อากรแสตมป์ คืออะไร?
อากรแสตมป์ คือ ภาษีอากรประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากการทำตราสาร (เอกสาร) 13 ประเภทตามที่กฎหมายกำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นหลักฐานว่าตราสารนั้นได้เกิดขึ้นและมีความสมบูรณ์ทางกฎหมายแล้ว การที่เอกสารไม่ติดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามกฎหมายจะทำให้เอกสารนั้นไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้
ตราสารที่ต้องติดอากรแสตมป์ตามกฎหมายภาษี
ตามประมวลรัษฎากร ได้กำหนดให้ตราสาร 28 ประเภทต้องเสียอากรแสตมป์ แต่ปัจจุบันมีเหลืออยู่ 13 ประเภท ที่ยังคงต้องเสียอากรแสตมป์ ได้แก่:
- เช่าที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือแพ
- โอนใบหุ้น ใบหุ้นกู้ พันธบัตร และใบรับรองหนี้
- เช่าซื้อทรัพย์สิน
- จ้างทำของ
- กู้ยืมเงินหรือการเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร
- กรมธรรม์ประกันภัย
- ใบมอบอำนาจ
- ใบมอบฉันทะสำหรับให้ลงมติในที่ประชุมบริษัท
- ตั๋วแลกเงินหรือตราสารทำนองเดียวกับที่ใช้อย่างตั๋วแลกเงิน
- ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือตราสารทำนองเดียวกับที่ใช้อย่างตั๋วสัญญาใช้เงิน
- ใบรับ
- ค้ำประกัน
- จำนำ

กรณีหนังสือสัญญาที่ปรึกษาทางธุรกิจ หรือสัญญาจ้างทำของ
- สัญญาที่ปรึกษาทางธุรกิจ: โดยทั่วไปถือเป็น สัญญาจ้างทำของ เนื่องจากผู้ว่าจ้างต้องการผลสำเร็จของงานเป็นหลัก เช่น ผลการวิเคราะห์ตลาด รายงานแผนธุรกิจ หรือคำแนะนำเฉพาะทาง
- สัญญาจ้างทำของ: เป็นหนึ่งในตราสารที่กฎหมายกำหนดให้ต้องติดอากรแสตมป์ โดยหมายถึงการที่บุคคลหนึ่งตกลงจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และบุคคลอีกคนหนึ่งยอมจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการงานที่ทำนั้น
ดังนั้น หนังสือสัญญาที่ปรึกษาทางธุรกิจ และสัญญาจ้างทำของ จึงอยู่ในคำจำกัดความของ “ตราสารที่จะต้องติดอากรแสตมป์”
การติดอากรแสตมป์สำหรับสัญญาจ้างทำของ
- อัตราค่าอากรแสตมป์: จะต้องเสียอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาท ต่อทุกๆ 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท ของสินจ้างที่ตกลงกันไว้
- อัตราสูงสุด: หากมีค่าสินจ้างสูงมากๆ ค่าอากรแสตมป์สูงสุดที่ต้องเสียสำหรับตราสารจ้างทำของคือ 10,000 บาท
ตัวอย่างการคำนวณ:
- กรณีที่ 1: สัญญาจ้างทำของมีมูลค่า 900 บาท
- เนื่องจากเป็นเศษของ 1,000 บาท จะต้องติดอากรแสตมป์ 1 บาท
- กรณีที่ 2: สัญญาจ้างทำของมีมูลค่า 25,500 บาท
- 25,500 บาท เท่ากับ 25,000 บาท และเศษ 500 บาท
- จึงเท่ากับ 25,000 บาท (25 ครั้ง) + เศษ 500 บาท (1 ครั้ง) = 26 ครั้ง
- ค่าอากรแสตมป์ที่ต้องติด = 26 บาท (26 x 1 บาท)
- กรณีที่ 3: สัญญาจ้างทำของมีมูลค่า 15,000,000 บาท
- คำนวณตามปกติ: 15,000,000 / 1,000 = 15,000 ครั้ง
- ค่าอากรแสตมป์ที่ต้องติด: 15,000 บาท
- แต่เนื่องจากมีเพดานสูงสุด 10,000 บาท ดังนั้นต้องติดอากรแสตมป์เพียง 10,000 บาท
ผู้มีหน้าที่เสียอากรแสตมป์: กฎหมายกำหนดให้ ผู้รับจ้าง เป็นผู้มีหน้าที่เสียอากรแสตมป์เป็นหลัก แต่สามารถตกลงให้ผู้ว่าจ้างเป็นผู้รับผิดชอบก็ได้
วิธีการเสียอากรแสตมป์:
- ติดแสตมป์อากรบนตัวตราสาร และขีดฆ่า
- ชำระเป็นตัวเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Stamp)
- ชำระเป็นตัวเงินโดยยื่นแบบอ.ส.4 ที่กรมสรรพากร


ตามประมวลรัษฎากร สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์มีการติดอากรแสตมป์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยหลักๆ แล้ว สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์เท่านั้นที่ต้องติดอากรแสตมป์ ในขณะที่สัญญาเช่าสังหาริมทรัพย์ไม่จำเป็นต้องติดอากรแสตมป์ตามกฎหมายภาษี
1. สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ (Immovable Property Lease Agreement)
- คำจำกัดความ: อสังหาริมทรัพย์ หมายถึง ที่ดินและทรัพย์สินที่ติดอยู่กับที่ดิน เช่น อาคาร, บ้าน, คอนโดมิเนียม, โรงงาน หรือสิ่งปลูกสร้างถาวร
- เงื่อนไขการติดอากรแสตมป์: สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์เป็นหนึ่งในตราสาร 13 ประเภทที่ต้องเสียอากรแสตมป์
- อัตราค่าอากรแสตมป์: อากรแสตมป์จะเสียในอัตรา 1 บาท ต่อทุกๆ 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท ของค่าเช่าตลอดอายุสัญญา
- ตัวอย่างการคำนวณ:
- สัญญาเช่าบ้าน 1 ปี ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท
- ยอดรวมค่าเช่าตลอดสัญญา = 10,000 บาท x 12 เดือน = 120,000 บาท
- ยอดเงินค่าอากรแสตมป์ = 120,000 / 1,000 = 120
- ดังนั้น ต้องติดอากรแสตมป์ 120 บาท
- ผู้มีหน้าที่เสียอากร: ผู้ให้เช่าและผู้เช่าต้องร่วมกันเสียอากรแสตมป์
2. สัญญาเช่าสังหาริมทรัพย์ (Movable Property Lease Agreement)
- คำจำกัดความ: สังหาริมทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น รถยนต์, เครื่องจักร, อุปกรณ์สำนักงาน, โทรศัพท์ หรือคอมพิวเตอร์
- เงื่อนไขการติดอากรแสตมป์: สัญญาเช่าสังหาริมทรัพย์ “ไม่อยู่” ในรายการตราสาร 13 ประเภทที่ต้องเสียอากรแสตมป์
- อัตราค่าอากรแสตมป์: ไม่ต้องเสียค่าอากรแสตมป์แต่อย่างใด
- ตัวอย่าง:
- สัญญาเช่ารถยนต์
- สัญญาเช่าเครื่องจักร
- สัญญาเช่าคอมพิวเตอร์
สรุปความแตกต่างที่สำคัญ
รายละเอียด |
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ |
สัญญาเช่าสังหาริมทรัพย์ |
ประเภททรัพย์สิน | ที่ดิน, สิ่งปลูกสร้าง, อาคาร | ทรัพย์สินที่เคลื่อนย้ายได้ (รถยนต์, เครื่องจักร) |
กฎหมายอากรแสตมป์ | ต้องติดอากรแสตมป์ | ไม่ต้องติดอากรแสตมป์ |
อัตราค่าอากร | 1 บาท ต่อ 1,000 บาทของค่าเช่าตลอดอายุสัญญา | ไม่มี |

กฎหมายภาษีอากรของประเทศไทยได้กำหนดความแตกต่างในการเสียอากรแสตมป์ระหว่างสลากรางวัลธรรมดาและสลากการกุศลไว้ชัดเจน โดยสลากรางวัลธรรมดาจะต้องเสียอากรแสตมป์ในอัตราที่สูงกว่า เพื่อให้ภาครัฐสามารถควบคุมและจัดเก็บภาษีจากการเสี่ยงโชคได้ ในขณะที่สลากการกุศลจะเสียอากรในอัตราที่ต่ำกว่าเพื่อสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสาธารณะ
1. สลากรางวัลธรรมดา (Ordinary Lottery Ticket)
- คำจำกัดความ: หมายถึงสลากกินแบ่งรัฐบาล สลากออมสิน สลากธ.ก.ส. หรือสลากประเภทอื่นใดที่ออกจำหน่ายเพื่อรางวัลและมีวัตถุประสงค์หลักทางการค้า
- เงื่อนไขการติดอากรแสตมป์: สลากรางวัลธรรมดาจัดอยู่ในประเภท “ตั๋วแลกเงินหรือตราสารทำนองเดียวกัน” ที่ต้องเสียอากรแสตมป์
- อัตราค่าอากรแสตมป์: จะต้องเสียอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาท ต่อราคาของสลากทุกๆ 200 บาท หรือเศษของ 200 บาท
- ตัวอย่างการคำนวณ:
- สลากกินแบ่งรัฐบาล 1 ฉบับ ราคา 80 บาท
- ยอดราคาที่ใช้คำนวณอากรแสตมป์ = 80 บาท (เป็นเศษของ 200 บาท)
- ดังนั้น จะต้องติดอากรแสตมป์ 1 บาท
2. สลากการกุศล (Charitable Lottery Ticket)
- คำจำกัดความ: หมายถึงสลากที่ออกเพื่อระดมทุนสนับสนุนกิจกรรมสาธารณกุศล องค์กรสาธารณประโยชน์ หรือกิจกรรมที่ไม่แสวงหาผลกำไรตามที่กฎหมายกำหนด
- เงื่อนไขการติดอากรแสตมป์: สลากการกุศลจะเสียอากรแสตมป์ในอัตราที่ต่ำกว่า เพื่อสนับสนุนวัตถุประสงค์ของการกุศลนั้นๆ
- อัตราค่าอากรแสตมป์: จะต้องเสียอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาท ต่อราคาของสลากทุกๆ 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท
- ตัวอย่างการคำนวณ:
- สลากกาชาด ราคาฉบับละ 100 บาท
- ยอดราคาที่ใช้คำนวณอากรแสตมป์ = 100 บาท (เป็นเศษของ 1,000 บาท)
- ดังนั้น จะต้องติดอากรแสตมป์ 1 บาท
สรุปความแตกต่างที่สำคัญ
รายละเอียด |
สลากรางวัลธรรมดา |
สลากการกุศล |
วัตถุประสงค์ | การค้า, สร้างรายได้เข้ารัฐ | การกุศล, ระดมทุนเพื่อสาธารณะ |
อัตราค่าอากร | 1 บาท ต่อ 200 บาทของราคาหรือเศษของ 200 บาท | 1 บาท ต่อ 1,000 บาทของราคาหรือเศษของ 1,000 บาท |
การใช้ประโยชน์ | ใช้เป็นเอกสารรับรองการซื้อสลากรางวัล | ใช้เป็นเอกสารรับรองการบริจาคและสิทธิ์ในการลุ้นรางวัล |
1. สลากรางวัลธรรมดา (สลากกินแบ่งรัฐบาล)
-
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย:
- มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย: ผู้ที่ถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทันทีเมื่อไปขึ้นเงินรางวัล
- อัตราภาษี: ถูกหักในอัตรา ร้อยละ 0.5 ของเงินรางวัลที่ได้รับ
- ตัวอย่าง: หากถูกรางวัลที่ 1 เป็นเงิน 6,000,000 บาท จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นเงิน
6,000,000 x 0.5% = 30,000
บาท ผู้ถูกรางวัลจะได้รับเงินสุทธิ 5,970,000 บาท
-
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา:
- ไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: เงินรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 0.5% แล้ว จะ “ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา”
- ดังนั้น: ผู้ถูกรางวัลไม่ต้องนำเงินส่วนนี้ไปคำนวณรวมกับรายได้อื่น ๆ เพื่อยื่นภาษีประจำปีอีก ถือว่าเป็นการเสียภาษีจบครบถ้วนแล้ว
2. สลากการกุศล
-
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย:
- มีภาษีหัก ณ ที่จ่าย: ผู้ที่ถูกรางวัลสลากการกุศลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายทันทีเมื่อไปขึ้นเงินรางวัล
- อัตราภาษี: ถูกหักในอัตราที่สูงกว่าสลากธรรมดา คือ ร้อยละ 1 ของเงินรางวัลที่ได้รับ
- ตัวอย่าง: หากถูกรางวัลที่ 1 เป็นเงิน 6,000,000 บาท จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นเงิน
6,000,000 x 1% = 60,000
บาท ผู้ถูกรางวัลจะได้รับเงินสุทธิ 5,940,000 บาท
-
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา:
- ไม่มีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: เช่นเดียวกับสลากกินแบ่งรัฐบาล เงินรางวัลจากสลากการกุศลที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 1% แล้ว ก็จะ “ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา”
- ดังนั้น: ผู้ถูกรางวัลไม่ต้องนำเงินส่วนนี้ไปรวมคำนวณภาษีประจำปีเช่นกัน
สรุปความแตกต่างที่สำคัญ
รายละเอียด |
สลากรางวัลธรรมดา |
สลากการกุศล |
ภาษีหัก ณ ที่จ่าย | มีการหัก 0.5% ของเงินรางวัล | มีการหัก 1% ของเงินรางวัล |
ภาษีเงินได้ประจำปี | ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องยื่นภาษีในส่วนนี้ | ได้รับการยกเว้น ไม่ต้องยื่นภาษีในส่วนนี้ |
ตัวอย่าง | สลากกินแบ่งรัฐบาล | สลากกาชาด |
สรุปโดยรวม:
ทั้งสลากรางวัลธรรมดาและสลากการกุศล ผู้ถูกรางวัลมีหน้าที่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย ณ วันที่ไปขึ้นเงินรางวัล โดยจะไม่มีภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพิ่มเติมอีก แต่จะแตกต่างกันที่อัตราการหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยสลากการกุศลจะมีอัตราที่สูงกว่าสลากธรรมดาค่ะ

การปิดอากรแสตมป์เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้เอกสารทางกฎหมายมีผลสมบูรณ์และใช้เป็นหลักฐานได้ การปิดอากรแสตมป์ที่ถูกต้องมีหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีหลักการและข้อกำหนดที่แตกต่างกันไป ดังนี้
ความหมายของการปิดอากรแสตมป์
การปิดอากรแสตมป์ คือ การนำแสตมป์อากรไปติดบนเอกสารหรือตราสารที่ต้องเสียอากรตามกฎหมาย เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้มีการชำระภาษีอากรแล้ว โดยอากรแสตมป์จะอยู่ในรูปของแสตมป์กระดาษหรือการชำระเป็นตัวเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
วิธีการปิดอากรแสตมป์ที่ถูกต้องและสมบูรณ์
การปิดอากรแสตมป์สามารถทำได้ 3 วิธีหลัก ดังนี้
1. การติดแสตมป์ปิดทับ (Adhesive Stamp)
นี่เป็นวิธีที่พบบ่อยที่สุดและเข้าใจง่ายที่สุด
- วิธีการ: นำแสตมป์อากรที่เป็นดวงกระดาษมาติดบนตราสาร (เอกสาร) ที่ต้องเสียอากร โดยต้องติดให้ครบถ้วนตามจำนวนเงินที่กำหนด
- การขีดฆ่า: หลังจากติดแสตมป์แล้ว จะต้อง ขีดฆ่าแสตมป์ด้วยปากกา หมึก หรือตราประทับ เพื่อป้องกันการนำแสตมป์กลับมาใช้ซ้ำ โดยการขีดฆ่าต้องทำพร้อมกับลงวันที่ที่ขีดฆ่า ซึ่งวันที่ที่ขีดฆ่าต้องเป็นวันเดียวกันกับวันที่ทำตราสาร
- ข้อกำหนด: การขีดฆ่าต้องเป็นลายเซ็น, ชื่อย่อ, หรือตราประทับของผู้เสียอากรเอง เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์และชัดเจน
2. การใช้แสตมป์ดุน (Impressed Stamp)
แสตมป์ดุนคือการประทับตราบนกระดาษเอกสารโดยตรงจากเครื่องจักรของกรมสรรพากร
- วิธีการ: นำเอกสารไปให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรใช้เครื่องประทับตราอากรลงบนตัวเอกสารโดยตรง ซึ่งจะทำให้เกิดเป็นรอยดุนที่เห็นได้อย่างชัดเจนบนกระดาษ
- ข้อดี: แสตมป์ดุนไม่ต้องขีดฆ่า เนื่องจากตัวตราประทับมีความถาวรและไม่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้
- ข้อกำหนด: ผู้เสียอากรจะต้องนำเอกสารที่ต้องการติดแสตมป์ดุนไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่สรรพากรในพื้นที่
3. การชำระเป็นตัวเงิน (Monetary Payment)
วิธีนี้เป็นการชำระภาษีอากรแสตมป์โดยไม่ใช้แสตมป์ที่เป็นดวงกระดาษ แต่เป็นการชำระด้วยเงินสดหรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
- วิธีการ:
- ยื่นแบบ อ.ส.4: ผู้เสียอากรสามารถชำระอากรแสตมป์เป็นตัวเงินที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ โดยยื่นแบบแสดงรายการ อ.ส.4 (แบบคำขอชำระอากรเป็นตัวเงินสำหรับตราสารบางประเภท)
- e-Stamp: ปัจจุบันมีการชำระอากรแสตมป์ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Stamp) ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว ผู้เสียอากรสามารถพิมพ์เอกสารรับรองการชำระอากรแสตมป์จากระบบมาแนบกับสัญญาได้
- ข้อดี: วิธีนี้เหมาะกับเอกสารที่มีจำนวนมาก หรือเอกสารที่มีมูลค่าสูง และช่วยลดขั้นตอนการติดแสตมป์และการขีดฆ่า
สรุปขั้นตอนการขีดฆ่าอากรแสตมป์ที่ถูกต้อง
การขีดฆ่าแสตมป์เป็นขั้นตอนสำคัญที่ทำให้การปิดอากรแสตมป์สมบูรณ์ โดยมีหลักการดังนี้
- ต้องขีดฆ่าให้โดนแสตมป์: การขีดฆ่าต้องทับลงบนดวงแสตมป์อย่างชัดเจน
- ระบุวันที่: ต้องมีการลงวันที่ที่ขีดฆ่า เพื่อแสดงให้เห็นว่าได้ทำการขีดฆ่าในวันเดียวกันกับที่ทำตราสาร
- ลายเซ็น/ชื่อย่อ: การขีดฆ่าต้องลงลายมือชื่อ หรือชื่อย่อของผู้เสียอากร หรือใช้ตราประทับก็ได้
หากแสตมป์ถูกปิดแต่ไม่มีการขีดฆ่า จะถือว่าเอกสารนั้นยังเสียอากรไม่สมบูรณ์ และมีโทษปรับเงิน รวมถึงไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้


ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax