วิธีการที่จะช่วยบุคคลธรรมดา ประหยัดภาษีมากขึ้นได้อย่างไร? เพื่อช่วยให้บุคคลธรรมดาประหยัดภาษีได้มากขึ้น กุญแจสำคัญคือการทำความเข้าใจ ประเภทของเงินได้ (Source of Income) ที่ได้รับ เนื่องจากเงินได้แต่ละประเภทมี ภาระภาษี และ ค่าลดหย่อน/ค่าใช้จ่าย ที่แตกต่างกัน วิธีการคือการ เลือกหรือปรับรูปแบบ การรับเงินให้ตกอยู่ในประเภทที่มีภาระภาษีน้อยที่สุด
วิธีการหลักในการวางแผนภาษีด้วยการเลือกรูปแบบเงินได้ มีดังนี้
1. การใช้ประโยชน์จาก “ค่าใช้จ่ายแบบเหมา” และ “ค่าใช้จ่ายตามจริง”
เงินได้แต่ละประเภทมีเพดานค่าใช้จ่ายที่นำมาหักลดหย่อนได้แตกต่างกัน (มาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร)
ประเภทเงินได้ | มาตรา | ค่าใช้จ่ายที่นำมาหักได้ | ประโยชน์ในการประหยัดภาษี |
เงินเดือน/ค่าจ้าง | 40(1) และ 40(2) | เหมาจ่าย 50% แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท (รวมกัน) | เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้จากการจ้างงานประจำ โดยได้ใช้สิทธิเหมาจ่ายสูงสุด |
ค่าเช่า | 40(5) | เหมาจ่าย (แตกต่างกันตามประเภททรัพย์สิน เช่น บ้าน/ที่ดิน 30%) หรือ หักตามค่าใช้จ่าย จริง | มีโอกาสประหยัดภาษีสูงที่สุด หากเลือกหักตามค่าใช้จ่ายจริง แล้วมีค่าใช้จ่าย (ซ่อมแซม, ดอกเบี้ย) สูงกว่า อัตราเหมาจ่าย |
วิชาชีพอิสระ/ค่าที่ปรึกษา | 40(6) | เหมาจ่าย 30% หรือ 60% (ขึ้นอยู่กับประเภทวิชาชีพ) หรือ หักตามค่าใช้จ่าย จริง | หากมีต้นทุนดำเนินการต่ำ ควรเลือกหักแบบเหมาจ่าย แต่หากมีค่าใช้จ่ายสูง ควรเลือกหักตามจริง |
กลยุทธ์การปรับเงินได้:
- เปลี่ยนค่าที่ปรึกษา (40(6)) เป็นค่าเช่า (40(5)): หากบุคคลนั้นเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ใช้ทำงาน (เช่น ออฟฟิศ) แทนที่จะรับเงินในรูปแบบค่าที่ปรึกษาอย่างเดียว อาจแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปรับในรูปแบบ “ค่าเช่า” (จากการให้บริษัทเช่าพื้นที่ทำงาน) แล้วนำค่าใช้จ่ายตามจริงของทรัพย์สินนั้น (เช่น ดอกเบี้ย, ค่าซ่อม) มาหักได้มากกว่าอัตราเหมาจ่าย 30% ของ 40(6)
2. การใช้ประโยชน์จาก “เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี” หรือ “ภาษีคงที่”
เงินได้บางประเภทมีการหักภาษีในอัตราพิเศษ หรือได้รับยกเว้น ทำให้ไม่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้า (0%-35%)
A. การเลือกรับเงินปันผล (Dividend)
ประเภทเงินได้ | ภาระภาษี | ประโยชน์ในการประหยัดภาษี |
เงินปันผล | ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% คงที่ | ผู้รับมีสิทธิเลือกที่จะ ไม่นำเงินปันผลมารวมคำนวณภาษี กับเงินได้ประเภทอื่น ๆ ในสิ้นปี (Final Tax) หากอัตราภาษีรวมของผู้รับอยู่ในช่วง 20% ขึ้นไป การเลือกจ่าย 10% คงที่ จะทำให้ประหยัดภาษีส่วนนี้ได้อย่างมาก |
B. การปรับโครงสร้างเงินเดือนและสวัสดิการ
รูปแบบการจ่าย | ภาระภาษี | ประโยชน์ในการประหยัดภาษี |
เปลี่ยนเงินเดือนเป็นสวัสดิการที่ไม่ต้องเสียภาษี | ส่วนของสวัสดิการที่ “ไม่ถือเป็นเงินได้” ตามกฎหมาย (เช่น เครื่องแบบพนักงาน, ค่ารักษาพยาบาลส่วนเพิ่มที่ไม่ใช่เงินสด) | ส่วนนี้ ไม่ต้องนำมาคำนวณภาษี ทำให้ฐานภาษีบุคคลธรรมดาลดลง (แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสรรพากร) |
การให้ผลประโยชน์ในรูปแบบทรัพย์สิน/สิทธิ | การให้สิทธิในการซื้อหุ้น (ESOP) ที่เข้าเงื่อนไข จะมีภาระภาษีที่แตกต่างจากการจ่ายเงินสดทันที | อาจช่วยเลื่อน (Defer) ภาระภาษีไปในอนาคต หรือคำนวณจากราคาที่ต่ำกว่า |
3. การวางแผนรายได้รวมเพื่อใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีแบบก้าวหน้า
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยคิดในอัตราก้าวหน้า (สูงสุด 35%)
- ผู้ที่มีเงินได้รวมไม่เกิน 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี
- ผู้ที่มีเงินได้รวมไม่เกิน 300,000 บาท เสียภาษีในอัตรา 5%
กลยุทธ์:
- การกระจายเงินได้ (Income Splitting): หากบุคคลธรรมดานั้นมีคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้น้อย สามารถโอนเงินได้บางส่วน (เช่น ค่าเช่า) ให้แก่คู่สมรสเพื่อแยกฐานการคำนวณภาษี (ถ้าทำได้ตามกฎหมาย) ซึ่งจะช่วยให้เงินได้ส่วนนั้นถูกคำนวณในอัตราที่ต่ำกว่า หรือได้รับการยกเว้นภาษี
- การควบคุมฐานภาษี: หากรู้ว่ารายได้รวมจะทำให้ตกอยู่ในฐานภาษีสูง (เช่น 25% หรือ 30%) ควรพิจารณาเลื่อนการรับรู้รายได้บางส่วนไปในปีถัดไป (เช่น เลื่อนการออกบิลค่าที่ปรึกษา) เพื่อไม่ให้รายได้รวมในปีปัจจุบันสูงเกินไป และใช้โอกาสนั้นเพิ่มการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี (SSF, RMF) เพื่อลดฐานภาษีลง
ข้อควรระวัง: การวางแผนภาษีจะต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและต้องมี หลักฐานการจ่ายเงินที่แท้จริงและสมเหตุสมผล เพื่อไม่ให้ถูกตีความว่าเป็นการทำธุรกรรมอำพราง (Tax Avoidance) ที่ผิดกฎหมาย

การช่วยให้บุคคลธรรมดาประหยัดภาษีได้มากขึ้นด้วยการใช้ ค่าลดหย่อน (Tax Deductions/Allowances) ต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดนั้น เป็นกลยุทธ์สำคัญที่เรียกว่าการ “ลดฐานเงินได้สุทธิ”เมื่อฐานเงินได้สุทธิลดลง บุคคลนั้นจะถูกคำนวณภาษีในอัตราที่ต่ำลง หรือถูกคำนวณภาษีจากจำนวนเงินที่น้อยลง ซึ่งนำไปสู่การประหยัดภาษีได้มากขึ้นนั่นเองนี่คือการอธิบายโดยละเอียดถึงวิธีการใช้ประโยชน์จากค่าลดหย่อนแต่ละประเภทเพื่อเพิ่มความประหยัดภาษี:
1. การใช้ค่าลดหย่อน “บุคคล” (Personal Allowances)
ค่าลดหย่อนเหล่านี้มีผลกระทบสูงในการลดฐานภาษี และควรใช้สิทธิ์ให้ครบถ้วนที่สุด
ค่าลดหย่อน | จำนวนเงิน (ต่อปี) | วิธีใช้เพื่อประหยัดภาษี |
ค่าลดหย่อนส่วนตัว | 60,000 บาท | ทุกคนใช้ได้โดยอัตโนมัติ |
คู่สมรส | 60,000 บาท | ใช้ได้เมื่อ สมรสจดทะเบียน และคู่สมรส ไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้ที่เลือกยื่นรวมกับของเรา |
บุตร | บุตรคนละ 30,000 บาท (ไม่จำกัดจำนวน) | กลยุทธ์: ใช้ได้ถึงบุตรบรรลุนิติภาวะ (20 ปี) หรือศึกษาต่อ (ไม่เกินปริญญาตรี) บุตรคนที่สองเป็นต้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ขึ้นไป ลดหย่อนเพิ่มอีกคนละ 30,000 บาท (รวมเป็น 60,000 บาท) |
บิดามารดา (อุปการะ) | บิดามารดาละ 30,000 บาท (สูงสุด 60,000 บาท) | กลยุทธ์: ต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี (รวมค่าลดหย่อนบำนาญ) หากพี่น้องหลายคนช่วยกันอุปการะ ให้สิทธิ์ลดหย่อนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ควรตกลงกันว่าใครมีฐานภาษีสูงที่สุด คนนั้นควรใช้สิทธิ์เพื่อประหยัดภาษีรวมของครอบครัวสูงสุด |
คนพิการ/ทุพพลภาพ | คนละ 60,000 บาท | ใช้ได้เมื่อผู้อุปการะ มีฐานภาษีสูง เพื่อนำเงินลดหย่อนจำนวนนี้ไปหักออกจากฐานภาษีที่อัตราสูง |
2. การใช้ค่าลดหย่อน “ภาระหนี้สินและอสังหาริมทรัพย์”
ค่าลดหย่อนเหล่านี้ช่วยลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่
ค่าลดหย่อน | จำนวนเงิน (ต่อปี) | วิธีใช้เพื่อประหยัดภาษี |
ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย | ตามที่จ่ายจริง สูงสุด 90,000 บาท | กลยุทธ์: หากกู้ร่วมกับผู้อื่น (เช่น คู่สมรส) ให้แบ่งสัดส่วนการลดหย่อนดอกเบี้ย ตามจำนวนเงินที่กู้ร่วมกัน แต่รวมกันต้องไม่เกิน 90,000 บาท |
โครงการบ้านหลังแรก | (เป็นไปตามมาตรการรัฐบาลกำหนดเป็นครั้งคราว) | ตรวจสอบมาตรการในแต่ละปี |
3. การใช้ค่าลดหย่อน “เพื่อการวางแผนทางการเงิน” (Investment & Saving)
ค่าลดหย่อนกลุ่มนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการ วางแผนภาษีล่วงหน้า เนื่องจากเราสามารถ เลือกที่จะซื้อ/ลงทุน เพื่อรับสิทธิ์ลดหย่อนได้
ค่าลดหย่อน | จำนวนเงิน (สูงสุด) | วิธีใช้เพื่อประหยัดภาษี |
ประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์ | สูงสุด 100,000 บาท | กลยุทธ์: ควรเลือกซื้อกรมธรรม์ที่ให้ผลตอบแทนดี และ สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนได้เต็มจำนวน |
ประกันสุขภาพ | สูงสุด 25,000 บาท (เมื่อรวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท) | เป็นค่าลดหย่อนที่สำคัญสำหรับคนที่มีค่ารักษาพยาบาลสูง เพราะช่วยแบ่งเบาภาระภาษีได้ |
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) | 30% ของเงินได้ ที่ต้องเสียภาษี (ไม่เกิน 500,000 บาท) | กลยุทธ์: เหมาะสำหรับ ผู้มีรายได้สูง และต้องการสะสมเงินเพื่อเกษียณอายุ สิทธิลดหย่อนจะ เพิ่มขึ้นตามฐานภาษี (ผู้ที่อยู่ในฐาน 35% จะประหยัดภาษีได้ 35 บาทต่อทุก 100 บาทที่ลงทุน) |
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) | 30% ของเงินได้ ที่ต้องเสียภาษี (ไม่เกิน 200,000 บาท) | กลยุทธ์: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ลดหย่อนภาษีระยะสั้น (ถือครอง 10 ปี) โดย SSF, RMF, ประกันบำนาญ, กบข/กสจ. รวมกันต้องไม่เกิน 500,000 บาท |
ประกันบำนาญ | 15% ของเงินได้ ที่ต้องเสียภาษี (ไม่เกิน 200,000 บาท) | เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินเพื่อบำนาญเพิ่มเติม |
กลยุทธ์รวมสำหรับกลุ่มการเงิน:
บุคคลธรรมดาที่มีฐานภาษีสูง ควรคำนวณให้แน่ใจว่าได้ใช้สิทธิ์ RMF และ SSF ให้เต็มเพดาน (สูงสุด 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนบำนาญอื่น ๆ) เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ให้วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด
สรุปหลักการวางแผนภาษีด้วยค่าลดหย่อน
- ใช้สิทธิ์บุคคลให้ครบก่อน: ตรวจสอบและใช้สิทธิ์ลดหย่อนส่วนตัว, คู่สมรส, บุตร, และบิดามารดาให้เต็มวงเงิน โดยเฉพาะการเลือกผู้ใช้สิทธิ์อุปการะบิดามารดาในผู้ที่มี ฐานภาษีสูงสุด
- เพิ่มสวัสดิการ: หากมีรายได้สูง (เกิน 500,000 บาทต่อปี) ควรพิจารณาซื้อ ประกันชีวิต/ประกันสุขภาพ เพื่อลดฐานภาษีสูงสุด 125,000 บาท
- ลงทุนเพื่อลดหย่อน: หากยังต้องเสียภาษีในอัตราสูง (เกิน 10%) ให้พิจารณาลงทุนใน RMF และ SSF เพื่อลดฐานภาษีให้มากที่สุดเท่าที่เพดานจะเอื้ออำนวย
- ตรวจสอบมาตรการพิเศษ: ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการ “ช้อปดีมีคืน” หรือค่าลดหย่อนการศึกษาบุตรเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยลดหย่อนภาษีได้เป็นครั้งคราวไป

การใช้สิทธิ์ หักค่าใช้จ่ายตามจริง (Actual Expenses) แทนการหักแบบเหมา (Lump-sum Deduction) เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในการช่วยบุคคลธรรมดาประหยัดภาษีได้มากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีเงินได้ประเภท ค่าเช่า (40(5)) และ วิชาชีพอิสระ/รับเหมา (40(6) และ 40(7)) ที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูง
เนื่องจากกฎหมายไทยกำหนดให้เงินได้บางประเภทสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้สองวิธี และอัตราเหมาจ่ายสูงสุดที่กฎหมายให้ใช้ทั่วไปคือ 60% (เช่น 40(7)) ดังนั้นหากค่าใช้จ่ายจริงของผู้มีเงินได้สูงกว่า 60% การเลือกหักตามจริงจึงเป็นวิธีที่ประหยัดที่สุด
หลักการหักค่าใช้จ่ายตามจริงเพื่อประหยัดภาษี
1. ทำความเข้าใจประเภทเงินได้ที่ใช้สิทธิ์ได้
บุคคลธรรมดาจะสามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริงได้ก็ต่อเมื่อเงินได้นั้นอยู่ในประเภทที่กฎหมายอนุญาตให้ทำได้:
ประเภทเงินได้ | มาตรา | ค่าใช้จ่าย (เลือกได้) | อัตราเหมาจ่ายสูงสุด (เปรียบเทียบ) |
ค่าเช่า | 40(5) | หักตามจริง หรือ เหมาจ่าย (10% – 30%) | ขึ้นอยู่กับประเภททรัพย์สิน |
วิชาชีพอิสระ | 40(6) | หักตามจริง หรือ เหมาจ่าย (30% หรือ 60%) | 60% สำหรับบางวิชาชีพ (เช่น ช่างฝีมือ, ผู้รับเหมา) |
รับเหมา/บริการ | 40(7) | หักตามจริง หรือ เหมาจ่าย 60% | 60% |
ธุรกิจ/พาณิชย์ | 40(8) | หักตามจริง หรือ เหมาจ่าย (ตั้งแต่ 60% ถึง 90%) | ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ |
กลยุทธ์คือ: หากเงินได้เข้าข่าย 40(5), 40(7) หรือ 40(8) และกิจการมีต้นทุนดำเนินการ เกินกว่าอัตราเหมาจ่าย ที่กำหนด (เช่น เกิน 60%) ควรเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง
2. ข้อกำหนดและหลักฐานที่ต้องเตรียม
การหักค่าใช้จ่ายตามจริงถูกควบคุมอย่างเข้มงวดกว่าการหักแบบเหมามาก เพื่อป้องกันการนำค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาหัก:
หลักฐานที่ต้องมี | รายละเอียด | ความสำคัญ |
หลักฐานการจ่ายเงิน | ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีเต็มรูป ที่มีชื่อและเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (บัตรประชาชน) ของผู้มีเงินได้ หรือเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้ | พิสูจน์ว่า มีการจ่ายเงินจริง และ ใครเป็นผู้จ่าย |
หลักฐานความเกี่ยวข้อง | รายละเอียดและเอกสารประกอบที่แสดงว่าค่าใช้จ่ายนั้น เกี่ยวข้องโดยตรง กับการสร้างรายได้ (มาตรา 65 ตรี (13)) เช่น ค่าวัสดุ, ค่าแรงงาน, ค่าจ้างย่อย | พิสูจน์ว่า เป็นค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ ไม่ใช่รายจ่ายส่วนตัว |
การทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย | ต้องจัดทำ บัญชีรายรับ-รายจ่าย ตามรูปแบบที่สรรพากรกำหนด เพื่อรวบรวมและสรุปยอดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตลอดปีภาษี | เป็นเครื่องมือหลักในการนำส่งข้อมูลให้สรรพากรตรวจสอบ |
3. ตัวอย่างการประยุกต์ใช้เพื่อประหยัดภาษี
กรณีที่ 1: เงินได้ค่าเช่า (40(5))
สมมติบุคคลธรรมดามีรายได้ค่าเช่า 1,000,000 บาท (ค่าเช่าอาคาร) กฎหมายให้หักเหมาจ่าย 30% หรือหักตามจริง
วิธีหักค่าใช้จ่าย | ค่าใช้จ่ายที่หักได้ | เงินได้หลังหักค่าใช้จ่าย |
แบบเหมา 30% | 1,000,000×30%=300,000 บาท | 1,000,000−300,000=700,000 บาท |
ตามจริง (ถ้ามีค่าใช้จ่ายสูง) | สมมติค่าใช้จ่ายจริง (ดอกเบี้ย, ซ่อมแซม, ค่าเสื่อมราคา) เท่ากับ 700,000 บาท | 1,000,000−700,000=300,000 บาท |
ผลลัพธ์: การหักตามจริงช่วยลดฐานภาษีได้เพิ่มขึ้นถึง 400,000 บาท (700,000 – 300,000) ทำให้ประหยัดภาษีได้มาก
กรณีที่ 2: เงินได้จากการรับเหมา (40(7))
เงินได้จากการรับเหมา กฎหมายให้หักเหมาจ่าย 60% หรือหักตามจริง
วิธีหักค่าใช้จ่าย | ค่าใช้จ่ายที่หักได้ |
แบบเหมา 60% | 60% ของรายได้ (ใช้ได้สูงสุดเท่านี้) |
ตามจริง | หากค่าใช้จ่ายจริง (ค่าแรง, ค่าวัสดุ) คือ 75% ของรายได้ |
ผลลัพธ์: หากต้นทุนจริงคือ 75% การเลือกหักตามจริงจะช่วยลดฐานภาษีได้มากกว่าแบบเหมา 15% ของรายได้ทั้งหมด (75% – 60%)
สรุปข้อแนะนำ
- ผู้ที่มีต้นทุนสูงกว่า 60%: ต้องเลือกหักตามจริงทันที และเตรียมเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน
- ผู้ที่มีต้นทุนต่ำกว่า 60%: ควรเลือกหักแบบเหมาจ่าย 60% เพราะได้ประโยชน์สูงสุดตามกฎหมายโดยไม่ต้องเก็บเอกสารมากมาย
- การวางแผนล่วงหน้า: ผู้มีเงินได้ประเภท 40(5), 40(7), 40(8) ควร บันทึกรายรับ-รายจ่าย อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินในสิ้นปีว่าค่าใช้จ่ายจริงรวมแล้วสูงกว่าอัตราเหมาจ่ายหรือไม่ ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการยื่นภาษี

การเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจจาก บุคคลธรรมดา (Sole Proprietorship) เป็น นิติบุคคล (Company or Partnership) เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการประหยัดภาษี เมื่อธุรกิจมีการเติบโตและมีกำไรสุทธิสูง เนื่องจากอัตราภาษีที่แตกต่างกันอย่างมาก
การเปรียบเทียบอัตราภาษีหลัก
ประเภท | ฐานภาษี | อัตราภาษีสูงสุด |
บุคคลธรรมดา | เงินได้สุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) | 0% ถึง 35% (แบบก้าวหน้า) |
นิติบุคคล (SME) | กำไรสุทธิ | 0% ถึง 20% (แบบคงที่/ขั้นบันไดสำหรับ SME) |
การเปลี่ยนเป็นนิติบุคคลจะช่วยประหยัดภาษีได้มากขึ้น ด้วยวิธีการดังนี้:
1. ลดอัตราภาษีสูงสุด (Lower Tax Ceiling)
A. อัตราภาษีที่ต่ำกว่าสำหรับ SME
สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าบุคคลธรรมดามาก:
กำไรสุทธิ (ต่อปี) | อัตราภาษี (นิติบุคคล SME) |
0 – 300,000 บาทแรก | 0% (ยกเว้นภาษี) |
300,001 – 3,000,000 บาท | 15% |
เกิน 3,000,000 บาท | 20% |
เมื่อเทียบกับอัตราภาษีบุคคลธรรมดาที่เริ่ม 20% เมื่อเงินได้สุทธิเกิน 500,000 บาท และพุ่งไปถึง 35% เมื่อเงินได้สุทธิเกิน 5,000,000 บาท การเปลี่ยนเป็นนิติบุคคลจึงช่วยประหยัดภาษีได้อย่างมากจุดคุ้มทุน: โดยทั่วไป ธุรกิจควรพิจารณาเปลี่ยนเป็นนิติบุคคลเมื่อมีกำไรสุทธิเกินกว่า 750,000 – 1,000,000 บาทต่อปี เพราะอัตราภาษีที่ 20% ของนิติบุคคลจะเริ่มคุ้มค่ากว่าอัตราก้าวหน้าของบุคคลธรรมดา
2. การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่ “ยืดหยุ่น” กว่า
ในฐานะนิติบุคคล ธุรกิจสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานมาหักจากรายได้ได้ทั้งหมด ซึ่งมีความยืดหยุ่นกว่าการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายของบุคคลธรรมดา:
A. จ่ายเงินเดือนให้ตนเอง
เมื่อเปลี่ยนเป็นบริษัท เจ้าของสามารถจ่าย เงินเดือนกรรมการ/ผู้จัดการ ให้ตนเองได้ ซึ่งถือเป็น ค่าใช้จ่ายของบริษัท
- บริษัท: บันทึกเงินเดือนกรรมการเป็นรายจ่าย ทำให้ กำไรบริษัทลดลง (และเสียภาษีนิติบุคคลน้อยลง)
- บุคคลธรรมดา (กรรมการ): เงินเดือนที่ได้รับจะถูกคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่สามารถใช้ ค่าลดหย่อนส่วนตัว และสิทธิอื่น ๆ ได้ครบถ้วน
กลยุทธ์คือ: กำหนดเงินเดือนให้อยู่ในระดับที่หลังจากหักค่าลดหย่อนแล้ว อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ในช่วงต่ำ (เช่น 5% หรือ 10%) เพื่อบริหารจัดการภาษีรวมทั้งระบบให้ต่ำที่สุด
B. หักค่าใช้จ่ายและค่าเสื่อมราคา
- ค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน: นิติบุคคลสามารถหักค่าใช้จ่ายที่พิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องกับกิจการทั้งหมด เช่น ค่ารับรองลูกค้า, ค่าน้ำมัน, ค่าเดินทาง, ค่าโฆษณา (ต้องมีเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย)
- ค่าเสื่อมราคา (Depreciation): สามารถนำค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ (เช่น รถยนต์, คอมพิวเตอร์) มาหักเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทได้ทุกปี ซึ่งเป็นรายจ่ายทางบัญชีที่ ไม่ได้มีการจ่ายเงินสดออกไปจริง แต่ช่วยลดกำไรที่ต้องเสียภาษีได้
3. การบริหาร “ภาษีซ้ำซ้อน” (Dual Taxation Management)
ข้อเสียเดียวของการเป็นนิติบุคคลคือ ภาษีซ้ำซ้อน (Double Taxation) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อบริษัททำกำไรและเสียภาษี (นิติบุคคล) แล้ว เมื่อจ่ายเงินส่วนนี้ออกมาในรูปแบบ เงินปันผล ให้แก่เจ้าของ/ผู้ถือหุ้น เงินปันผลนั้นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายอีกครั้ง (บุคคลธรรมดา)
กลยุทธ์เพื่อลดภาระภาษีซ้ำซ้อน:
- เลือก Final Tax สำหรับเงินปันผล: เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ผู้ถือหุ้นสามารถเลือกที่จะ ไม่นำเงินปันผลนี้มารวมคำนวณ กับเงินได้ประเภทอื่น ๆ (Final Tax) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีฐานภาษีบุคคลธรรมดา สูงกว่า 10% (เช่น 15% ขึ้นไป)
- เครดิตภาษีเงินปันผล: ผู้ถือหุ้นสามารถใช้สิทธิ์ เครดิตภาษี เงินปันผล เพื่อขอคืนภาษีส่วนที่บริษัทจ่ายไปแล้วได้ ทำให้ภาระภาษีรวมลดลง
- เก็บกำไรไว้ในบริษัท: บริษัทสามารถเลือก ไม่จ่ายเงินปันผล แต่เก็บกำไรสะสมไว้ในบริษัทเพื่อใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจ ซึ่งกำไรส่วนที่เก็บไว้จะเสียภาษีเพียงอัตรานิติบุคคล (สูงสุด 20%) เท่านั้น โดยไม่มีภาระภาษีบุคคลธรรมดา
สรุป: การเปลี่ยนเป็นนิติบุคคลเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยประหยัดภาษีได้อย่างมหาศาลสำหรับธุรกิจที่มีกำไรสูง โดยเปลี่ยนอัตราภาษีสูงสุดจาก 35% เป็น 20% และเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและการวางแผนเงินเดือนค่ะ

AccProTax รับทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี วางแผนภาษี ประสบการณ์กว่า 25 ปี
“สะดวก รวดเร็ว เข้าใจ ให้คำปรึกษาเชิงรุก” คือสิ่งที่ AccProTax ให้ความสำคัญ
เพราะเราเข้าใจดีว่า “เรื่องภาษี” ไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้ AccProTax จึงมุ่งเน้นการวางระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการตีความผิดพลาดและลดความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บย้อนหลัง ทีมงานของเรามีประสบการณ์กว่า 25 ปี ในการให้บริการทั้งการทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี และวางแผนภาษีอย่างรอบด้าน พร้อมคำปรึกษาที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง
ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/accprotax/
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax
เริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดทำบัญชี วางแผนภาษี และการขอใบอนุญาตต่างๆ อย่างถูกต้อง มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และใช้ระยะเวลานาน การมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านงานจดทะเบียนธุรกิจเป็นที่ปรึกษาและวางแผนอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งข้อมูลต่อทางการอย่างถูกต้อง เป็นหัวใจสำคัญของก้าวแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจ เรายินดีให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่าน พร้อมให้คำแนะนำในด้านการจดทะเบียน บริษัท(บจก.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) อย่างครบวงจร รวมถึง จัดทำบัญชี และวางแผนภาษี (Tax Planning) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูล เรายินดีช่วยเหลือ ให้บริการที่รวดเร็ว ทันเวลา ราคาเหมาะสม คุยอย่างเป็นกันเอง ยินดีให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี
กรุณากรอกข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญติดต่อกลับ ให้คำปรึกษาที่ตรงกับความต้องการของคุณได้อย่างรวดเร็ว