การบริหารจัดการข้อมูลลูกจ้างที่เข้า-ออกกับสำนักงานประกันสังคมเป็นหน้าที่สำคัญของนายจ้าง เพื่อให้ลูกจ้างได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายและเพื่อให้กิจการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ประกันสังคม พ.ศ. 2533 อย่างถูกต้อง หากนายจ้างละเลยหรือไม่แจ้งตามกำหนด อาจมีโทษปรับ หรือทำให้ลูกจ้างเสียสิทธิประโยชน์ได้
กรณีลูกจ้าง “เข้า” กิจการ
เมื่อกิจการรับลูกจ้างเข้าทำงาน (ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ, พนักงานสัญญาจ้าง, หรือลูกจ้างชั่วคราวที่มีค่าจ้าง และไม่จำกัดจำนวนลูกจ้าง) นายจ้างมีหน้าที่ต้องแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างเป็นผู้ประกันตนกับสำนักงานประกันสังคม
สิ่งที่ต้องแจ้ง:
1.แจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน (ลูกจ้างใหม่):
-
- นายจ้างจะต้องแจ้งขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนให้ลูกจ้าง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างเริ่มทำงาน
- ลูกจ้างจะได้เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33

2.เลือกสถานพยาบาล:
-
- นายจ้างมีหน้าที่ให้ลูกจ้างเลือกสถานพยาบาลในโครงการประกันสังคม
- ลูกจ้างสามารถเปลี่ยนสถานพยาบาลได้ปีละครั้งในช่วง 1 มกราคม – 31 มีนาคม ของทุกปี

แบบฟอร์มที่เกี่ยวข้อง:
- สปส. 1-03 (แบบขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน): เป็นแบบฟอร์มสำหรับแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างใหม่
- รายละเอียด: ประกอบด้วยข้อมูลส่วนตัวของลูกจ้าง (ชื่อ-สกุล, เลขบัตรประชาชน, วันเกิด, ที่อยู่) และข้อมูลการจ้างงาน (วันที่เริ่มงาน, ค่าจ้าง, ตำแหน่ง) พร้อมทั้งการเลือกสถานพยาบาล
- เอกสารแนบ (อาจจำเป็น): สำเนาบัตรประชาชนของลูกจ้าง, สำเนาทะเบียนบ้าน (บางกรณี)
- สปส. 1-01 (แบบขึ้นทะเบียนนายจ้าง): สำหรับนายจ้างที่ยังไม่เคยขึ้นทะเบียนกับประกันสังคมมาก่อน (มีลูกจ้างคนแรก) ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้างพร้อมกับแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างคนแรก
- รายละเอียด: ข้อมูลของสถานประกอบการ (ชื่อ, ที่ตั้ง, ประเภทธุรกิจ, จำนวนลูกจ้าง)
- สปส. 6-07 (ทะเบียนผู้ประกันตน): นายจ้างต้องกรอกข้อมูลผู้ประกันตนลงในทะเบียนนี้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบและควบคุมงาน
การนำส่งเงินสมทบ:
- หลังจากแจ้งขึ้นทะเบียนแล้ว นายจ้างมีหน้าที่หักเงินค่าจ้างของลูกจ้างในส่วนของผู้ประกันตน (ปัจจุบัน 5% ของค่าจ้าง สูงสุดไม่เกิน 750 บาท/เดือน) และสมทบในส่วนของนายจ้าง (ปัจจุบัน 5% ของค่าจ้าง สูงสุดไม่เกิน 750 บาท/เดือน) และรัฐบาล (2.75% ของค่าจ้าง) รวมแล้วนำส่งให้สำนักงานประกันสังคม ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการจ่ายค่าจ้าง
กรณีลูกจ้าง “ออก” จากกิจการ
เมื่อลูกจ้างลาออก เลิกจ้าง หรือสิ้นสภาพจากการเป็นพนักงานด้วยเหตุอื่นใด นายจ้างมีหน้าที่ต้องแจ้งการสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนกับสำนักงานประกันสังคม
สิ่งที่ต้องแจ้ง:
-
แจ้งความสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน:
- นายจ้างต้องแจ้งการสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตนของลูกจ้าง ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หลังจากที่ลูกจ้างสิ้นสุดสภาพการเป็นลูกจ้าง
- สำคัญ: การแจ้งล่าช้าอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานของลูกจ้าง
- ระบุสาเหตุการออกจากงาน:
- ในแบบฟอร์มจะต้องระบุสาเหตุที่ลูกจ้างออกจากงาน (เช่น ลาออกเอง, เลิกจ้าง, ครบกำหนดสัญญาจ้าง, เกษียณอายุ) เนื่องจากมีผลต่อการพิจารณาสิทธิประโยชน์บางประเภทของลูกจ้าง โดยเฉพาะกรณีว่างงาน
แบบฟอร์มที่เกี่ยวข้อง:
- สปส. 6-09 (แบบแจ้งความสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน): เป็นแบบฟอร์มสำหรับแจ้งการออกจากงานของลูกจ้าง
- รายละเอียด: ข้อมูลลูกจ้าง (ชื่อ-สกุล, เลขบัตรประชาชน), วันที่สิ้นสุดการเป็นลูกจ้าง, สาเหตุการสิ้นสุดการเป็นลูกจ้าง, และข้อมูลนายจ้าง
- เอกสารแนบ (ถ้ามี): สำเนาบัตรประชาชนลูกจ้าง (บางกรณี)
การนำส่งเงินสมทบ (เดือนสุดท้าย):
- นายจ้างยังคงต้องหักและนำส่งเงินสมทบในเดือนที่ลูกจ้างทำงานเป็นเดือนสุดท้าย โดยนำส่งพร้อมยอดของพนักงานคนอื่นๆ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

