วิธีเช็คสินค้ากิจการ-3 เรื่องที่คนขายต้องรู้ เพื่อรู้เท่าทันสรรพากร!

1.ควรเช็คสินค้าที่ขายดี-สินค้าที่ขายไม่ได้

การจัดการสินค้าคงเหลือ (Inventory Management) เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจที่มีการซื้อมาขายไป การตรวจสอบและวิเคราะห์สินค้าคงเหลืออย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่แค่การนับสต็อก แต่เป็นการทำความเข้าใจพฤติกรรมสินค้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน สร้างกำไรสูงสุด และลดความเสี่ยง

ทำไมกิจการจึงควรจะต้องเช็คสินค้าคงเหลืออย่างละเอียด?

การตรวจสอบสินค้าคงเหลืออย่างละเอียดและสม่ำเสมอมีประโยชน์มหาศาลต่อการบริหารกิจการ ดังนี้:

  1. เพื่อรักษากระแสเงินสด (Cash Flow Management):

    • สินค้าคงเหลือคือ “เงินทุน” ที่ถูกตรึงไว้ ยิ่งมีสินค้ามาก เงินทุนยิ่งจม การตรวจสอบช่วยให้เห็นว่าเงินทุนถูกใช้ไปกับสินค้าประเภทใด เพื่อไม่ให้เงินจมมากเกินไป
  2. เพื่อควบคุมต้นทุน (Cost Control):

    • สินค้าคงเหลือมีต้นทุนแฝงหลายอย่าง เช่น ค่าคลังสินค้า, ค่าประกันภัย, ค่าเสื่อมสภาพ, ค่าล้าสมัย, ค่าเสียโอกาสที่เงินทุนไปจม
    • การจัดการที่ดีช่วยลดต้นทุนเหล่านี้
  3. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ (Operational Efficiency):

    • รู้ว่าสินค้าอะไรขาด สินค้าอะไรเกิน ทำให้การสั่งซื้อและการเติมสต็อกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาของขาด หรือของล้น
  4. เพื่อวางแผนกลยุทธ์การขายและการตลาด (Sales & Marketing Strategy):

    • ข้อมูลสินค้าคงเหลือช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าและตลาด นำไปสู่การวางแผนส่งเสริมการขาย, การพัฒนาสินค้า, หรือการจัดการโปรโมชั่นที่ตรงจุด
  5. เพื่อเพิ่มกำไรและยอดขาย (Profit & Sales Maximization):

    • การมีสินค้าที่ “ใช่” ในเวลาที่ “ใช่” ช่วยให้ไม่พลาดโอกาสในการขายและเพิ่มกำไร

การจัดลำดับสินค้า: สินค้าขายดี สินค้าขายไม่ดี (ABC Analysis / Pareto Principle)

การจัดลำดับสินค้าเป็นสิ่งสำคัญเพื่อจัดสรรทรัพยากรและกลยุทธ์ที่เหมาะสม โดยนิยมใช้หลักการ ABC Analysis (หรือ Pareto Principle 80/20)

  • A-Items (สินค้าขายดี / High-Value, Fast-Moving):

    • ลักษณะ: สินค้าที่สร้างยอดขายและ/หรือกำไรสูงสุดให้กิจการ (อาจเป็น 20% ของสินค้าทั้งหมด แต่สร้าง 80% ของยอดขาย/กำไร) หมุนเวียนเร็ว เป็นที่ต้องการของตลาด
    • ตัวอย่าง: สินค้าแฟชั่นรุ่นยอดนิยม, อาหารยอดฮิต, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รุ่นเรือธง
    • ทำไมต้องจัดลำดับ: เพื่อให้แน่ใจว่ามีสต็อกเพียงพอเสมอ ไม่เกิดการของขาด (Stock Out) ซึ่งจะทำให้เสียโอกาสในการขายและเสียลูกค้า
  • B-Items (สินค้าปานกลาง / Medium-Value, Medium-Moving):

    • ลักษณะ: สินค้าที่มีการหมุนเวียนและสร้างยอดขาย/กำไรในระดับปานกลาง (อาจเป็น 30% ของสินค้าทั้งหมด สร้าง 15% ของยอดขาย/กำไร)
    • ทำไมต้องจัดลำดับ: บริหารจัดการอย่างเหมาะสม ไม่ต้องสต็อกเยอะเท่า A แต่ก็ต้องไม่ขาดบ่อย
  • C-Items (สินค้าขายไม่ดี / Low-Value, Slow-Moving):

    • ลักษณะ: สินค้าที่สร้างยอดขายและ/หรือกำไรน้อยที่สุด (อาจเป็น 50% ของสินค้าทั้งหมด แต่สร้าง 5% ของยอดขาย/กำไร) หมุนเวียนช้า อาจตกรุ่น หรือไม่เป็นที่นิยม
    • ตัวอย่าง: สินค้าเฉพาะทางมาก, สินค้าที่ใกล้หมดอายุ, สินค้าแฟชั่นที่ตกเทรนด์
    • ทำไมต้องจัดลำดับ: เพื่อควบคุมสต็อกไม่ให้มากเกินไป ลดต้นทุนการจัดเก็บ และหาทางระบายสต็อกเพื่อไม่ให้เงินจม

การเช็คว่า “กำไรดีไหม” ของสินค้าแต่ละรายการ

การดูแค่ยอดขายไม่เพียงพอ ต้องลงลึกไปถึง “กำไรขั้นต้น” (Gross Profit Margin) ของสินค้าแต่ละรายการ

  • กำไรขั้นต้น = (ราคาขายต่อหน่วย – ต้นทุนสินค้าต่อหน่วย) / ราคาขายต่อหน่วย
  • สินค้าขายดีแต่กำไรน้อย: อาจเป็นสินค้าที่ต้องใช้เป็นตัวดึงดูดลูกค้า (Loss Leader) แต่อาจต้องพิจารณาเพิ่มราคา หรือลดต้นทุน
  • สินค้าขายไม่ดีแต่กำไรมาก: อาจเป็นสินค้าเฉพาะทางที่ลูกค้าพร้อมจ่าย ควรพิจารณาทำการตลาดเฉพาะกลุ่ม หรือหาช่องทางจำหน่ายที่เหมาะสม
  • สินค้าขายไม่ดีและกำไรน้อย: นี่คือ “สินค้าไร้ประโยชน์” ที่ควรพิจารณาเลิกจำหน่ายหรือหาทางระบายโดยเร็ว

ควรจะต้องทำอย่างไรต่อการจัดการสินค้าต่อไป? (เมื่อรู้ข้อมูลแล้ว)

เมื่อมีการตรวจสอบและจัดลำดับสินค้า รวมถึงวิเคราะห์กำไรแล้ว กิจการควรดำเนินการดังนี้:

1. สำหรับ A-Items (สินค้าขายดี / กำไรดี):

  • คงระดับสต็อกที่เหมาะสม: มีระบบการสั่งซื้ออัตโนมัติหรือการพยากรณ์ความต้องการที่แม่นยำ เพื่อให้มีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการเสมอ
  • ตรวจสอบคุณภาพอย่างสม่ำเสมอ: ให้แน่ใจว่าสินค้าคุณภาพดีอยู่เสมอ เพื่อรักษาฐานลูกค้า
  • ลงทุนในการตลาด: ส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด
  • พิจารณาเพิ่มกำลังการผลิต/สั่งซื้อ: หากพบว่าความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • หาซัพพลายเออร์สำรอง: เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดียว

2. สำหรับ B-Items (สินค้าปานกลาง):

  • ติดตามอย่างใกล้ชิด: ตรวจสอบยอดขายและกำไรอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูแนวโน้มว่ากำลังจะกลายเป็น A หรือ C
  • บริหารสต็อกอย่างสมดุล: ไม่ต้องสต็อกเยอะเท่า A แต่ก็ไม่ให้ขาดบ่อย ใช้วิธีการสั่งซื้อแบบ Economic Order Quantity (EOQ) หรือ Just-In-Time (JIT) ที่เหมาะสม
  • พิจารณาการโปรโมทบางโอกาส: อาจจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายเป็นครั้งคราว

3. สำหรับ C-Items (สินค้าขายไม่ดี / กำไรน้อย/ติดลบ):

  • ลดสต็อกลงอย่างเร่งด่วน: หยุดสั่งซื้อ หรือสั่งซื้อให้น้อยที่สุด
  • ระบายสต็อก (Liquidation):
    • จัดโปรโมชั่นลดล้างสต็อก: เช่น ลดราคาพิเศษ, ซื้อ 1 แถม 1
    • ** bundling:** นำไปขายพ่วงกับสินค้า A หรือ B ในราคาพิเศษ
    • ขายส่ง/ขายเหมา: ให้กับผู้ค้าส่งหรือร้านค้าที่รับซื้อสินค้าตกค้าง
    • บริจาค/ทำลาย: หากไม่มีทางระบายได้เลย และต้นทุนการจัดเก็บสูงกว่ามูลค่าสินค้าที่เหลืออยู่ (แต่ต้องมีหลักฐานการทำลายที่ถูกต้องตามกฎหมายภาษี)
  • วิเคราะห์สาเหตุ: ทำไมสินค้าถึงขายไม่ดี? ตกรุ่น? คุณภาพไม่ดี? ราคาแพงไป? การตลาดไม่ถึง? เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับสินค้าใหม่
  • พิจารณาเลิกจำหน่าย: หากไม่มีอนาคตและเป็นภาระ ควรตัดสินใจเลิกนำเข้าหรือผลิต

4. การนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนภาพรวม:

  • การพยากรณ์ความต้องการ (Demand Forecasting): ใช้ข้อมูลยอดขายในอดีต, แนวโน้มตลาด, และปัจจัยภายนอก เพื่อคาดการณ์ความต้องการในอนาคตและวางแผนการสั่งซื้อ/ผลิต
  • การตั้งราคาสินค้า (Pricing Strategy): ปรับราคาให้เหมาะสมกับกำไรที่ต้องการและสภาพตลาด
  • การปรับปรุงกลุ่มสินค้า (Product Portfolio Optimization): เพิ่มสินค้า A-Item, ลด/เลิก C-Item
  • การปรับปรุงกระบวนการจัดซื้อ: กำหนดจุดสั่งซื้อใหม่ (Reorder Point), ปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสม, และคัดเลือกซัพพลายเออร์
  • การใช้เทคโนโลยีช่วยจัดการ: ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) หรือระบบจัดการคลังสินค้า (Warehouse Management System – WMS) ช่วยให้การตรวจสอบและจัดการสินค้าคงเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ

สรุปคือ การเช็คสินค้าคงเหลือไม่ใช่เพียงงานธุรการ แต่เป็นกระบวนการเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญอย่างยิ่ง การทำความเข้าใจพฤติกรรมของสินค้าแต่ละรายการ (ขายดี/ขายไม่ดี) และวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไร จะช่วยให้กิจการสามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดต้นทุน ลดความเสี่ยง และสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ทำให้เงินทุนไม่จมและหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

เช็คสินค้าขายดี สินค้าขายไม่ดีอยู่เสมอ
เช็คสินค้าขายดี สินค้าขายไม่ดีอยู่เสมอ

2.ควรเช็คสินค้าหมุนเวียนเร็ว สินค้าหมุนเวียนช้า อย่างสม่ำเสมอ

การจัดการสินค้าคงเหลือ: หัวใจสำคัญของการเติบโตและกำไรของธุรกิจ

การบริหารจัดการ สินค้าคงเหลือ (Inventory Management) เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนแต่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกกิจการที่เกี่ยวข้องกับการซื้อมาขายไปหรือการผลิต การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอว่าสินค้าใด หมุนเวียนเร็ว (Fast-Moving) สินค้าใด หมุนเวียนช้า (Slow-Moving) รวมถึงการตัดสินใจว่าจะ ตุนสินค้า (Stocking) ไว้หรือไม่ และการจัดการ สินค้าเสื่อมสภาพ (Obsolete/Damaged Stock) เป็นกุญแจสำคัญสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ

ทำไมกิจการต้องเช็คสินค้าคงเหลือประเภท “หมุนเวียนเร็ว” และ “หมุนเวียนช้า”?

การทำความเข้าใจอัตราการหมุนเวียนของสินค้า (Inventory Turnover Ratio) เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อ:

  1. การจัดการกระแสเงินสด (Cash Flow Management):
    • สินค้าหมุนเวียนเร็ว: หมายถึงสินค้าที่ขายออกไปได้อย่างรวดเร็ว นำเงินสดกลับเข้าสู่กิจการได้ไว ทำให้เงินทุนไม่จมและมีสภาพคล่องสูง การบริหารที่ดีช่วยให้กิจการมีเงินสดหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง
    • สินค้าหมุนเวียนช้า: หมายถึงสินค้าที่สต็อกไว้นาน ขายออกยาก ทำให้เงินทุนจมอยู่ในสต็อก เกิดต้นทุนในการจัดเก็บ (ค่าคลังสินค้า, ค่าไฟฟ้า, ค่าประกัน) และเพิ่มความเสี่ยงที่จะกลายเป็นสินค้าล้าสมัยหรือเสื่อมสภาพในที่สุด
  2. เพิ่มประสิทธิภาพการสั่งซื้อและการผลิต:
    • สินค้าหมุนเวียนเร็ว: ช่วยให้วางแผนการสั่งซื้อ/ผลิตได้อย่างแม่นยำ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ ของขาด (Stockout) ซึ่งหมายถึงการพลาดโอกาสในการขายและเสียลูกค้า
    • สินค้าหมุนเวียนช้า: ช่วยให้ลดปริมาณการสั่งซื้อ/ผลิตสินค้าที่ไม่เป็นที่ต้องการลง หรือหยุดสั่งซื้อ/ผลิต เพื่อไม่ให้เกิดภาวะ ของเกิน (Overstock)
  3. ลดต้นทุนการดำเนินงาน:
    • การหมุนเวียนของสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนในการจัดเก็บ ค่าเสื่อมสภาพ ค่าประกันภัย และค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรักษาสินค้าไว้เป็นเวลานาน
  4. เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า:
    • การมีสินค้าที่ลูกค้าต้องการพร้อมจำหน่ายอยู่เสมอ (โดยเฉพาะสินค้าหมุนเวียนเร็ว) เป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความประทับใจและความภักดีของลูกค้า

ทำไมต้องเช็คว่า “ควรตุนสินค้าไว้หรือไม่”?

การตัดสินใจว่าจะตุนสินค้าประเภทใดและในปริมาณเท่าใด เป็นการสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและโอกาส โดยต้องพิจารณาจาก:

  1. ความผันผวนของอุปสงค์ (Demand Volatility):
    • สินค้าที่มีความต้องการคงที่และพยากรณ์ได้: อาจไม่จำเป็นต้องตุนมากนัก ใช้ระบบสั่งซื้อแบบ Just-In-Time (JIT) ได้
    • สินค้าที่มีความต้องการผันผวนสูง หรือตามฤดูกาล: เช่น สินค้าเทศกาล, แฟชั่น ต้องพิจารณาตุนในช่วงที่อุปสงค์สูงเพื่อไม่ให้พลาดโอกาส แต่ก็ต้องระวังความเสี่ยงของเหลือ
  2. ระยะเวลาในการจัดหาสินค้า (Lead Time):
    • สินค้าที่มี Lead Time ยาวนาน (เช่น สินค้านำเข้า): จำเป็นต้องตุนสินค้าในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อรองรับช่วงเวลารอคอยสินค้าที่นาน
    • สินค้าที่มี Lead Time สั้น: สามารถสั่งซื้อได้บ่อยครั้งในปริมาณน้อย ทำให้ไม่ต้องตุนมาก
  3. ความสามารถในการแข่งขันและนโยบายราคา:
    • การตุนเพื่อรับมือกับการขึ้นราคาจากซัพพลายเออร์: หากคาดการณ์ว่าวัตถุดิบหรือราคาสินค้าจะปรับสูงขึ้น การตุนไว้ล่วงหน้าอาจช่วยประหยัดต้นทุนในอนาคตได้
    • การตุนเพื่อสร้างข้อได้เปรียบ: มีสินค้าพร้อมขายมากกว่าคู่แข่งในช่วงที่ตลาดมีความต้องการสูง
  4. ต้นทุนการสั่งซื้อ vs. ต้นทุนการเก็บรักษา:
    • ต้นทุนการสั่งซื้อ: ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่สั่งซื้อ (เช่น ค่าขนส่ง, ค่าดำเนินการ)
    • ต้นทุนการเก็บรักษา: ค่าใช้จ่ายในการสต็อกสินค้า (ค่าเช่าคลัง, ค่าประกัน, ค่าเสื่อมสภาพ)
    • การตัดสินใจตุนหรือไม่ ต้องหาจุดสมดุลที่ทำให้ต้นทุนรวมต่ำที่สุด (หลักการ EOQ – Economic Order Quantity)

การเช็ค “สินค้าเสื่อมสภาพ” และการจัดการ

สินค้าเสื่อมสภาพ (Obsolete, Damaged, Expired Stock) คือสินค้าที่:

  • ไม่สามารถขายได้ตามราคาปกติอีกต่อไป (ล้าสมัย, หมดอายุ, แตกหัก, บุบสลาย)
  • มูลค่าลดลงอย่างมากจนไม่คุ้มค่าที่จะเก็บรักษา

การจัดการสินค้าเสื่อมสภาพเป็นสิ่งสำคัญเพื่อ:

  1. ลดต้นทุนแฝง: สินค้าเสื่อมสภาพยังคงสร้างต้นทุนในการจัดเก็บและบำรุงรักษา แม้จะไม่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์แล้ว
  2. รักษาสภาพคล่อง: การถือครองสินค้าเสื่อมสภาพหมายถึงเงินทุนที่จมอยู่โดยเปล่าประโยชน์ การระบายออกจะช่วยให้เงินทุนหมุนเวียนกลับมา
  3. ป้องกันความเสียหายต่อภาพลักษณ์: การมีสินค้าเก่า/เสื่อมสภาพอยู่ในคลังหรือหน้าร้าน อาจส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของกิจการ
  4. บันทึกค่าใช้จ่ายทางภาษี: การตัดจำหน่ายสินค้าเสื่อมสภาพสามารถนำไปบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชีและทางภาษีได้

ควรจะต้องทำอย่างไรต่อการจัดการสินค้าต่อไป?

เมื่อทำการตรวจสอบและวิเคราะห์สินค้าคงเหลือแล้ว กิจการควรมีมาตรการจัดการที่เป็นรูปธรรมดังนี้:

1. สำหรับสินค้าหมุนเวียนเร็ว (Fast-Moving Items):

  • รักษาสต็อกให้เพียงพอ: ใช้ระบบการพยากรณ์ยอดขายที่แม่นยำ และตั้งจุดสั่งซื้อใหม่ (Reorder Point) และปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสม เพื่อให้มีสินค้าพร้อมขายอยู่เสมอ
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับซัพพลายเออร์: เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับสินค้าตรงเวลาและได้ราคาที่ดี
  • พิจารณาเพิ่มกำลังการผลิต/สั่งซื้อ: หากพบว่าสินค้ามีแนวโน้มความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ควบคุมคุณภาพ: สินค้าที่ขายดีต้องมีคุณภาพสม่ำเสมอเพื่อรักษาความพึงพอใจของลูกค้า

2. สำหรับสินค้าหมุนเวียนช้า (Slow-Moving Items):

  • วิเคราะห์สาเหตุ: ทำไมสินค้าถึงขายช้า? ราคาแพงไป? ไม่เป็นที่ต้องการแล้ว? คุณภาพมีปัญหา? การตลาดไม่ถึงกลุ่มเป้าหมาย?
  • ลดการสั่งซื้อ/ผลิต: หยุดหรือลดการสั่งซื้อ/ผลิตสินค้าประเภทนี้ลงอย่างมาก
  • พิจารณากลยุทธ์ระบายสต็อก:
    • จัดโปรโมชั่น: ลดราคา, ซื้อ 1 แถม 1, ซื้อพ่วงกับสินค้าอื่น
    • นำเสนอให้กลุ่มลูกค้าเฉพาะ: หรือผ่านช่องทางขายที่แตกต่าง
    • ขายส่ง/ขายเหมา: ให้แก่ผู้ประกอบการที่รับซื้อสินค้าตกค้าง
    • พิจารณาเปลี่ยนสินค้า: หากสินค้าล้าสมัยหรือไม่เป็นที่ต้องการแล้ว

3. สำหรับสินค้าเสื่อมสภาพ (Obsolete/Damaged/Expired Items):

  • ระบุและแยกออกจากสต็อกปกติ: เพื่อป้องกันการสับสนและง่ายต่อการจัดการ
  • พิจารณาการระบาย:
    • ลดราคาอย่างรุนแรง (Clearance Sale): ขายในราคาต่ำสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ได้เงินสดกลับคืนมาบ้าง
    • บริจาค: หากเป็นสินค้าที่บริจาคได้และไม่มีมูลค่าเชิงพาณิชย์แล้ว อาจสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและอาจนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ตามเงื่อนไข
    • ทำลายทิ้ง: หากไม่สามารถขายหรือบริจาคได้ การทำลายเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อลดต้นทุนการจัดเก็บและเพื่อให้สามารถตัดเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ (ต้องมีหลักฐานการทำลายที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์สรรพากร)
  • บันทึกตัดจำหน่าย: บันทึกการตัดจำหน่ายสินค้าเสื่อมสภาพเป็น “ค่าใช้จ่าย” ในงบกำไรขาดทุน เพื่อสะท้อนผลขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง

4. การนำข้อมูลไปใช้ในการวางแผนอนาคต:

  • การพยากรณ์ที่แม่นยำขึ้น: ใช้ข้อมูลการหมุนเวียนและแนวโน้มการเสื่อมสภาพเพื่อปรับปรุงการพยากรณ์ความต้องการ
  • การปรับปรุงนโยบายการจัดซื้อ: กำหนดปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสม, วงจรการสั่งซื้อ, และการคัดเลือกซัพพลายเออร์
  • การพัฒนาระบบคลังสินค้า: ปรับปรุงการจัดเก็บ, การนับสต็อก, และการใช้เทคโนโลยี (เช่น ระบบ WMS) เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดความเสียหาย
  • การบริหารความเสี่ยง: มีแผนรับมือสำหรับสินค้าที่มีความเสี่ยงสูงที่จะหมุนเวียนช้าหรือเสื่อมสภาพ

โดยสรุป การจัดการสินค้าคงเหลืออย่างละเอียดและต่อเนื่อง เป็นมากกว่าการนับสต็อก แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้กิจการมีเงินทุนหมุนเวียนอย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนที่เกิดจากการสต็อกสินค้าที่ไม่จำเป็น และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวค่ะ

ควรเช็คสินค้าหมุนเวียนเร็ว สินค้าหมุนเวียนช้าอย่างสม่ำเสมอ
ควรเช็คสินค้าหมุนเวียนเร็ว สินค้าหมุนเวียนช้าอย่างสม่ำเสมอ

3.ควรเช็คสินค้าขาด สินค้าเกิน ภายในกิจการเป็นระยะๆ

การตรวจสอบสินค้าขาดและสินค้าเกิน: ทำไมจึงสำคัญต่อกิจการและผลกระทบต่อภาษี

การบริหารจัดการสินค้าคงเหลือเป็นหัวใจของการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ การตรวจสอบ สินค้าขาด (Stock Shortage) และ สินค้าเกิน (Stock Over) ภายในกิจการเป็นระยะๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของการนับสต็อก แต่เป็นกระบวนการสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการดำเนินงาน ต้นทุน ความพึงพอใจของลูกค้า และที่สำคัญคือ ภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของกิจการ

ทำไมกิจการควรเช็คสินค้าขาดและสินค้าเกินเป็นระยะๆ?

  1. ความถูกต้องของข้อมูลสต็อก: เพื่อให้ข้อมูลในระบบบัญชีหรือระบบบริหารสินค้าคงเหลือ (Inventory Management System) ตรงกับจำนวนสินค้าจริงที่มีอยู่ในคลัง ซึ่งสำคัญต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ
  2. ประสิทธิภาพการดำเนินงาน: การรู้จำนวนสินค้าที่ถูกต้องช่วยให้การสั่งซื้อ, การผลิต, และการจัดส่งเป็นไปอย่างราบรื่น ลดการหยุดชะงัก
  3. การควบคุมต้นทุน: ป้องกันการสูญเสียจากสินค้าขาด (ที่นำไปสู่การเสียโอกาสขาย) และลดต้นทุนการจัดเก็บสินค้าเกิน (ที่ไม่มีความจำเป็น)
  4. ความพึงพอใจของลูกค้า: การมีสินค้าพร้อมขายเมื่อลูกค้าต้องการ ช่วยสร้างความพึงพอใจและความภักดี
  5. การวางแผนธุรกิจ: ข้อมูลสต็อกที่แม่นยำเป็นพื้นฐานในการวางแผนการผลิต, การตลาด, และการเงินในอนาคต

หากสินค้าขาดจากสต็อก มีผลต่อภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไรบ้าง?

กรณีสินค้าขาดจากสต็อก หรือที่เรียกว่า “สินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบ” หรือ “สินค้าที่สูญหาย/ผิดปกติ” มีผลกระทบสำคัญต่อภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการจดทะเบียน VAT ดังนี้:

  • 1. ภาระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับสินค้าขาดหาย: ตามมาตรา 79/1(4) แห่งประมวลรัษฎากร และคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.29/2536 การที่สินค้าขาดจากสต็อกโดยไม่มีเหตุอันสมควร เช่น ขาดหายไปโดยไม่สามารถพิสูจน์สาเหตุได้ หรือขาดจากการที่พนักงานนำไปใช้ส่วนตัว ถือเป็นการ “จำหน่าย” สินค้าโดยไม่มีค่าตอบแทนตามกฎหมาย VAT
    • ผลกระทบ: บริษัทจะต้อง นำมูลค่าของสินค้าที่ขาดหายนั้น มารวมคำนวณเป็นภาษีขาย และนำส่งกรมสรรพากรในเดือนที่ตรวจพบการขาดหายไปนั้นเอง (คิดจากราคาตลาดของสินค้า)
    • ตัวอย่าง: หากตรวจพบว่าสินค้ามูลค่า 10,000 บาท ขาดหายไป บริษัทจะต้องนำ 10,000 บาท x 7% = 700 บาท ไปรวมในภาษีขายของเดือนที่ตรวจพบ และออกใบกำกับภาษีขาย (อาจออกในนามของกิจการเอง)
    • ข้อยกเว้น: กฎหมายผ่อนปรนในบางกรณีที่ สินค้าขาดหายจากเหตุสุดวิสัย เช่น ภัยธรรมชาติ (อุทกภัย, อัคคีภัย) หรือการลักทรัพย์ที่พิสูจน์ได้ (มีใบแจ้งความจากตำรวจ) หากผู้ประกอบการสามารถแสดงหลักฐานและกระบวนการจัดการที่รัดกุม (เช่น มีรายงานการสอบสวน, มีการแจ้งความ) และมิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี ก็อาจได้รับการพิจารณาผ่อนผันไม่ต้องนำมาคิดภาษีขาย อย่างไรก็ตาม หากไม่แจ้งเหตุผลหรือไม่มีหลักฐานรองรับ สรรพากรสามารถประเมินภาษีได้
  • 2. ผลกระทบต่อภาษีซื้อ: สินค้าที่ขาดหายไป หากกิจการเคยนำภาษีซื้อที่เกี่ยวข้องกับการซื้อสินค้าเหล่านั้นมาใช้หักแล้ว และภายหลังสินค้าขาดหายไปโดยที่ไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าหายไปจากเหตุสุดวิสัย สรรพากรอาจพิจารณาให้ภาษีซื้อนั้นเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ซึ่งจะทำให้กิจการต้องชำระภาษีซื้อที่เคยหักไปแล้วคืนกรมสรรพากร

สรุปสำหรับสินค้าขาด: การขาดหายไปของสินค้าทำให้เกิดภาระภาษีขาย และอาจทำให้ภาษีซื้อกลายเป็นภาษีซื้อต้องห้าม ซึ่งหมายถึงการเสียภาษีซ้ำซ้อนและเป็นต้นทุนที่ไม่ได้ตั้งใจ


กรณีที่สินค้าเกินจากใน List รายการสินค้าคงเหลือ ส่งผลอย่างไรต่อกิจการบ้าง?

สินค้าเกินจากในรายการสต็อก (Stock Over) หมายถึง การที่จำนวนสินค้าจริงในคลังมีมากกว่าที่บันทึกไว้ในระบบหรือในบัญชี ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริงแล้วมีผลกระทบและข้อควรระวังดังนี้:

  1. ข้อมูลไม่แม่นยำ: ทำให้ระบบสต็อกและการบัญชีไม่ถูกต้อง การตัดสินใจเรื่องการสั่งซื้อ, การผลิต, หรือการขายจึงอาจผิดพลาด
  2. ปัญหาในการบริหารคลังสินค้า: อาจทำให้พื้นที่จัดเก็บถูกใช้เกินความจำเป็น หรือวางแผนการใช้พื้นที่ผิดพลาด
  3. ปัญหาด้านต้นทุน: แม้จะไม่ได้เสียภาษีโดยตรงในทันที แต่สินค้าเกินก็ยังคงมีต้นทุนแฝง เช่น ค่าพื้นที่จัดเก็บ, ค่าไฟฟ้า, ค่าประกัน, ค่าแรงในการจัดการ
  4. ความเสี่ยงด้านคุณภาพ: หากสินค้าที่เกินเป็นสินค้าที่เก่ากว่า หรือไม่ได้รับการหมุนเวียนที่ดี อาจนำไปสู่การเสื่อมสภาพหรือหมดอายุก่อนที่จะถูกค้นพบ
  5. อาจเป็นสัญญาณของปัญหาอื่น ๆ:
    • ข้อผิดพลาดในการบันทึก: การคีย์ข้อมูลผิดพลาด, การนับผิดพลาด
    • การทุจริต: อาจเป็นไปได้ว่ามีการนำสินค้าเข้าโดยไม่ได้บันทึก เพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่สุจริต
    • ความผิดพลาดในการส่งคืน: สินค้าที่ลูกค้าคืนมาอาจไม่ได้ถูกบันทึกกลับเข้าสต็อกอย่างถูกต้อง
    • การรับสินค้าผิด: รับสินค้าที่ไม่ได้สั่งเข้ามาในคลัง
  6. ปัญหาทางบัญชีและการตรวจสอบ: ในทางบัญชี สินค้าเกินคือสินทรัพย์ที่ไม่ได้บันทึกไว้ การปรับปรุงรายการให้ถูกต้องอาจทำให้เกิด “รายได้อื่น” จากการปรับปรุงสต็อก ซึ่งอาจมีผลต่อภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา (แม้จะไม่ได้เสีย VAT จากการเกินนี้)

ทำไมควรหาสาเหตุและแนวทางแก้ไขโดยทันที?

ไม่ว่าจะเป็นสินค้าขาดหรือสินค้าเกิน การเพิกเฉยต่อความคลาดเคลื่อนของสต็อกเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อธุรกิจ เพราะ:

  1. ผลกระทบทางการเงิน: ทั้งสินค้าขาดและสินค้าเกินล้วนนำไปสู่การสูญเสียทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเสียโอกาสขาย, ต้นทุนจม, หรือภาระภาษีที่ไม่จำเป็น
  2. ประสิทธิภาพที่ลดลง: กระบวนการทำงานจะไม่มีประสิทธิภาพ เพราะข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจผิดพลาด นำไปสู่การวางแผนที่ไม่เหมาะสม
  3. ปัญหาด้านกฎหมายและภาษี: โดยเฉพาะสินค้าขาดที่อาจนำไปสู่ภาระภาษี VAT และบทลงโทษจากกรมสรรพากร
  4. ความน่าเชื่อถือที่ลดลง: ทั้งภายใน (พนักงานขาดความเชื่อมั่นในระบบ) และภายนอก (ลูกค้าได้รับผลกระทบ)

แนวทางแก้ไขโดยทันที:

  1. ค้นหาสาเหตุหลัก:
    • การบันทึก: มีขั้นตอนการบันทึกสินค้าเข้า-ออกที่ผิดพลาดหรือไม่? ใครเป็นผู้รับผิดชอบ? มีการตรวจสอบย้อนหลังได้หรือไม่?
    • การนับสต็อก: มีกระบวนการนับสต็อกที่ผิดพลาดหรือไม่? บุคลากรขาดการฝึกอบรม?
    • การรับ-จ่ายสินค้า: มีความผิดปกติในขั้นตอนการรับเข้าหรือจ่ายออกสินค้าหรือไม่?
    • การโจรกรรม/ความเสียหาย: มีมาตรการป้องกันการโจรกรรมหรือความเสียหายในคลังสินค้าเพียงพอหรือไม่?
    • ระบบเทคโนโลยี: ระบบจัดการคลังสินค้ามีข้อผิดพลาดหรือช่องโหว่หรือไม่?
  2. ปรับปรุงกระบวนการ:
    • สร้างมาตรฐาน (SOP): กำหนดขั้นตอนการรับ-จ่าย-นับสต็อกที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐาน
    • การฝึกอบรม: ฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเข้าใจและปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง
    • การควบคุมภายใน: กำหนดให้มีการตรวจสอบและสอบทานการทำงานของแต่ละขั้นตอน
    • การใช้เทคโนโลยี: พิจารณาการใช้ระบบจัดการคลังสินค้า (WMS) หรือระบบ ERP ที่มีความสามารถในการบันทึกและติดตามสินค้าคงเหลือได้อย่างแม่นยำแบบ Real-time
    • การตรวจนับสต็อก: กำหนดช่วงเวลาในการตรวจนับสต็อกที่เหมาะสม เช่น การนับสต็อกรายวัน (Cycle Count) สำหรับสินค้าสำคัญ หรือการตรวจนับประจำปี
  3. ปรับปรุงบันทึกบัญชี:
    • เมื่อพบความผิดพลาด ให้ปรับปรุงรายการสินค้าคงเหลือในบัญชีให้ตรงกับสินค้าจริง พร้อมทั้งบันทึกผลต่างเป็นการขาดทุนหรือกำไรจากการปรับปรุงสต็อก (ในงบกำไรขาดทุน)

การตรวจสอบสินค้าคงเหลืออย่างสม่ำเสมอ การหาสาเหตุของความคลาดเคลื่อน และการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ และหลีกเลี่ยงปัญหาด้านภาษีในระยะยาวค่ะ

ควรเช็คสินค้า กรณีสินค้าขาด หรือสินค้าเกิน เป็นระยะๆ
ควรเช็คสินค้า กรณีสินค้าขาด หรือสินค้าเกิน เป็นระยะๆ

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่