จ้างนักศึกษาฝึกงาน จ้างแรงงานรายวัน มีประเด็นภาษีที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง!?

จ้างนักศึกษาฝึกงาน จ้างแรงงานรายวัน มีประเด็นภาษีที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง โดยการจ้างแรงงานรายวันและค่าตอบแทนนักศึกษาฝึกงาน ถือเป็น เงินได้พึงประเมิน ที่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติ ไม่ได้มีการยกเว้นภาษี โดยเฉพาะเจาะจงในสถานะ “แรงงานรายวัน” หรือ “นักศึกษาฝึกงาน” แต่จะได้รับยกเว้นตามหลักเกณฑ์ของเงินได้สุทธิ


1. การจัดประเภทเงินได้พึงประเมิน

ทั้งเงินค่าจ้างแรงงานรายวันและค่าตอบแทนนักศึกษาฝึกงาน มักถูกจัดเป็นเงินได้ประเภทเดียวกันภายใต้ประมวลรัษฎากร:

ประเภทเงินได้

แรงงานรายวัน / นักศึกษาฝึกงาน

ลักษณะตามกฎหมาย

เงินได้ประเภทที่ 1 (มาตรา 40(1))ค่าจ้าง/ค่าตอบแทนเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ได้จากการทำงานภายใต้การควบคุมหรือตามสัญญาจ้างแรงงาน
เงินได้ประเภทที่ 2 (มาตรา 40(2))ค่าตอบแทนอื่น ๆ (ที่เข้าเกณฑ์)ในบางกรณีที่การจ้างมีลักษณะเป็นการรับทำงานให้เป็นการชั่วคราว หรือเงินได้เนื่องจากหน้าที่ตำแหน่งงานที่ทำ เช่น ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า หรือบำเหน็จ (แต่โดยทั่วไปมักจัดเป็น 40(1))

ข้อสรุป: โดยทั่วไป เงินค่าจ้างรายวันหรือค่าตอบแทนนักศึกษาฝึกงาน จัดเป็นเงินได้จากการจ้างแรงงาน มาตรา 40(1) ซึ่งมีสิทธิหักค่าใช้จ่ายได้เป็นการเหมา 50% แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี

การจัดประเภทเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) -ค่าจ้างการทำงาน ของนักศึกษา แรงงานรายวัน ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
การจัดประเภทเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) -ค่าจ้างการทำงาน ของนักศึกษา แรงงานรายวัน ไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

2. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

เงินได้ดังกล่าว ไม่ได้รับการยกเว้นภาษี โดยตรง แต่จะได้รับการยกเว้นภาษีตามหลักเกณฑ์การคำนวณ “เงินได้สุทธิ” เช่นเดียวกับผู้มีเงินได้ประเภทอื่น ๆ ดังนี้:

2.1 หลักเกณฑ์การยกเว้นภาษี

ผู้มีเงินได้ทุกประเภทจะได้รับการยกเว้นภาษี หากคำนวณแล้ว เงินได้สุทธิ ไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี

สูตรการคำนวณภาษี:

รายการ

จำนวนเงิน (ขั้นต่ำ)

หมายเหตุ

เงินได้รวมเช่น ค่าจ้างรายวัน/ฝึกงานตลอดปีเงินได้พึงประเมิน 40(1)
หัก: ค่าใช้จ่ายหักเหมา 50% แต่ ไม่เกิน 100,000 บาทใช้ได้สำหรับเงินได้ 40(1) และ 40(2) รวมกัน
หัก: ค่าลดหย่อนส่วนตัว60,000 บาทสำหรับผู้มีเงินได้ทุกคน
เงินได้สุทธิ(ถ้าไม่เกิน 150,000 บาท)ได้รับการยกเว้นภาษี

2.2 ตัวอย่างการคำนวณสำหรับนักศึกษา/แรงงานรายวัน

รายการเงินได้ (ปี)

จำนวนเงิน

ค่าตอบแทนรวมตลอดปี310,000 บาท
หัก: ค่าใช้จ่าย (สูงสุด 100,000 บาท)(100,000 บาท)
หัก: ค่าลดหย่อนส่วนตัว(60,000 บาท)
เงินได้สุทธิ150,000 บาท

ผลลัพธ์: หากเงินได้สุทธิเท่ากับ 150,000 บาท จะได้รับการ ยกเว้นภาษี เนื่องจากภาษีที่คำนวณได้อยู่ในอัตรา 0% (ยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาทแรก)

การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา


3. ภาระหน้าที่ของผู้จ่ายและผู้รับเงิน

  • หน้าที่ของผู้จ่ายเงิน (นายจ้าง/กิจการ):
    • ต้องทำการ หักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) ตามหลักเกณฑ์เงินเดือน ค่าจ้าง และออก หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ให้แก่ผู้รับเงินเมื่อสิ้นปีภาษี
  • หน้าที่ของผู้รับเงิน (แรงงาน/นักศึกษา):
    • แม้จะได้รับการยกเว้นภาษีเมื่อคำนวณแล้ว แต่หากมีเงินได้เกิน 120,000 บาทต่อปี (กรณีไม่มีคู่สมรส) หรือเกินเกณฑ์ที่กำหนดตามกฎหมาย ก็ยังมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี (ภ.ง.ด.90/91) ในช่วงต้นปีถัดไป
    • หากถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ และคำนวณเงินได้สุทธิแล้วไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี (เช่น ไม่เกิน 150,000 บาท) สามารถขอคืนภาษี ที่ถูกหักไว้ ณ ที่จ่ายคืนจากกรมสรรพากรได้

หากนักศึกษาฝึกงาน หรือแรงงานรายวัน ที่มีรายได้จากการจ้างงานเกิน 30,000 บาทต่อปี ผู้ปกครอง (ผู้เสียภาษี) จะไม่สามารถนำบุตรคนนั้นมาใช้สิทธิ ค่าลดหย่อนบุตร ได้ เนื่องจากบุตรไม่เข้าหลักเกณฑ์การเป็นผู้เยาว์ที่เป็นผู้อยู่ในความอุปการะอีกต่อไป

นี่คือคำอธิบายโดยละเอียดตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร:


หลักเกณฑ์การหักลดหย่อนบุตรตามกฎหมายภาษี

สิทธิในการหักลดหย่อนบุตรเป็นไปตาม มาตรา 47(1)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดเงื่อนไขสำคัญที่เกี่ยวข้องกับรายได้ของบุตรไว้ ดังนี้:

1. เงื่อนไขเกี่ยวกับรายได้ของบุตร

บุตรที่จะนำมาหักลดหย่อนภาษีได้นั้น ต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกิน 30,000 บาท

  • ข้อยกเว้น: เงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษี เช่น เงินที่ได้รับจากการอุปการะเลี้ยงดู หรือเงินได้ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% โดยเป็นเงินได้จากดอกเบี้ย เงินปันผล (มาตรา 40(4)) ซึ่งผู้เสียภาษีเลือกไม่นำมารวมคำนวณในการยื่นแบบฯ จะไม่ถูกนับรวมในเกณฑ์ 30,000 บาทนี้

2. สถานะของเงินได้นักศึกษาฝึกงาน/แรงงานรายวัน

ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนที่นักศึกษาฝึกงานหรือแรงงานรายวันได้รับ จัดเป็น เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) (เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน) ซึ่งเป็น เงินได้ที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษี ตามปกติ

  • เมื่อนักศึกษาฝึกงานได้รับค่าจ้าง หรือแรงงานรายวันได้รับค่าแรง ซึ่งเป็นเงินได้ 40(1) และจำนวนเงินได้รวมทั้งหมด เกิน 30,000 บาทต่อปี เงินได้นี้จะถูกนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ 30,000 บาททันที

เหตุผลที่เสียสิทธิค่าลดหย่อนบุตร

เมื่อบุตรมีรายได้ 40(1) (เช่น ค่าจ้างจากการฝึกงาน) เกิน 30,000 บาทต่อปี ผลทางภาษีจะเป็นดังนี้:

สถานะของบุตร

เงินได้พึงประเมิน (40(1))

สิทธิลดหย่อนบุตรของผู้ปกครอง

เข้าหลักเกณฑ์ไม่เกิน 30,000 บาทผู้ปกครอง มีสิทธิ หักลดหย่อนบุตร 30,000 บาท
ไม่เข้าหลักเกณฑ์เกิน 30,000 บาท (เช่น 30,001 บาท)ผู้ปกครอง เสียสิทธิ หักลดหย่อนบุตรคนนั้น

บทบาทของ “การจ้างแรงงาน”

การที่นักศึกษาฝึกงานหรือแรงงานรายวันได้รับค่าจ้าง แสดงว่าบุตรคนนั้น มีความสามารถในการหารายได้เกินกว่าการเป็นผู้ที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูอย่างเต็มที่ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษี

ดังนั้น หากบุตรทำงานและมีรายได้เกิน 30,000 บาท บุตรคนนั้นจะต้องแยกยื่นภาษีเป็นของตนเอง (หากเงินได้สุทธิถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี) และผู้ปกครองจะสูญเสียสิทธิในการหักลดหย่อนบุตรสำหรับปีภาษีนั้นไป

ข้อควรระวังสำหรับผู้ปกครอง

ผู้ปกครองที่มีบุตรทำงานพิเศษในช่วงปิดเทอม หรือรับงานฝึกงาน ควรตรวจสอบยอดรวมเงินได้ที่ได้รับจาก หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ที่บุตรได้รับจากนายจ้าง หากยอดรวมเกิน 30,000 บาท ต้องแน่ใจว่าได้ตัดรายชื่อบุตรคนนั้นออกจากการหักลดหย่อน เพื่อป้องกันปัญหาการถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังจากการใช้สิทธิลดหย่อนที่ไม่ถูกต้อง

หลักเกณฑ์การหักลดหย่อนบุตรตามกฎหมายภาษี
หลักเกณฑ์การหักลดหย่อนบุตรตามกฎหมายภาษี

ถึงแม้ค่าจ้างและผลประโยชน์ของนักศึกษาฝึกงาน หรือแรงงานรายวันจะไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี (เงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี) แต่ ผู้จ่ายเงิน (กิจการ) ยังคงมีหน้าที่ทางภาษีที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างครบถ้วน ทั้งการยื่นแบบรายเดือน การยื่นสรุปรายปี และการออกหนังสือรับรองฯ 📄


1. การยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 รายเดือน (ภาษีหัก ณ ที่จ่าย)

ความจำเป็นในการยื่น ภ.ง.ด.1

กิจการ ยังคงต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 ในแต่ละเดือน แม้ว่าเงินเดือนหรือค่าจ้างรายวันจะไม่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายก็ตาม

  • กรณีที่ต้องยื่น: หากมีการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) (เงินเดือน, ค่าจ้าง) ให้แก่พนักงาน/ลูกจ้าง แม้ว่าจะไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายเลยก็ตาม กิจการก็ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 เพื่อรายงานการจ่ายเงินได้นั้น
  • การหักภาษี ณ ที่จ่าย (WHT): โดยทั่วไป ค่าจ้างแรงงานรายวันและนักศึกษาฝึกงาน มักมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในแต่ละเดือน (เพราะเมื่อคำนวณภาษีรายเดือนแล้วจะอยู่ในขั้น 0%) ดังนั้นในแบบ ภ.ง.ด.1 ช่อง “จำนวนเงินภาษีที่หักและนำส่ง” จะเป็นศูนย์ (0) บาท แต่ก็ต้องยื่นแบบเพื่อรายงานข้อมูลการจ่ายเงิน
  • กำหนดเวลายื่น: ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (หรือวันที่ 8 ของเดือนถัดไปหากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต)

2. การยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 ก สรุปเงินได้ทั้งปี

ความจำเป็นในการยื่น ภ.ง.ด.1 ก

กิจการ จำเป็นต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 ก เพื่อรวมเงินได้ทั้งปีของนักศึกษาฝึกงานและแรงงานรายวัน นำส่งข้อมูลต่อกรมสรรพากร

  • วัตถุประสงค์: ภ.ง.ด.1 ก เป็นแบบสรุปการจ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) และ 40(2) ตลอดปีปฏิทินที่ผ่านมา เพื่อให้สรรพากรมีข้อมูลรายได้ของบุคคลเหล่านั้น และเป็นข้อมูลให้ผู้มีเงินได้ใช้ในการยื่นภาษีประจำปี
  • ต้องรวมถึงผู้ที่ไม่มีภาษีหัก: ข้อมูลใน ภ.ง.ด.1 ก ต้องรวมถึงผู้ที่ได้รับค่าจ้างรายวันหรือค่าตอบแทนฝึกงาน ทุกคน ที่มีรายได้รวมเกินเกณฑ์ที่กำหนด (ปัจจุบัน 1,000 บาทต่อปี) ถึงแม้ว่าจะไม่มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายก็ตาม
  • กำหนดเวลายื่น: ภายใน สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ของปีถัดไป

3. การออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ)

ความจำเป็นในการออก

กิจการ จำเป็นต้องออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ) ให้นักศึกษาฝึกงานหรือแรงงานรายวัน ทุกคน ที่มีรายได้รวมตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไป เพื่อให้ผู้มีเงินได้นำไปใช้ยื่นภาษีประจำปี

  • วัตถุประสงค์: ใช้เป็นหลักฐานแสดงว่าในปีภาษีที่ผ่านมาบุคคลนั้น ๆ ได้รับเงินได้รวมเท่าไหร่ และถูกหักภาษีไปแล้วเท่าไหร่ (แม้จะเป็น 0 บาทก็ตาม) ซึ่งสำคัญมากต่อผู้รับในการยื่น ภ.ง.ด.90/91 เพื่อให้เขาทราบสิทธิและหน้าที่ของตน

ระยะเวลาการออก (ตามกฎหมาย)

ระยะเวลาการออกหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) แบ่งเป็น 2 กรณี:

กรณีที่ 1: การออก ณ สิ้นปีภาษี

  • ต้องออกและมอบให้กับผู้มีเงินได้ ภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ของปีถัดจากปีที่มีการจ่ายเงินได้ (พร้อมกับการเตรียมยื่น ภ.ง.ด.1 ก)

กรณีที่ 2: การออกกรณี เลิกจ้าง หรือ ออกจากงานระหว่างปี

  • ต้องออกและมอบให้กับผู้มีเงินได้ ภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ออกจากงานตลอดไป (ตามมาตรา 50 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร)

ตัวอย่าง: หากนักศึกษาฝึกงานเลิกฝึกงานในวันที่ 15 กันยายน กิจการจะต้องออกใบ 50 ทวิ และมอบให้กับนักศึกษาคนนั้น ภายในวันที่ 15 ตุลาคม

ค่าจ้างและผลประโยชน์ของนักศึกษาฝึกงาน หรือแรงงานรายวันจะไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี (เงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี) แต่ ผู้จ่ายเงิน (กิจการ) ยังคงมีหน้าที่ทางภาษี
ค่าจ้างและผลประโยชน์ของนักศึกษาฝึกงาน หรือแรงงานรายวันจะไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี (เงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี) แต่ ผู้จ่ายเงิน (กิจการ) ยังคงมีหน้าที่ทางภาษี

สำหรับการบันทึกค่าจ้างของนักศึกษาฝึกงานรายวัน หรือแรงงานรายวัน เพื่อให้เป็นรายจ่ายของบริษัทที่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้อย่างถูกต้องตามประมวลรัษฎากรนั้น กิจการจำเป็นต้องมีเอกสารหลักฐานที่แสดงความสัมพันธ์ของการจ้างงาน การจ่ายเงิน และการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอย่างครบถ้วน

เอกสารประกอบหลักฐานสำคัญที่บริษัทควรจัดทำและจัดเก็บ มีดังนี้:


1. เอกสารหลักฐานแสดงความสัมพันธ์ (Proof of Employment) 📝

เอกสารเหล่านี้ใช้ยืนยันว่ามีความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง (หรือผู้รับจ้าง) และมีการทำงานจริง ซึ่งสำคัญต่อการพิสูจน์รายจ่ายต่อกรมสรรพากร

เอกสารหลักฐาน

วัตถุประสงค์

สัญญาจ้างแรงงาน (หรือสัญญาฝึกงาน)ใช้เป็นหลักฐานเริ่มต้นที่แสดงข้อตกลงและอัตราค่าจ้าง (รายวัน/ชั่วโมง) และระยะเวลาการจ้างงาน
สำเนาบัตรประชาชนใช้ยืนยันตัวตนของผู้รับเงินและใช้ในการออกใบ 50 ทวิ (หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย)
สำเนาบัญชีธนาคาร (ถ้าจ่ายโอน)ใช้ยืนยันเลขที่บัญชีเพื่อโอนค่าจ้าง
ใบลงเวลาทำงาน/บันทึกการทำงานใช้ยืนยันจำนวนวัน/ชั่วโมงที่ทำงานจริง เพื่อคำนวณยอดเงินที่ต้องจ่ายในแต่ละงวด

2. เอกสารหลักฐานการจ่ายเงิน (Proof of Payment) 💰

เอกสารเหล่านี้คือหลักฐานที่ยืนยันว่าบริษัทได้จ่ายเงินค่าจ้างออกจากบริษัทจริง และผู้รับได้ลงนามรับเงินเรียบร้อยแล้ว

2.1 ใบสำคัญรับเงิน (Payment Voucher/Receipt)

แม้จะมีการจ่ายเป็นเงินสดหรือโอนเงิน บริษัทก็ควรจัดทำ ใบสำคัญรับเงิน (หรือใช้ สลิปเงินเดือน/ใบแจ้งการจ่ายค่าจ้าง หากระบบบัญชีใช้เอกสารนั้น) ซึ่งถือเป็นเอกสารสำคัญที่ผู้รับเงินจะต้องลงนามรับรอง

รายละเอียดในใบสำคัญรับเงิน

ความสำคัญ

ชื่อ-นามสกุล และที่อยู่ของผู้รับเงินยืนยันตัวตนของผู้รับเงิน
เลขประจำตัวประชาชน (Tax ID) ของผู้รับเงินสำคัญในการพิสูจน์ตัวตนทางภาษี
จำนวนเงินที่รับ (ระบุทั้งตัวเลขและตัวอักษร)ยืนยันยอดเงินที่จ่ายและรับ
ลายมือชื่อผู้รับเงินเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดที่แสดงว่ามีการจ่ายเงินสด และผู้รับได้รับเงินแล้วจริง
วันที่จ่ายเงินวันที่บริษัทบันทึกรายจ่ายและวันที่ผู้รับได้รับเงิน

2.2 หลักฐานการโอนเงิน (ถ้าจ่ายผ่านธนาคาร)

หากบริษัทจ่ายค่าจ้างด้วยการโอนเงิน สลิปการโอนเงิน หรือ รายงานการโอนเงินจากธนาคาร (พร้อมระบุชื่อผู้รับ) สามารถใช้แทนใบสำคัญรับเงินที่เป็นลายเซ็นผู้รับได้ แต่ยังคงต้องเก็บใบสำคัญรับเงินเพื่อรวมกับเอกสารอื่น ๆ


3. เอกสารหลักฐานการนำส่งภาษี (Proof of Tax Compliance) 💼

เอกสารเหล่านี้คือหลักฐานการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของผู้จ่ายเงิน (บริษัท)

เอกสารหลักฐาน

วัตถุประสงค์

แบบ ภ.ง.ด.1 (รายเดือน)แบบที่ใช้ ยื่นแสดงรายการ การจ่ายค่าจ้างตามมาตรา 40(1) ในแต่ละเดือน (แม้ว่าจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นศูนย์บาทก็ตาม)
แบบ ภ.ง.ด.1 ก (รายปี)แบบสรุปการจ่ายเงินได้ 40(1) และ 40(2) ตลอดทั้งปีปฏิทินที่ผ่านมา ต้องรวมนักศึกษา/แรงงานรายวันทุกคน
หนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย (ใบ 50 ทวิ)เอกสารที่ บริษัทออกให้แก่ผู้รับเงิน เพื่อเป็นหลักฐานว่าตลอดปีที่ผ่านมาได้รับเงินได้เท่าไหร่ ซึ่งผู้รับเงินจะใช้ยื่นภาษีประจำปีของตนเอง

สรุป: การตรวจสอบความครบถ้วน

เพื่อให้รายจ่ายค่าจ้างของนักศึกษาฝึกงาน/แรงงานรายวัน ถูกต้องตามกฎหมายและสามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ บริษัทต้องมีเอกสารประกอบอย่างน้อย 3 ส่วน ที่เชื่อมโยงกันดังนี้:

  1. การจ้าง: มีสัญญาจ้างหรือใบสมัครงาน และ ใบลงเวลาทำงานที่ผ่านการอนุมัติ
  2. การจ่าย: มีใบสำคัญรับเงินที่ลงนามโดยผู้รับเงิน หรือ หลักฐานการโอนเงินที่ชัดเจน
  3. การภาษี: มีการออก ใบ 50 ทวิ และมีการยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 ก อย่างถูกต้อง

หากขาดหลักฐานส่วนใดส่วนหนึ่งไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักฐานการรับเงิน (ลายเซ็นผู้รับ) และ การปฏิบัติตามการหัก ณ ที่จ่าย (การออก 50 ทวิ/ยื่น ภ.ง.ด.1 ก) กรมสรรพากรอาจพิจารณาปฏิเสธการเป็นรายจ่ายของบริษัทได้ค่ะ

การบันทึกค่าจ้างของนักศึกษาฝึกงานรายวัน หรือแรงงานรายวัน เพื่อให้เป็นรายจ่ายของบริษัทที่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้
การบันทึกค่าจ้างของนักศึกษาฝึกงานรายวัน หรือแรงงานรายวัน เพื่อให้เป็นรายจ่ายของบริษัทที่สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้

การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างกิจการกับ นักศึกษาฝึกงานรายวัน และ แรงงานรายวัน ว่าเป็น นายจ้าง-ลูกจ้าง หรือไม่ และต้องขึ้นทะเบียน ประกันสังคม หรือไม่นั้น มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญตามเจตนารมณ์ของกฎหมายไทย


1. ความสัมพันธ์ระหว่างกิจการกับ “นักศึกษาฝึกงานรายวัน”

สำหรับนักศึกษาที่มาฝึกงานและได้รับค่าตอบแทนเป็นรายวัน สถานะทางกฎหมายจะขึ้นอยู่กับ เจตนารมณ์และลักษณะงานที่แท้จริง โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้:

สถานะทางกฎหมาย: ไม่ใช่ลูกจ้าง (โดยหลัก)

โดยหลักการแล้ว การฝึกงานตามหลักสูตรของสถาบันการศึกษา (เช่น สหกิจศึกษา หรือการฝึกปฏิบัติงานจริง) ถือเป็น “การฝึกปฏิบัติเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน” ไม่ใช่การจ้างแรงงานเพื่อแสวงหาผลกำไรเป็นหลัก

  • ขาดอำนาจบังคับบัญชา: ความสัมพันธ์นี้มัก ไม่ถือเป็นความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน และมาตรา 575 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เนื่องจากกิจการไม่ได้มี อำนาจบังคับบัญชา (Command and Control) เต็มรูปแบบเหมือนกับลูกจ้างประจำ วัตถุประสงค์หลักคือการสอนและประเมินผล
  • ค่าจ้าง vs. เบี้ยเลี้ยง: เงินที่จ่ายให้นักศึกษาฝึกงานรายวัน มักถูกพิจารณาว่าเป็น เบี้ยเลี้ยง หรือ ค่าตอบแทน เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพ มิใช่ ค่าจ้าง (Wages) ที่จ่ายเพื่อแลกกับผลผลิตหรือการบริการภายใต้คำสั่งของนายจ้าง

ข้อควรระวัง (กรณีที่อาจถูกถือเป็นลูกจ้าง)

หากกิจการให้นักศึกษาฝึกงานทำหน้าที่เหมือนพนักงานปกติคนหนึ่ง โดยมี อำนาจบังคับบัญชา มีการมอบหมายงานที่มีลักษณะของการทำงานเพื่อผลผลิตของกิจการเป็นหลัก และไม่ได้เน้นการประเมินผลการศึกษา ความสัมพันธ์นั้นจะเปลี่ยนเป็นนายจ้าง-ลูกจ้างทันที แม้จะเรียกสถานะว่า “นักศึกษาฝึกงาน” ก็ตาม


2. การขึ้นทะเบียนประกันสังคมสำหรับ “นักศึกษาฝึกงานรายวัน”

สรุป: ไม่ต้องขึ้นทะเบียน ม.33 (โดยหลัก)

เนื่องจากนักศึกษาฝึกงานที่มาฝึกตามหลักสูตร ไม่ใช่ “ลูกจ้าง” ตามความหมายของกฎหมายประกันสังคม (มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533) กิจการจึง ไม่มีหน้าที่ ต้องขึ้นทะเบียนนักศึกษาฝึกงานเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 และไม่ต้องนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม 🙅

อย่างไรก็ตาม:

  1. กองทุนเงินทดแทน: นักศึกษาฝึกงานจะยังคงได้รับความคุ้มครองตาม กองทุนเงินทดแทน (Workmen’s Compensation Fund) หากประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงาน โดยกิจการมีหน้าที่นำส่งเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนสำหรับทุกคนที่มาทำงาน (รวมถึงนักศึกษาฝึกงาน)
  2. ประกันกลุ่ม/ประกันอุบัติเหตุ: สถาบันการศึกษาอาจมีการทำประกันอุบัติเหตุหรือประกันกลุ่มให้กับนักศึกษาในช่วงฝึกงานไว้แล้ว ซึ่งเป็นความคุ้มครองอีกส่วนหนึ่ง
จ้างนักศึกษาฝึกงาน ไม่ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคม
จ้างนักศึกษาฝึกงาน ไม่ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคม

3. ความสัมพันธ์และการขึ้นทะเบียนของ “แรงงานรายวัน”

สถานะของแรงงานรายวัน (Daily Worker) แตกต่างจากนักศึกษาฝึกงานโดยสิ้นเชิง

สถานะทางกฎหมาย: เป็นลูกจ้าง (แน่นอน)

แรงงานรายวันคือผู้ที่ทำงานให้กิจการโดยได้รับ ค่าจ้าง เป็นรายวัน เพื่อแลกกับการใช้แรงงานและอยู่ภายใต้การ บังคับบัญชา และ ควบคุมเวลาทำงาน ของนายจ้างอย่างชัดเจน

  • นิยามลูกจ้าง: เข้าข่ายเป็น “ลูกจ้าง” ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและกฎหมายประกันสังคมอย่างครบถ้วน ไม่ว่าการจ้างจะเป็นรายวัน รายเดือน หรือการทำงานเต็มเวลาหรือไม่ก็ตาม

การขึ้นทะเบียนประกันสังคมสำหรับ “แรงงานรายวัน”

สรุป: ต้องขึ้นทะเบียน ม.33 (บังคับ)

กิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป มีหน้าที่ต้องนำลูกจ้างเข้าสู่ระบบประกันสังคม มาตรา 33 ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้าง (แรงงานรายวัน) เข้าทำงาน

  • ความรับผิดชอบ: กิจการในฐานะนายจ้างต้องนำส่งเงินสมทบในส่วนของนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ให้กับสำนักงานประกันสังคมทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ

สถานะ

ความสัมพันธ์ นายจ้าง-ลูกจ้าง

ต้องขึ้นทะเบียน ประกันสังคม ม.33

ความคุ้มครอง กองทุนเงินทดแทน

นักศึกษาฝึกงาน (ตามหลักสูตร)ไม่ถือเป็นลูกจ้าง (เบี้ยเลี้ยง)ไม่ต้องขึ้นทะเบียนต้องได้รับความคุ้มครอง
แรงงานรายวันถือเป็นลูกจ้าง (ค่าจ้าง)ต้องขึ้นทะเบียนต้องได้รับความคุ้มครอง

ดังนั้น กิจการต้องตรวจสอบเจตนาและสัญญาให้ชัดเจน เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งด้านภาษีและด้านแรงงาน

AccProTax รับทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี วางแผนภาษี ประสบการณ์กว่า 25 ปี

วางแผนภาษีกับ AccProTax

“สะดวก รวดเร็ว เข้าใจ ให้คำปรึกษาเชิงรุก”  คือสิ่งที่ AccProTax ให้ความสำคัญ

เพราะเราเข้าใจดีว่า “เรื่องภาษี” ไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้ AccProTax จึงมุ่งเน้นการวางระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการตีความผิดพลาดและลดความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บย้อนหลัง ทีมงานของเรามีประสบการณ์กว่า 25 ปี ในการให้บริการทั้งการทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี และวางแผนภาษีอย่างรอบด้าน พร้อมคำปรึกษาที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน

เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/accprotax/

📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ
บริการประทับใจ ด้วยทีมงานมืออาชีพ

เริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดทำบัญชี วางแผนภาษี และการขอใบอนุญาตต่างๆ อย่างถูกต้อง มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และใช้ระยะเวลานาน การมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านงานจดทะเบียนธุรกิจเป็นที่ปรึกษาและวางแผนอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งข้อมูลต่อทางการอย่างถูกต้อง เป็นหัวใจสำคัญของก้าวแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจ เรายินดีให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่าน พร้อมให้คำแนะนำในด้านการจดทะเบียน บริษัท(บจก.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) อย่างครบวงจร รวมถึง จัดทำบัญชี และวางแผนภาษี (Tax Planning) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูล เรายินดีช่วยเหลือ ให้บริการที่รวดเร็ว ทันเวลา ราคาเหมาะสม คุยอย่างเป็นกันเอง ยินดีให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

กรุณากรอกข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญติดต่อกลับ ให้คำปรึกษาที่ตรงกับความต้องการของคุณได้อย่างรวดเร็ว

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่