ช่องทางการแจ้งประกันสังคม
ปัจจุบัน นายจ้างสามารถแจ้งเข้า-ออก ลูกจ้างได้หลายช่องทางเพื่อความสะดวก:
- ผ่านระบบ e-Service ของสำนักงานประกันสังคม (ออนไลน์):
- เป็นช่องทางที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด นายจ้างต้องลงทะเบียนเพื่อขอ Username และ Password กับสำนักงานประกันสังคมก่อน
- สามารถทำรายการแจ้งเข้า-ออก, แจ้งเงินสมทบ, และตรวจสอบข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง
- หากยื่นแบบแสดงรายการเงินสมทบ (สปส.1-10) และชำระเงินสมทบผ่านระบบนี้ จะได้ขยายเวลาออกไปอีก 7 วัน (รวมเป็นภายในวันที่ 22 ของเดือนถัดไป)
- ยื่นที่สำนักงานประกันสังคมพื้นที่/จังหวัด/สาขา:
- เตรียมแบบฟอร์มและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยื่นด้วยตนเองที่สำนักงานประกันสังคมที่สถานประกอบการตั้งอยู่
- ทางไปรษณีย์ลงทะเบียน:
- ส่งแบบฟอร์มและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงานประกันสังคมที่รับผิดชอบ

สิทธิประโยชน์ของลูกจ้าง (ผู้ประกันตน) ที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งเข้า-ออก
การแจ้งเข้า-ออกอย่างถูกต้องและทันเวลา มีผลโดยตรงต่อสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างจะได้รับจากกองทุนประกันสังคม ดังนี้:
เมื่อลูกจ้าง “เข้า” ระบบ:
- สิทธิประกันสังคมมาตรา 33: ลูกจ้างจะได้รับความคุ้มครอง 7 กรณี ได้แก่ เจ็บป่วย/ประสบอันตราย, คลอดบุตร, ทุพพลภาพ, ตาย, สงเคราะห์บุตร, ชราภาพ และว่างงาน (สิทธิบางอย่างต้องจ่ายเงินสมทบครบตามเกณฑ์)
เมื่อลูกจ้าง “ออก” จากระบบ:
- สิทธิกรณีว่างงาน: หากลูกจ้างถูกเลิกจ้างหรือลาออกเอง จะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนกรณีว่างงาน หากจ่ายเงินสมทบครบตามเกณฑ์และขึ้นทะเบียนผู้ว่างงานกับสำนักงานจัดหางาน ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ออกจากงาน การที่นายจ้างแจ้งออกล่าช้า จะทำให้ลูกจ้างไม่สามารถยื่นขอรับสิทธิได้ทันทีและล่าช้าออกไป
- สิทธิประกันสังคมมาตรา 39 (ทางเลือกสำหรับลูกจ้างที่ลาออก): ลูกจ้างที่ลาออกจากงานและเคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 ได้ เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ประกันสังคม (ยกเว้นกรณีว่างงาน) โดยต้องสมัครภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ออกจากงาน
- สิทธิอื่นๆ ยังคงอยู่ (หากครบเงื่อนไข): สิทธิในกรณีเจ็บป่วย คลอดบุตร ทุพพลภาพ หรือตาย อาจยังคงอยู่ระยะหนึ่งหลังจากออกจากงาน (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เคยส่งเงินสมทบ)
บทลงโทษสำหรับนายจ้างที่ไม่แจ้งหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายประกันสังคม
หากนายจ้างมีเจตนาแจ้งเข้า-ออกล่าช้า หลงลืม หรือมีเจตนาจะหลีกเลี่ยงฝ่าฝืนหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด สำนักงานประกันสังคมสามารถเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายได้ เช่น:
- ไม่แจ้งขึ้นทะเบียนนายจ้าง/ลูกจ้าง หรือแจ้งล่าช้า: อาจมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ไม่นำส่งเงินสมทบ หรือนำส่งไม่ครบถ้วน: ต้องจ่ายเงินสมทบที่ขาด พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ของเงินสมทบที่ยังไม่ได้นำส่งหรือนำส่งไม่ครบถ้วน
- ไม่แจ้งการสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน หรือแจ้งล่าช้า: อาจมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท
ดังนั้น การแจ้งเข้า-ออกลูกจ้างต่อสำนักงานประกันสังคมอย่างถูกต้องและทันเวลา จึงเป็นหน้าที่สำคัญที่นายจ้างไม่ควรมองข้าม เพื่อประโยชน์ของทั้งกิจการและลูกจ้างเองค่ะ
ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax