค่การลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบ แต่ยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกิจการในระยะยาว

กิจการที่จดทะเบียนแล้ว แต่ไม่ยอมยื่นงบการเงินประจำปีอย่างครบถ้วน เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากรด้วยเหตุผลหลักคือ การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและข้อมูลที่ไม่สอดคล้องกัน ซึ่งนำไปสู่การตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีการปกปิดรายได้หรือหลีกเลี่ยงภาษี
การไม่ยื่นงบการเงิน = การทำผิดกฎหมาย
- ผิด พ.ร.บ. การบัญชี: ตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 บริษัทและห้างหุ้นส่วนจำกัดมีหน้าที่ต้องยื่นงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ภายใน 5 เดือน นับจากวันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี หากไม่ยื่นตามกำหนดเวลาจะมีโทษปรับสูงสุดถึง 50,000 บาท
- ผิดประมวลรัษฎากร: การไม่ยื่นงบการเงินทำให้กรมสรรพากรไม่สามารถประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากข้อมูลที่ถูกต้องได้ ซึ่งถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายภาษี และอาจถูกมองว่ามีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี
เหตุผลที่สรรพากรให้เป็นกลุ่มเสี่ยง
- ไม่มีข้อมูลในการตรวจสอบ: เมื่อกิจการไม่ยื่นงบการเงิน สรรพากรจะไม่มีข้อมูลทางการเงินของกิจการเพื่อนำมาประเมินภาษี ดังนั้น สรรพากรจะมองว่ากิจการมีเจตนาที่จะหลบหนีการตรวจสอบ ทำให้ต้องใช้มาตรการตรวจสอบที่เข้มข้นขึ้นเพื่อหาหลักฐาน
- ข้อมูลไม่สอดคล้อง: ในปัจจุบัน สรรพากรสามารถเข้าถึงข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ข้อมูลการเงินจากธนาคาร (การรับโอนเงินจำนวนมาก), ข้อมูลการจดทะเบียนรถยนต์หรืออสังหาริมทรัพย์, และข้อมูลจากแพลตฟอร์ม E-commerce หากกิจการมีข้อมูลเหล่านี้แต่ไม่มีการยื่นงบการเงิน สรรพากรจะพิจารณาว่ารายได้ที่เกิดขึ้นนั้นถูกซ่อนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
- ขาดความน่าเชื่อถือ: การไม่ยื่นงบการเงินทำให้ขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกรรมอื่น ๆ เช่น การขอสินเชื่อจากธนาคาร
ผลกระทบจากการไม่ยื่นงบการเงิน
หากถูกตรวจสอบและพบว่ามีการหลีกเลี่ยงภาษี ผู้ประกอบการจะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่รุนแรง ได้แก่:
- ถูกประเมินภาษีย้อนหลัง: สรรพากรมีอำนาจในการประเมินภาษีจากหลักฐานเท่าที่มี ซึ่งอาจทำให้ยอดประเมินสูงเกินกว่าความเป็นจริงมาก
- เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม: ต้องจ่ายเบี้ยปรับสูงสุด 2 เท่าของเงินภาษีที่ขาดไป และเงินเพิ่มในอัตรา 1.5% ต่อเดือน
- โทษทางอาญา: หากมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี อาจมีโทษจำคุกและปรับเงินได้
การยื่นงบการเงินจึงไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่เป็นการป้องกันความเสี่ยงและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับกิจการในระยะยาว

การแจ้งค่าลดหย่อนเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยไม่ตรงกับความเป็นจริง ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สรรพากรจะเรียกตรวจสอบภาษีย้อนหลังได้อย่างแน่นอน เพราะเป็นการให้ข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งสรรพากรมีระบบตรวจสอบที่สามารถจับความผิดปกตินี้ได้
เหตุผลที่สรรพากรตรวจสอบได้
-
การเปรียบเทียบข้อมูล (Data Matching):
- กรมสรรพากรมีระบบที่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่คุณแจ้งได้โดยอัตโนมัติ ด้วยการนำข้อมูลจากแหล่งต่างๆ มาเปรียบเทียบกัน เช่น
- การบริจาค: ข้อมูลการบริจาคที่คุณแจ้งจะถูกนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่องค์กรรับบริจาครายงานต่อสรรพากร หากตัวเลขไม่ตรงกันก็จะพบความผิดปกติทันที
- เบี้ยประกันชีวิต/สุขภาพ: ข้อมูลที่คุณแจ้งจะถูกเปรียบเทียบกับข้อมูลที่บริษัทประกันรายงานให้สรรพากร
- การซื้อกองทุน RMF/SSF: ข้อมูลการซื้อที่คุณแจ้งจะถูกเปรียบเทียบกับข้อมูลที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรายงาน
-
การขอเอกสารหลักฐาน:
- หากสรรพากรพบความผิดปกติจากการเปรียบเทียบข้อมูล หรือเลือกสุ่มตรวจสอบ คุณจะต้องส่งเอกสารหลักฐานเพื่อยืนยันสิทธิ์ในการลดหย่อน
- หากคุณไม่มีเอกสารจริง หรือเอกสารเป็นของปลอม จะถูกปรับปรุงรายการและต้องเสียภาษีเพิ่มเติม
ผลกระทบจากการแจ้งข้อมูลเท็จ
เมื่อถูกตรวจสอบและพบว่ามีการแจ้งค่าลดหย่อนเท็จ คุณจะต้องเผชิญกับผลกระทบดังนี้:
- ต้องจ่ายภาษีย้อนหลัง: ต้องจ่ายภาษีในส่วนของรายได้ที่ถูกหักลดหย่อนไปอย่างไม่ถูกต้อง
- เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม: ต้องจ่ายเบี้ยปรับสูงสุด 2 เท่า ของเงินภาษีที่ขาดไป และ เงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน
- โทษทางอาญา: การจงใจแจ้งข้อมูลเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีถือเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งอาจมีโทษจำคุกและปรับเงินได้
ดังนั้น การแจ้งค่าลดหย่อนที่ตรงกับความเป็นจริงและเก็บเอกสารหลักฐานไว้ให้ครบถ้วน จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง

การที่คู่แข่งทางธุรกิจแจ้งเบาะแสให้สรรพากรเข้ามาตรวจสอบกิจการของเราเป็นความเสี่ยงที่สำคัญมาก เพราะถือเป็น “การให้ข้อมูลเชิงลึก” จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินภาษีย้อนหลังได้
ทำไมการแจ้งเบาะแสจากคู่แข่งจึงเป็นความเสี่ยง
- ข้อมูลที่แม่นยำและเป็นจริง: คู่แข่งมักจะรู้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเกี่ยวกับกิจการของคุณ ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย, พฤติกรรมการรับเงิน, ที่มาของสินค้า, หรือแม้กระทั่งความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์และลูกค้า ซึ่งเป็นข้อมูลที่สรรพากรไม่สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากระบบฐานข้อมูลปกติ
- เจตนาที่ชัดเจน: การแจ้งเบาะแสจากคู่แข่งมักจะมีเจตนาเพื่อให้คุณถูกตรวจสอบและได้รับโทษ ซึ่งทำให้ข้อมูลที่พวกเขานำส่งมีความน่าเชื่อถือและมีเป้าหมายที่ชัดเจน
- นำไปสู่การตรวจสอบเชิงลึก: เมื่อสรรพากรได้รับเบาะแสที่มีรายละเอียดเพียงพอ พวกเขาจะนำข้อมูลนั้นไปใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการตรวจสอบเชิงลึก เช่น การเปรียบเทียบยอดขายที่คุณแจ้งกับข้อมูลที่ได้รับจากธนาคารหรือแพลตฟอร์มออนไลน์
สิ่งที่สรรพากรจะตรวจสอบเมื่อได้รับเบาะแส
เมื่อได้รับเบาะแสจากคู่แข่ง สรรพากรจะทำการตรวจสอบในหลายมิติเพื่อหาความผิดปกติ:
- ยอดขาย: ตรวจสอบว่ายอดขายที่คุณแจ้งในแบบภาษีสอดคล้องกับยอดที่คู่แข่งให้เบาะแสมาหรือไม่ หากไม่สอดคล้องจะนำไปสู่การตรวจสอบบัญชีธนาคาร
- ต้นทุนและค่าใช้จ่าย: หากมีการแจ้งต้นทุนที่สูงเกินจริง หรือมีค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ สรรพากรจะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารประกอบการลงบัญชี
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากมีการซื้อขายในปริมาณมาก แต่ไม่ได้จดทะเบียน VAT สรรพากรจะดำเนินการประเมินภาษีขายย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
บทสรุป
การที่คู่แข่งแจ้งเบาะแสไม่ได้หมายความว่าคุณจะถูกปรับภาษีย้อนหลังทันที แต่เป็นการเปิดประตูให้สรรพากรเข้ามาตรวจสอบ หากกิจการของคุณมีการทำบัญชีที่ถูกต้องและปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอย่างเคร่งครัด ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใดๆ แต่ถ้ามีการทำบัญชีที่ไม่โปร่งใสหรือมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี การแจ้งเบาะแสของคู่แข่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาใหญ่ที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในระยะยาวค่ะ

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax