เงินสดคือ “ลมหายใจ” ของธุรกิจ การขาดสภาพคล่องทางการเงินเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลง ไม่ว่าจะเป็นกิจการขนาดเล็กหรือใหญ่ นี่คือ 5 เหตุผลหลักที่ทำให้เงินสดขาดมือ ซึ่งธุรกิจควรระวังและบริหารจัดการอย่างใกล้ชิดที่สุด
การขายเชื่อ หรือที่เรียกว่า “การขายเครดิต” เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ช่วยเพิ่มยอดขายและขยายฐานลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าหรือบริการได้ก่อน โดยยังไม่ต้องชำระเงินในทันที แต่ให้ระยะเวลาในการชำระเงินคืนภายหลัง (เช่น 30 วัน, 60 วัน หรือ 90 วัน) อย่างไรก็ตาม หากบริหารจัดการไม่ดี การขายเชื่อจะกลายเป็นดาบสองคมที่ส่งผลให้ธุรกิจประสบปัญหา “เงินสดขาดมือ” ได้อย่างรุนแรง
1. การขายเชื่อ/ขายเครดิต เก็บเงินช้า ส่งผลให้เงินสดขาดมือได้อย่างไร?
เมื่อธุรกิจขายสินค้าหรือบริการออกไปแบบเครดิต แม้ว่าจะบันทึกเป็น “รายได้” ในทางบัญชีแล้ว แต่เงินสดจริงๆ ยังไม่ได้เข้ามาในมือของธุรกิจในทันที สถานะของเงินที่ยังไม่ได้รับจะถูกบันทึกเป็น “ลูกหนี้การค้า” ซึ่งเป็นสินทรัพย์หมุนเวียน แต่ยังไม่ใช่เงินสดในบัญชีธนาคาร
ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีดังนี้:
-
เงินทุนจม: เงินสดที่คุณใช้ไปในการผลิตสินค้า ซื้อวัตถุดิบ หรือจ่ายค่าบริการ (เช่น ค่าแรง, ค่าเช่า, ค่าการตลาด) ถูก “แช่แข็ง” อยู่ในรูปของลูกหนี้ที่ยังไม่ได้ชำระ ธุรกิจต้องรอจนกว่าลูกค้าจะชำระเงินคืน จึงจะได้รับเงินสดกลับคืนมา
-
ขาดสภาพคล่อง: แม้จะมีคำสั่งซื้อหรือยอดขายสูง แต่หากเงินสดไม่เข้าตามกำหนด ธุรกิจจะไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะนำไปใช้จ่ายค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและต้องจ่ายตรงเวลา เช่น:
-
จ่ายเงินเดือนพนักงาน
-
จ่ายค่าเช่าสำนักงาน/โรงงาน
-
ชำระหนี้ซัพพลายเออร์ที่ซื้อวัตถุดิบมาแบบเงินสดหรือเครดิตระยะสั้น
-
ชำระหนี้เงินกู้ยืมธนาคาร
-
ค่าสาธารณูปโภค (ค่าน้ำ, ค่าไฟ, ค่าโทรศัพท์)
-
-
ความจำเป็นในการหาแหล่งเงินทุนเพิ่ม: เมื่อเงินสดขาดมือ ธุรกิจอาจจำเป็นต้องหาเงินทุนจากแหล่งอื่น ๆ มาหมุนเวียน เช่น
-
กู้ยืมเงิน: อาจต้องกู้ยืมเงินจากธนาคารหรือแหล่งเงินกู้อื่น ๆ ซึ่งจะสร้างภาระดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
-
ใช้เงินทุนส่วนตัว: ผู้ประกอบการอาจต้องนำเงินส่วนตัวมาเสริมสภาพคล่อง
-
ขอเครดิตจากซัพพลายเออร์: หากทำได้ อาจช่วยยืดระยะเวลาการจ่ายออกไปได้บ้าง
-
-
เสียโอกาสทางธุรกิจ: การขาดเงินสดทำให้ธุรกิจพลาดโอกาสในการลงทุนขยายกิจการ, ซื้อวัตถุดิบในราคาถูกเมื่อมีโปรโมชั่น, หรือแม้กระทั่งการชำระหนี้เพื่อรับส่วนลดเงินสด (Cash Discount)
-
ความเสี่ยงหนี้เสีย: หากลูกค้าไม่สามารถชำระเงินได้เลย ลูกหนี้การค้านั้นก็จะกลายเป็น “หนี้เสีย” ซึ่งหมายถึงเงินลงทุนที่หายไปโดยไม่ได้รับคืน ทำให้ธุรกิจขาดทุนและเงินสดไม่กลับมา
ควรป้องกันและระวังเงินสดขาดมือจากการขายเชื่อได้อย่างไร?
การบริหารจัดการลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable Management) และการวางแผนกระแสเงินสด (Cash Flow Planning) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง:
-
กำหนดนโยบายเครดิตที่รัดกุมและเป็นลายลักษณ์อักษร:
- ประเมินความน่าเชื่อถือของลูกค้า: ก่อนให้เครดิตกับลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะลูกค้ารายใหญ่ ควรมีการตรวจสอบประวัติการชำระเงิน, สถานะทางการเงิน (ขอเอกสารงบการเงิน, ตรวจสอบเครดิตบูโร), หรือใช้บริการบริษัทข้อมูลเครดิต
- กำหนดวงเงินเครดิต (Credit Limit): กำหนดวงเงินสูงสุดที่ลูกค้าแต่ละรายสามารถซื้อเชื่อได้ เพื่อจำกัดความเสี่ยงของการค้างชำระที่มากเกินไป
- กำหนดระยะเวลาเครดิต: กำหนดระยะเวลาการชำระเงินที่เหมาะสมกับธุรกิจและลูกค้า เช่น 15, 30, 45, 60 วัน โดยพยายามให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- กำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน: ระบุเงื่อนไขการชำระเงินที่ชัดเจนบนใบแจ้งหนี้/ใบวางบิล เช่น วันครบกำหนดชำระ, ส่วนลดกรณีชำระเร็ว (Cash Discount), และบทลงโทษกรณีชำระล่าช้า (เช่น ค่าปรับ หรือดอกเบี้ย)
- เริ่มด้วยเครดิตจำกัด: สำหรับลูกค้าใหม่ ควรให้เครดิตในวงเงินจำกัดหรือระยะเวลาสั้นๆ ก่อน แล้วค่อยขยายวงเงินหรือระยะเวลาเมื่อลูกค้ามีประวัติการชำระที่ดี
-
มีระบบและกระบวนการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพ:
- ออกใบแจ้งหนี้/ใบวางบิลทันที: ทันทีที่ส่งมอบสินค้า/บริการ ควรออกใบแจ้งหนี้ที่ถูกต้องและชัดเจน
- ติดตามล่วงหน้า: ส่งจดหมาย/อีเมล/โทรศัพท์เตือนลูกหนี้ก่อนวันครบกำหนดชำระ 1-2 สัปดาห์
- ติดตามทันทีเมื่อถึงกำหนด: หากไม่ได้รับชำระเงินตามกำหนด ควรติดต่อลูกหนี้ทันทีเพื่อสอบถามสาเหตุและกำหนดแผนการชำระเงินใหม่
- การติดตามที่เป็นระบบ: จัดทำบันทึกการติดต่อ, วันที่, และผลการติดตามอย่างละเอียด เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามและเป็นหลักฐาน
- กำหนดมาตรการ escalate: มีลำดับขั้นของมาตรการในการติดตามหนี้ ตั้งแต่การเตือนทางโทรศัพท์ ไปจนถึงการส่งจดหมายทวงหนี้อย่างเป็นทางการ และพิจารณาใช้มาตรการทางกฎหมายเมื่อจำเป็น
-
ใช้กลยุทธ์เพื่อเร่งการเก็บเงินสด:
- เสนอส่วนลดเงินสด (Cash Discount): เช่น “2/10, net 30” (หากชำระภายใน 10 วัน ได้รับส่วนลด 2% มิฉะนั้นชำระเต็มจำนวนภายใน 30 วัน) แม้จะต้องยอมเสียรายได้ไปบ้าง แต่ก็คุ้มค่ากว่าการที่เงินสดจมอยู่กับลูกหนี้ หรือการต้องไปกู้เงินมาหมุนเวียน
- รับชำระเงินผ่านช่องทางที่หลากหลายและสะดวก: เช่น การโอนเงินผ่าน Mobile Banking, QR Code, บัตรเครดิต เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าชำระได้ทันที
- การรับซื้อลูกหนี้ (Factoring): พิจารณาใช้บริการสถาบันการเงินที่รับซื้อลูกหนี้การค้า โดยธุรกิจจะได้รับเงินสดล่วงหน้าทันที แม้จะมีค่าธรรมเนียม แต่ก็ช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้เร็ว
-
จัดทำประมาณการกระแสเงินสด (Cash Flow Forecasting) อย่างสม่ำเสมอ:
- จัดทำประมาณการกระแสเงินสดรายสัปดาห์หรือรายเดือน โดยคำนึงถึงรายรับที่คาดว่าจะได้รับจากลูกหนี้ และรายจ่ายที่จะต้องชำระ
- ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของสภาพคล่องล่วงหน้า ทำให้สามารถวางแผนเตรียมพร้อมรับมือได้หากคาดการณ์ว่าจะเกิดปัญหาเงินสดขาดมือ เช่น การเจรจาขอขยายเครดิตกับซัพพลายเออร์ หรือการเตรียมวงเงินสินเชื่อสำรองจากธนาคาร
-
ฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้อง:
- ให้ความรู้แก่ทีมขายเกี่ยวกับการสื่อสารนโยบายเครดิตที่ถูกต้อง และความสำคัญของการเก็บเงิน
- ฝึกอบรมทีมบัญชี/การเงินในการติดตามและเรียกเก็บหนี้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตร
การขายเชื่อเป็นสิ่งจำเป็นในโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน แต่การบริหารจัดการอย่างชาญฉลาดเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ตกหลุมพรางของปัญหาเงินสดขาดมือค่ะ

2. การซื้อสินค้าคงเหลือล็อตใหญ่ ส่งผลให้เงินสดขาดมือได้อย่างไร?
การตัดสินใจซื้อสินค้าคงเหลือ (Inventory) ครั้งละมากๆ หรือที่เรียกว่า “ซื้อยกล็อต” โดยหวังว่าจะได้ราคาต่อชิ้นที่ถูกลง เป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจสำหรับหลายธุรกิจ เพราะช่วยลดต้นทุนสินค้าและเพิ่มกำไรขั้นต้นได้ อย่างไรก็ตาม หากไม่พิจารณาให้รอบคอบ กลยุทธ์นี้ก็อาจกลายเป็นกับดักที่ทำให้ธุรกิจประสบปัญหา “เงินสดขาดมือ” ได้อย่างรุนแรง
ซื้อสินค้าคงเหลือล็อตใหญ่ทำไมถึงทำให้เงินสดขาดมือ?
เมื่อธุรกิจทุ่มเงินจำนวนมากไปกับการซื้อสินค้าในปริมาณมากๆ เพื่อหวังส่วนลด ต้นทุนของเงินเหล่านั้นจะถูกแปลงไปเป็น “สินค้าคงเหลือ” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ยังไม่ได้สร้างรายได้ในทันที เงินสดที่ควรจะนำมาใช้หมุนเวียนในกิจการจะถูก “แช่แข็ง” อยู่ในคลังสินค้า ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีดังนี้:
-
เงินทุนจม (Capital Tied Up):
- เงินสดกลายเป็นสินค้า: แทนที่จะมีเงินสดในบัญชีธนาคาร ธุรกิจกลับมีสินค้ากองอยู่เต็มคลัง เงินก้อนใหญ่ถูกเปลี่ยนจากสภาพคล่องสูง (เงินสด) ไปเป็นสภาพคล่องต่ำ (สินค้า)
- ระยะเวลาคืนทุนที่ยาวนาน: กว่าสินค้าล็อตใหญ่นั้นจะถูกขายออกไปทั้งหมดและเก็บเงินได้ อาจใช้เวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี ทำให้เงินลงทุนก้อนนั้นไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้ตามแผนที่วางไว้
- ต้นทุนแฝง: นอกจากเงินค่าสินค้าแล้ว ยังมีต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าเพิ่มขึ้น เช่น ค่าเช่าคลังสินค้า, ค่าประกัน, ค่าเสื่อมสภาพของสินค้า, ค่าแรงงานในการบริหารจัดการคลัง
-
ขาดสภาพคล่อง (Liquidity Shortage):
- แม้ธุรกิจจะมีสินค้าเต็มคลัง แต่ถ้าไม่มีเงินสดเหลืออยู่ ธุรกิจจะไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายจำเป็นในแต่ละวัน เช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าเช่า, ค่าน้ำ-ค่าไฟ, ค่าการตลาด หรือชำระหนี้กับซัพพลายเออร์รายอื่นที่ต้องจ่ายตรงเวลา
- สถานการณ์นี้จะยิ่งแย่ลงหากการขายสินค้านั้นเป็นการขายเชื่อ (เครดิต) เพราะแม้ขายได้ ก็ยังไม่ได้เงินสดทันที ทำให้เงินสดขาดมือหนักขึ้นไปอีก
-
เสียโอกาสทางธุรกิจ (Opportunity Cost):
- เมื่อเงินสดจมไปกับสินค้าคงคลัง ธุรกิจจะพลาดโอกาสดีๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่มีผลตอบแทนสูง, การซื้อวัตถุดิบอื่นที่จำเป็นเมื่อมีราคาถูกลง, หรือแม้กระทั่งการลงทุนในการตลาดเพื่อเพิ่มยอดขาย
- แทนที่จะนำเงินไปสร้างการเติบโต ธุรกิจกลับต้องมาแบกรับภาระสินค้าที่ยังขายไม่ได้
-
ความเสี่ยงด้านสินค้าคงคลัง (Inventory Risks):
- สินค้าล้าสมัย/เสื่อมสภาพ: โดยเฉพาะสินค้าแฟชั่น, เทคโนโลยี, หรืออาหาร/เครื่องดื่มที่มีวันหมดอายุ การสต็อกสินค้ามากเกินไปเพิ่มความเสี่ยงที่สินค้าจะล้าสมัย หมดอายุ หรือเสื่อมสภาพก่อนที่จะขายได้ ทำให้ต้องตัดจำหน่ายและขาดทุนในที่สุด
- ราคาตลาดผันผวน: หากราคาสินค้าในตลาดลดลงหลังจากที่คุณซื้อมาแล้ว คุณอาจต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้กำไรลดลง หรือถึงขั้นขาดทุน
ควรป้องกันและระวังเงินสดขาดมือจากการซื้อสินค้าล็อตใหญ่ได้อย่างไร?
การจะตัดสินใจซื้อสินค้าล็อตใหญ่ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบและมีแผนการบริหารจัดการที่ดี เพื่อให้ประโยชน์จากราคาถูก outweighs ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง:
-
วิเคราะห์ความต้องการและรอบการขายสินค้าอย่างแม่นยำ (Sales Forecasting & Inventory Turnover):
- พยากรณ์ยอดขาย: ใช้ข้อมูลการขายในอดีตและแนวโน้มตลาดเพื่อพยากรณ์ยอดขายในอนาคตอย่างแม่นยำที่สุด เพื่อให้ซื้อสินค้าในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการจริง
- อัตราการหมุนเวียนสินค้า (Inventory Turnover Ratio): คำนวณอัตราการหมุนเวียนของสินค้าแต่ละประเภท เพื่อดูว่าสินค้าชนิดนั้นๆ ขายออกได้เร็วแค่ไหน สินค้าที่หมุนเวียนช้าไม่ควรสต็อกเยอะ
- พิจารณาฤดูกาล: หากสินค้ามีฤดูกาลขาย ควรวางแผนการสั่งซื้อให้สอดคล้องกับช่วงพีคและช่วงโลว์
-
ประเมินสถานะกระแสเงินสดและงบประมาณ (Cash Flow Analysis & Budgeting):
- ทำประมาณการกระแสเงินสด: จัดทำประมาณการกระแสเงินสดล่วงหน้า (อย่างน้อย 3-6 เดือน) เพื่อดูว่าธุรกิจจะมีเงินสดเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ หลังจากการซื้อสินค้าล็อตใหญ่หรือไม่
- กำหนดงบประมาณการซื้อสินค้า: กำหนดวงเงินสูงสุดที่สามารถใช้ในการซื้อสินค้าคงเหลือ โดยไม่กระทบต่อสภาพคล่องโดยรวมของธุรกิจ
-
เจรจาเงื่อนไขการชำระเงินกับซัพพลายเออร์ (Payment Terms Negotiation):
- แม้จะซื้อล็อตใหญ่เพื่อได้ราคาถูก แต่พยายามเจรจาขอเงื่อนไขเครดิตที่ยาวขึ้นจากซัพพลายเออร์ เช่น ขอเครดิต 60-90 วัน แทนที่จะเป็น 30 วัน หรือขอแบ่งชำระเป็นงวดๆ
- การได้เครดิตที่ยาวนานขึ้นจะช่วยลดแรงกดดันต่อกระแสเงินสดได้มาก
-
พิจารณาการฝากขาย หรือ Just-in-Time (JIT) Inventory:
- การฝากขาย (Consignment): หากเป็นไปได้ ลองเจรจากับซัพพลายเออร์เรื่องการฝากขาย คือคุณจ่ายเงินก็ต่อเมื่อขายสินค้าได้แล้ว วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการจมเงินในสต็อกได้อย่างมาก
- ระบบ Just-in-Time (JIT): หากลักษณะธุรกิจเอื้ออำนวย ให้สั่งซื้อสินค้าในปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อลดปริมาณสต็อกในคลังให้น้อยที่สุด
-
สร้างแหล่งเงินทุนสำรอง (Backup Funding):
- มีวงเงินสินเชื่อ (Line of Credit) หรือสินเชื่อหมุนเวียน (Working Capital Loan) จากธนาคารสำรองไว้ เผื่อกรณีที่เงินสดขาดมือฉุกเฉินจากการสต็อกสินค้า
- อย่างไรก็ตาม ควรใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะการกู้ยืมมาแบกสต็อกอาจเพิ่มภาระดอกเบี้ย
-
ประเมินต้นทุนและผลตอบแทนที่แท้จริง (Total Cost Analysis):
- อย่ามองแค่ราคาต่อชิ้นที่ถูกลง แต่ต้องคำนวณต้นทุนแฝงทั้งหมดของการสต็อกสินค้า เช่น ค่าคลังสินค้า, ค่าประกัน, ค่าเสื่อมราคา, ต้นทุนโอกาสของเงินทุนที่จม, และความเสี่ยงจากสินค้าล้าสมัย
- เปรียบเทียบกับกำไรที่คาดว่าจะได้จากการซื้อล็อตใหญ่ เพื่อให้แน่ใจว่าคุ้มค่าจริงๆ
การซื้อสินค้าคงเหลือล็อตใหญ่นั้นเป็นเรื่องของการบริหารความเสี่ยงและผลตอบแทน หากทำอย่างมีแผนและระมัดระวัง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ แต่หากปราศจากการวางแผนที่ดี ก็อาจเป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่วิกฤตสภาพคล่องได้ค่ะ

3. ลูกหนี้การค้าจ่ายช้า ส่งผลให้เงินสดขาดมือได้อย่างไร?
เมื่อกิจการขายสินค้าหรือบริการแบบเครดิต สิ่งที่คุณมีคือ “รายได้” ที่เกิดขึ้นในทางบัญชี และมี “ลูกหนี้การค้า” เพิ่มขึ้นมาเป็นสินทรัพย์ในงบดุล แต่ที่สำคัญคือ เงินสดตัวจริงยังไม่ได้เข้ามาในบัญชีธนาคารของคุณ ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีดังนี้:
-
เงินทุนจม (Capital Tied Up):
- คุณได้ลงทุนไปแล้วในการผลิตสินค้า ซื้อวัตถุดิบ จ่ายค่าแรง หรือให้บริการลูกค้าไปแล้ว
- เงินทุนเหล่านี้ควรจะหมุนเวียนกลับมาเป็นเงินสดอย่างรวดเร็วเพื่อนำไปใช้จ่ายต่อ แต่เมื่อลูกหนี้จ่ายช้า เงินทุนเหล่านั้นก็เหมือนถูก “แช่แข็ง” อยู่ในรูปของลูกหนี้ ทำให้คุณไม่สามารถนำเงินไปใช้จ่ายในกิจการได้
- ยิ่งลูกหนี้จ่ายช้าเท่าไหร่ เงินทุนก็จะยิ่งจมอยู่นานเท่านั้น ทำให้เงินสดในมือลดลงอย่างต่อเนื่อง
-
ขาดสภาพคล่อง (Liquidity Shortage):
- นี่คือผลกระทบโดยตรงและร้ายแรงที่สุด แม้ว่ากิจการจะมีออเดอร์เข้ามาเยอะหรือมียอดขายสูง แต่ถ้าเงินสดไม่เข้าตามกำหนด คุณจะไม่มีเงินพอที่จะนำไปใช้จ่ายภาระผูกพันต่างๆ ที่ต้องจ่ายตรงเวลา เช่น:
- เงินเดือนพนักงาน: ไม่ว่ายอดขายจะเป็นอย่างไร เงินเดือนพนักงานต้องจ่ายตามกำหนด
- ค่าเช่า: ค่าเช่าอาคาร, สำนักงาน, โรงงาน เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ที่ต้องจ่ายทุกเดือน
- ชำระหนี้ซัพพลายเออร์: หากคุณซื้อวัตถุดิบหรือสินค้ามาแบบเครดิต และลูกหนี้คุณจ่ายช้ากว่าที่คุณต้องจ่ายซัพพลายเออร์ คุณก็อาจติดขัด
- หนี้เงินกู้ยืม: เงินต้นและดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืมธนาคารหรือแหล่งอื่น ๆ มีกำหนดชำระที่แน่นอน
- ค่าสาธารณูปโภค: ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ล้วนต้องจ่ายตามบิล
- การขาดสภาพคล่องทำให้ธุรกิจต้องดิ้นรนหาเงินสดมาใช้จ่าย ซึ่งอาจนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้กับคู่ค้าหรือสถาบันการเงิน และเสียความน่าเชื่อถือ
- นี่คือผลกระทบโดยตรงและร้ายแรงที่สุด แม้ว่ากิจการจะมีออเดอร์เข้ามาเยอะหรือมียอดขายสูง แต่ถ้าเงินสดไม่เข้าตามกำหนด คุณจะไม่มีเงินพอที่จะนำไปใช้จ่ายภาระผูกพันต่างๆ ที่ต้องจ่ายตรงเวลา เช่น:
-
ภาระดอกเบี้ยและการกู้ยืมเพิ่มเติม:
- เมื่อเงินสดไม่พอหมุนเวียน ธุรกิจอาจจำเป็นต้องหาเงินทุนจากแหล่งภายนอก เช่น การกู้ยืมเงินจากธนาคาร การขอสินเชื่อหมุนเวียน (Line of Credit) หรือการเบิกเกินบัญชี (Overdraft)
- การกู้ยืมเหล่านี้มาพร้อมกับ “ภาระดอกเบี้ย” และค่าธรรมเนียม ซึ่งเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและกัดกินผลกำไรของธุรกิจ
-
เสียโอกาสทางธุรกิจ (Opportunity Cost):
- การที่เงินสดจมอยู่กับลูกหนี้ ทำให้ธุรกิจพลาดโอกาสดีๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่มีผลตอบแทนสูง, การซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าอื่นๆ ที่จำเป็นเมื่อมีราคาถูกลง, หรือแม้แต่การลงทุนด้านการตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย
- นอกจากนี้ คุณอาจพลาดโอกาสในการรับส่วนลดเงินสดจากซัพพลายเออร์ (Cash Discount) หากไม่สามารถชำระหนี้ได้ทันเวลา
-
ความเสี่ยงหนี้เสีย (Bad Debts):
- หากลูกหนี้รายใดจ่ายช้ามากๆ และในที่สุดไม่สามารถชำระหนี้ได้เลย ลูกหนี้การค้านั้นก็จะกลายเป็น “หนี้เสีย” ซึ่งหมายถึงเงินลงทุนที่ธุรกิจได้ลงไปกับสินค้านั้นจะสูญเปล่า และเงินสดจำนวนนั้นจะไม่มีวันกลับคืนมา ทำให้ธุรกิจขาดทุน และยิ่งทำให้เงินสดขาดมือหนักขึ้นไปอีก
ควรป้องกันและระวังการที่เงินสดขาดมือจากกรณีดังกล่าวได้อย่างไร?
การบริหารจัดการลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable Management) อย่างมีประสิทธิภาพ และการวางแผนกระแสเงินสด (Cash Flow Planning) เป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันปัญหานี้:
-
กำหนดนโยบายเครดิตที่รัดกุมและเป็นลายลักษณ์อักษร:
- ประเมินความน่าเชื่อถือของลูกค้า: ก่อนอนุมัติการให้เครดิต โดยเฉพาะลูกค้าใหม่หรือลูกค้ารายใหญ่ ควรมีการตรวจสอบประวัติการชำระเงิน, สถานะทางการเงิน (ขอเอกสารงบการเงิน, ตรวจสอบเครดิตบูโร), หรือใช้บริการบริษัทข้อมูลเครดิต
- กำหนดวงเงินเครดิต (Credit Limit): กำหนดวงเงินสูงสุดที่ลูกค้าแต่ละรายสามารถซื้อเชื่อได้ เพื่อจำกัดความเสี่ยงของการค้างชำระที่มากเกินไป
- กำหนดระยะเวลาเครดิต: กำหนดระยะเวลาการชำระเงินที่เหมาะสมกับธุรกิจและลูกค้า เช่น 15, 30, 45 หรือ 60 วัน โดยพยายามให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และสอดคล้องกับธุรกิจของคุณ
- กำหนดเงื่อนไขการชำระเงินที่ชัดเจน: ระบุเงื่อนไขการชำระเงินให้ชัดเจนบนใบแจ้งหนี้/ใบวางบิล เช่น วันครบกำหนดชำระ, ส่วนลดกรณีชำระเร็ว (Cash Discount), และบทลงโทษกรณีชำระล่าช้า (เช่น ค่าปรับ หรือดอกเบี้ย)
- เริ่มด้วยเครดิตจำกัด: สำหรับลูกค้าใหม่ ควรให้เครดิตในวงเงินจำกัดหรือระยะเวลาสั้นๆ ก่อน แล้วค่อยขยายวงเงินหรือระยะเวลาเมื่อลูกค้ามีประวัติการชำระที่ดี
-
มีระบบและกระบวนการติดตามหนี้ที่มีประสิทธิภาพและสม่ำเสมอ:
- ออกใบแจ้งหนี้/ใบวางบิลทันที: ทันทีที่ส่งมอบสินค้า/บริการ ควรออกใบแจ้งหนี้ที่ถูกต้อง ชัดเจน และส่งถึงลูกค้าโดยเร็วที่สุด
- ติดตามล่วงหน้า: ส่งจดหมาย/อีเมล/โทรศัพท์เตือนลูกหนี้ก่อนวันครบกำหนดชำระ 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ลูกค้ารับทราบและเตรียมการชำระ
- ติดตามทันทีเมื่อถึงกำหนด: หากไม่ได้รับชำระเงินตามกำหนด ควรติดต่อลูกหนี้ทันทีเพื่อสอบถามสาเหตุและกำหนดแผนการชำระเงินใหม่
- บันทึกการติดตาม: จัดทำบันทึกการติดต่อ, วันที่, และผลการติดตามอย่างละเอียด เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามและเป็นหลักฐาน
- กำหนดมาตรการไล่ระดับ (Escalate): มีลำดับขั้นของมาตรการในการติดตามหนี้ ตั้งแต่การเตือนทางโทรศัพท์ ไปจนถึงการส่งจดหมายทวงหนี้อย่างเป็นทางการ การระงับการส่งสินค้า/บริการใหม่ และพิจารณาใช้มาตรการทางกฎหมายเมื่อจำเป็น (ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย)
-
ใช้กลยุทธ์เพื่อกระตุ้นและเร่งการเก็บเงินสด:
- เสนอส่วนลดเงินสด (Cash Discount): เช่น “2/10, net 30” (หากชำระภายใน 10 วันนับจากวันที่ออกบิล จะได้รับส่วนลด 2% มิฉะนั้นต้องชำระเต็มจำนวนภายใน 30 วัน) แม้จะต้องยอมลดรายได้ไปบ้าง แต่ก็คุ้มค่ากว่าการที่เงินสดจมอยู่กับลูกหนี้ หรือการต้องไปกู้เงินมาหมุนเวียน
- มีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลายและสะดวก: เช่น การโอนเงินผ่าน Mobile Banking, QR Code, บัตรเครดิต เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าชำระได้ทันทีและง่ายดาย
- พิจารณาการรับซื้อลูกหนี้ (Factoring): หากธุรกิจต้องการเงินสดเร่งด่วน อาจพิจารณาใช้บริการสถาบันการเงินที่รับซื้อลูกหนี้การค้า โดยธุรกิจจะได้รับเงินสดล่วงหน้าทันที แม้จะมีค่าธรรมเนียม แต่ก็ช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้เร็ว
-
จัดทำประมาณการกระแสเงินสด (Cash Flow Forecasting) อย่างสม่ำเสมอ:
- ทำประมาณการกระแสเงินสดรายสัปดาห์หรือรายเดือน โดยคำนวณทั้งรายรับที่คาดว่าจะได้รับจากลูกหนี้ (โดยคำนึงถึงระยะเวลาเก็บเงินจริง) และรายจ่ายที่จะต้องชำระ
- การทำประมาณการจะช่วยให้มองเห็นภาพรวมของสภาพคล่องล่วงหน้า ทำให้สามารถวางแผนเตรียมพร้อมรับมือได้หากคาดการณ์ว่าจะเกิดปัญหาเงินสดขาดมือ เช่น การเจรจาขอขยายเครดิตกับซัพพลายเออร์ หรือการเตรียมวงเงินสินเชื่อสำรองจากธนาคาร
-
ฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้อง:
- ให้ความรู้แก่ทีมขายเกี่ยวกับการสื่อสารนโยบายเครดิตที่ถูกต้อง และความสำคัญของการเก็บเงินตามกำหนด
- ฝึกอบรมทีมบัญชี/การเงินในการติดตามและเรียกเก็บหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นมืออาชีพ และรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
การจัดการลูกหนี้การค้าเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การสร้างยอดขาย เพราะยอดขายที่ดีแต่เก็บเงินไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการขาดทุนซ่อนรูป การบริหารจัดการลูกหนี้อย่างมีวินัย จะช่วยให้ธุรกิจรักษาสภาพคล่องทางการเงินและเติบโตได้อย่างมั่นคงค่ะ

4. การที่กิจการซื้อสินค้าคงเหลือ หรือวัตถุดิบแบบเงินสดอย่างเดียว ส่งผลให้เงินสดขาดมือได้อย่างไร?
การที่กิจการยึดติดกับการซื้อสินค้าคงเหลือหรือวัตถุดิบด้วยเงินสดเพียงอย่างเดียว ดูเหมือนจะเป็นการบริหารจัดการที่รอบคอบเพราะไม่ต้องมีภาระหนี้สิน แต่ในทางปฏิบัติแล้ว นี่คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประสบปัญหา “เงินสดขาดมือ” ได้อย่างไม่คาดคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรวมกับการบริหารจัดการด้านอื่น ๆ ที่ไม่ดีพอ
เมื่อกิจการตัดสินใจชำระค่าสินค้าคงเหลือหรือวัตถุดิบด้วยเงินสดทั้งหมดทันที เงินก้อนนั้นจะถูกหักออกจากบัญชีธนาคารหรือเงินสดในมือของกิจการทันที ผลกระทบที่เกิดขึ้นมีดังนี้:
-
เงินสดไหลออกอย่างรวดเร็ว (Rapid Cash Outflow):
- การจ่ายเงินสดทันทีหมายความว่าเงินสดจำนวนมากจะออกจากกิจการไปในคราวเดียว เพื่อแลกกับสินค้าหรือวัตถุดิบที่ยังไม่ได้ถูกนำไปขายหรือผลิตเพื่อสร้างรายได้
- หากซื้อในปริมาณมาก หรือซื้อวัตถุดิบที่มีราคาสูง การไหลออกของเงินสดจะยิ่งรุนแรง
-
เงินทุนจมกับสินค้าคงคลัง (Capital Tied Up in Inventory):
- เงินที่จ่ายไปจะถูกเปลี่ยนสถานะจาก “เงินสด” (สภาพคล่องสูง) ไปเป็น “สินค้าคงเหลือ/วัตถุดิบ” (สภาพคล่องต่ำ)
- จนกว่าสินค้าจะถูกขายออกไป และเก็บเงินจากลูกค้าได้ (ซึ่งอาจเป็นการขายเชื่อ) เงินสดก้อนนั้นจึงจะหมุนกลับคืนมา ซึ่งอาจใช้เวลานาน ทำให้เงินสดไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของกิจการ
-
ขาดสภาพคล่อง (Liquidity Shortage) เพื่อใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ:
- แม้ว่าธุรกิจจะมีสินค้าพร้อมขาย หรือวัตถุดิบพร้อมผลิต แต่หากเงินสดส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการซื้อสินค้าเหล่านี้ จะทำให้ไม่มีเงินสดเหลือพอสำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ ที่ต้องจ่ายอย่างต่อเนื่องและตรงเวลา เช่น:
- เงินเดือนพนักงาน: เป็นภาระที่ต้องจ่ายทุกเดือน
- ค่าเช่าสำนักงาน/โรงงาน: ค่าใช้จ่ายคงที่ที่ต้องจ่ายตามกำหนด
- ค่าสาธารณูปโภค: ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเทอร์เน็ต
- ค่าการตลาด/โฆษณา: เพื่อกระตุ้นยอดขาย
- ค่าซ่อมบำรุง/ซัพพอร์ต: สำหรับเครื่องจักร อุปกรณ์
- การชำระคืนหนี้อื่นๆ: เช่น เงินกู้ยืมธนาคาร
- แม้ว่าธุรกิจจะมีสินค้าพร้อมขาย หรือวัตถุดิบพร้อมผลิต แต่หากเงินสดส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการซื้อสินค้าเหล่านี้ จะทำให้ไม่มีเงินสดเหลือพอสำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ ที่ต้องจ่ายอย่างต่อเนื่องและตรงเวลา เช่น:
-
เสียโอกาสทางธุรกิจ (Opportunity Cost):
- การที่เงินสดจมไปกับการซื้อวัตถุดิบ/สินค้าในคลัง ทำให้กิจการพลาดโอกาสในการนำเงินสดก้อนนั้นไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ที่อาจสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น:
- ลงทุนในการขยายธุรกิจ: ซื้อเครื่องจักรใหม่, ขยายสาขา, พัฒนาสินค้าใหม่
- ซื้อสินทรัพย์อื่นที่มีความจำเป็น: เช่น คอมพิวเตอร์ใหม่, ซอฟต์แวร์
- ตอบสนองต่อโอกาสทางการตลาดฉุกเฉิน: เช่น โปรโมชั่นพิเศษจากซัพพลายเออร์รายอื่น หรือโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ
- การรับส่วนลดเงินสด (Cash Discount) จากซัพพลายเออร์อื่นๆ: หากมีเงินสดเพียงพอ
- การที่เงินสดจมไปกับการซื้อวัตถุดิบ/สินค้าในคลัง ทำให้กิจการพลาดโอกาสในการนำเงินสดก้อนนั้นไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ที่อาจสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น:
-
เสี่ยงต่อสินค้าล้าสมัย/เสื่อมสภาพ:
- หากสต็อกสินค้า/วัตถุดิบไว้มากเกินไป และสินค้าเหล่านั้นเป็นประเภทที่ล้าสมัยง่าย หรือมีอายุจำกัด จะเพิ่มความเสี่ยงที่สินค้าจะเสื่อมสภาพ หมดอายุ หรือล้าสมัยก่อนที่จะนำไปใช้ประโยชน์หรือขายได้หมด ทำให้เงินที่ลงทุนไปสูญเปล่า
วิธีการป้องกันเงินสดขาดมือจากการซื้อสินค้าด้วยเงินสดอย่างเดียว
การบริหารจัดการการจัดซื้อและการเงินอย่างชาญฉลาดเป็นกุญแจสำคัญ:
-
บริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Inventory Management):
- พยากรณ์ความต้องการอย่างแม่นยำ: ใช้ข้อมูลการขายในอดีตและแนวโน้มตลาดเพื่อพยากรณ์ความต้องการสินค้า/วัตถุดิบในอนาคตอย่างแม่นยำที่สุด เพื่อสั่งซื้อในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากเกินไป
- กำหนดจุดสั่งซื้อที่เหมาะสม (Reorder Point): มีระบบที่ช่วยแจ้งเตือนเมื่อสต็อกเหลือน้อยถึงจุดที่ต้องสั่งซื้อใหม่ เพื่อไม่ให้สต็อกขาด แต่ก็ไม่มากเกินไป
- ใช้ระบบ Just-in-Time (JIT) หรือ Lean Inventory: หากลักษณะธุรกิจเอื้ออำนวย ให้สั่งซื้อในปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อลดปริมาณสต็อกในคลังให้น้อยที่สุด ช่วยลดเงินทุนที่จมกับสินค้าคงคลัง
-
เจรจาขอเครดิตเทอมจากซัพพลายเออร์ (Negotiate Credit Terms):
- นี่คือวิธีที่สำคัญที่สุดในการป้องกันปัญหาเงินสดขาดมือจากการซื้อสินค้า
- แทนที่จะจ่ายเงินสดทั้งหมด ลองเจรจาขอเครดิตเทอมจากซัพพลายเออร์ เช่น 15 วัน, 30 วัน, หรือ 60 วัน
- การได้เครดิตเทอมทำให้คุณมีเวลาในการขายสินค้า/ผลิตสินค้า และเก็บเงินจากลูกค้าได้ก่อนที่จะต้องชำระเงินให้ซัพพลายเออร์ ช่วยยืดระยะเวลาการไหลออกของเงินสด
- หากซัพพลายเออร์เสนอส่วนลดสำหรับการชำระเงินสด (Cash Discount) ให้คำนวณเปรียบเทียบระหว่างส่วนลดที่ได้ กับต้นทุนโอกาสของการที่เงินสดจะจม
-
จัดทำประมาณการกระแสเงินสด (Cash Flow Forecasting) อย่างสม่ำเสมอ:
- จัดทำประมาณการกระแสเงินสดล่วงหน้า (อย่างน้อย 3-6 เดือน) โดยรวมประมาณการรายรับจากการขาย (โดยคำนึงถึงลูกหนี้ที่อาจจ่ายช้า) และรายจ่ายทั้งหมด (รวมถึงการซื้อวัตถุดิบ/สินค้า)
- ช่วยให้มองเห็นภาพรวมของสภาพคล่องล่วงหน้า และสามารถวางแผนล่วงหน้าได้ หากคาดการณ์ว่าจะเกิดปัญหาเงินสดขาดมือ เช่น การลดปริมาณการซื้อ, การเร่งเก็บเงินจากลูกหนี้, หรือการเตรียมแหล่งเงินทุนสำรอง
-
สร้างแหล่งเงินทุนสำรอง (Establish Backup Funding):
- มีวงเงินสินเชื่อ (Line of Credit): ขอวงเงินสินเชื่อกับธนาคารไว้ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำรองเมื่อจำเป็น ช่วยให้มีเงินสดใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินโดยไม่ต้องขายสินทรัพย์หรือติดขัด
- เงินสำรองฉุกเฉิน: จัดสรรเงินสดบางส่วนไว้เป็นเงินสำรองสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือช่วงที่กระแสเงินสดติดขัด
-
พิจารณาทางเลือกการจัดหาเงินทุนอื่น (Explore Other Financing Options):
- สินเชื่อเพื่อการจัดซื้อ (Purchase Order Financing): สำหรับธุรกิจที่มีคำสั่งซื้อใหญ่และต้องการเงินทุนในการจัดซื้อวัตถุดิบ/สินค้า
- Leasing หรือเช่าซื้อ: สำหรับเครื่องจักรหรืออุปกรณ์บางชนิด แทนที่จะซื้อขาดด้วยเงินสดทั้งหมด
การบริหารเงินสดเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ การซื้อด้วยเงินสดทั้งหมดอาจดูปลอดภัยในแง่ของหนี้สิน แต่หากไม่บริหารจัดการอย่างรอบคอบ ก็อาจทำให้กิจการต้องสะดุดเพราะขาดสภาพคล่องได้ค่ะ

5. การกู้ยืมเงินมากเกินไป ส่งผลให้เงินสดขาดมือได้อย่างไร?
การกู้ยืมเงินเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตและขยายตัว แต่การกู้ยืมที่มากเกินความจำเป็นหรือไม่เหมาะสมกับความสามารถในการสร้างรายได้และกระแสเงินสดของกิจการ อาจกลายเป็นภาระหนักอึ้งที่กัดกินผลกำไรและทำให้ธุรกิจประสบปัญหา “เงินสดขาดมือ” ได้อย่างรุนแรง
เมื่อกิจการมีการกู้ยืมเงินจำนวนมาก สิ่งที่ตามมาคือ “ภาระทางการเงิน” ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งงบกำไรขาดทุนและกระแสเงินสด:
-
ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น:
- กัดกินกำไร: เงินที่กู้ยืมมาไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาว จะต้องจ่าย “ดอกเบี้ย” ให้กับสถาบันการเงินหรือเจ้าหนี้ ดอกเบี้ยจ่ายนี้ถือเป็น “ค่าใช้จ่ายทางการเงิน” ที่จะถูกหักออกจากกำไรก่อนหักภาษี
- ลดความสามารถในการทำกำไร: ยิ่งกู้มาก ดอกเบี้ยจ่ายก็ยิ่งสูง ทำให้กำไรสุทธิของกิจการลดลง แม้ว่ายอดขายจะดีก็ตาม เพราะกำไรส่วนใหญ่ถูกนำไปจ่ายดอกเบี้ย
- กระแสเงินสดไหลออก: ดอกเบี้ยจ่ายเป็นเงินสดที่ไหลออกจากกิจการอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส หากกระแสเงินสดรับไม่สามารถครอบคลุมดอกเบี้ยจ่ายได้ ก็จะทำให้เงินสดติดลบ
-
ภาระเงินต้นที่ต้องชำระคืน (Principal Repayment):
- เงินสดไหลออกก้อนใหญ่: นอกจากดอกเบี้ยแล้ว กิจการยังต้องชำระคืน “เงินต้น” ของเงินกู้ตามกำหนดเวลา ซึ่งอาจเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือเป็นงวดๆ การชำระคืนเงินต้นนี้ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน (ไม่หักกำไร) แต่เป็น การไหลออกของเงินสด ที่สำคัญมาก
- บีบสภาพคล่อง: หากกิจการกู้มามากเกินไป และกระแสเงินสดจากการดำเนินงานไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ก็จะทำให้เงินสดขาดมืออย่างรุนแรง และอาจต้องไปกู้เพิ่มเพื่อโปะหนี้เดิม กลายเป็นวงจรหนี้ที่ไม่จบสิ้น
-
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่สูง (High Debt-to-Equity Ratio):
- ลดความน่าเชื่อถือ: การมีหนี้สินมากเกินไปทำให้กิจการดูมีความเสี่ยงในสายตาของนักลงทุนและสถาบันการเงินรายอื่นๆ หากต้องการกู้เพิ่มในอนาคต อาจทำได้ยากขึ้น หรือต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้น
- ข้อจำกัดจากเจ้าหนี้: เจ้าหนี้อาจกำหนดเงื่อนไขหรือข้อจำกัดบางอย่าง (Covenants) เช่น ห้ามกู้เพิ่ม ห้ามจ่ายเงินปันผล ห้ามขายสินทรัพย์บางอย่าง ซึ่งจะจำกัดความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการกิจการ
-
ความเสี่ยงจากการดำเนินงาน (Operating Risk) เพิ่มขึ้น:
- เมื่อมีภาระหนี้สูง กิจการจะมีความเปราะบางต่อความผันผวนทางเศรษฐกิจหรือการเปลี่ยนแปลงในตลาดมากขึ้น
- หากยอดขายลดลง หรือต้นทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ และนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ (Default) ได้ง่ายกว่ากิจการที่มีหนี้น้อย
วิธีการป้องกันเงินสดขาดมือจากการกู้ยืมเงินมากเกินไป
การบริหารจัดการหนี้สินอย่างรอบคอบเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง นี่คือแนวทางที่ควรปฏิบัติ:
-
ประเมินความจำเป็นในการกู้ยืมอย่างรอบคอบ (Needs Assessment):
- กู้เพื่ออะไร? กู้เพื่อการลงทุนที่สร้างรายได้ (เช่น ซื้อเครื่องจักรใหม่, ขยายโรงงาน) หรือกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องชั่วคราว? ควรแยกแยะให้ชัดเจน
- แหล่งที่มาของเงินทุน: พิจารณาเงินทุนจากแหล่งอื่นก่อน เช่น เงินทุนจากการดำเนินงาน, การเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้น, การขายสินทรัพย์ที่ไม่จำเป็น
- ประมาณการกระแสเงินสด: ก่อนตัดสินใจกู้ ควรทำประมาณการกระแสเงินสดล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อให้แน่ใจว่ากิจการจะมีกระแสเงินสดเพียงพอสำหรับชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยตลอดอายุของเงินกู้
-
คำนวณความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Servicing Capacity):
- อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio): คำนวณจาก กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) / ดอกเบี้ยจ่าย เพื่อดูว่ากำไรที่สร้างได้ครอบคลุมดอกเบี้ยกี่เท่า
- อัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้ (Debt Service Coverage Ratio – DSCR): คำนวณจาก กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน / (เงินต้น+ดอกเบี้ยที่ต้องชำระ) เพื่อดูว่ามีกระแสเงินสดพอจ่ายหนี้หรือไม่
- อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt-to-Equity Ratio): เพื่อประเมินความเสี่ยงและโครงสร้างเงินทุนของกิจการ
-
เลือกประเภทเงินกู้ที่เหมาะสม (Choose Appropriate Loan Types):
- ระยะเวลาของเงินกู้: ควรให้ระยะเวลาของเงินกู้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การใช้เงิน เช่น เงินกู้ระยะยาวสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และเงินกู้ระยะสั้นสำหรับเงินทุนหมุนเวียน
- อัตราดอกเบี้ย: เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมจากหลายๆ สถาบันการเงิน
- เงื่อนไขและข้อตกลง: ทำความเข้าใจเงื่อนไขของสัญญาเงินกู้ทั้งหมด รวมถึงข้อจำกัดต่างๆ ที่อาจมีผลต่อการดำเนินงาน
-
บริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างเข้มงวด (Rigorous Cash Flow Management):
- ทำประมาณการกระแสเงินสดอย่างละเอียดและสม่ำเสมอ: ประมาณการรายรับและรายจ่ายทั้งหมด รวมถึงการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อให้เห็นภาพสภาพคล่องล่วงหน้า
- เร่งรัดการเก็บเงินจากลูกหนี้: ลดระยะเวลาการเก็บเงินจากลูกค้าให้เร็วที่สุด เพื่อให้มีเงินสดเข้ามาหมุนเวียน
- บริหารจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ: ลดปริมาณสินค้าคงคลังที่ไม่จำเป็น เพื่อไม่ให้เงินทุนจมกับสต็อก
- ควบคุมค่าใช้จ่าย: ตรวจสอบและควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เพื่อให้มีเงินสดเหลือสำหรับชำระหนี้
- เจรจาขอเครดิตเทอมจากซัพพลายเออร์: เพื่อยืดระยะเวลาการจ่ายเงินสดออกไป
-
พิจารณาการรีไฟแนนซ์ (Refinancing) หรือปรับโครงสร้างหนี้:
- หากภาระหนี้หนักเกินไป อาจพิจารณาเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอรีไฟแนนซ์ (กู้ใหม่เพื่อปิดหนี้เก่าที่อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า) หรือปรับโครงสร้างหนี้ (ยืดระยะเวลาชำระ, ลดภาระต่องวด)
-
เพิ่มทุนจากแหล่งอื่น (Diversify Funding Sources):
- หากต้องการเงินทุนเพิ่ม ควรพิจารณาการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้น (Equity Financing) ซึ่งจะไม่มีภาระดอกเบี้ยและเงินต้นที่ต้องชำระคืน ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินของกิจการ
การกู้ยืมเงินเป็นเหมือนยาที่ต้องใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ การใช้เกินขนาดอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพทางการเงินของธุรกิจได้ ผู้ประกอบการจึงควรใช้ความระมัดระวังและวางแผนอย่างรอบคอบเสมอค่ะ

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax