การบริหารจัดการกำไรสะสมของบริษัทเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนภาษี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นและบริษัท
ในทางปฏิบัติ การที่บริษัทมีกำไรสะสมและตัดสินใจ “ไม่จ่ายเงินปันผล” ถือเป็นกลยุทธ์ทางภาษีและธุรกิจที่นิยมใช้กัน มีหลายแนวทางที่สามารถทำได้ เพื่อให้เงินกำไรสะสมยังคงอยู่ในบริษัท และถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินปันผลในปัจจุบัน
เหตุผลที่บริษัทอาจ “ไม่อยากจ่ายเงินปันผล”
ก่อนจะไปดูแนวทางปฏิบัติ มาทำความเข้าใจเหตุผลที่บริษัทอาจตัดสินใจไม่จ่ายเงินปันผลก่อน:
-
ต้องการนำกำไรไปลงทุนต่อในกิจการ: เป็นเหตุผลหลัก เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ (ซื้อสินทรัพย์, สร้างโรงงาน, ลงทุนเทคโนโลยี), วิจัยและพัฒนา, หรือเข้าซื้อกิจการ
-
รักษาสภาพคล่องทางการเงิน: เก็บเงินสดไว้เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน, สำรองฉุกเฉิน, หรือเสริมความแข็งแกร่งของงบดุล
-
หลีกเลี่ยงภาระภาษีเงินปันผลของผู้ถือหุ้น: เงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นบุคคลธรรมดาได้รับต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หัก ณ ที่จ่าย 10%) หากยังไม่จ่าย ผู้ถือหุ้นก็ยังไม่ต้องเสียภาษีส่วนนี้
-
เพิ่มมูลค่ากิจการในระยะยาว: การนำกำไรไปลงทุนต่อและทำให้ธุรกิจเติบโต จะช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้นของบริษัทในระยะยาว ซึ่งผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์เมื่อมีการขายหุ้น


แนวทางในการบริหารจัดการกำไรสะสมเมื่อ “ไม่อยากจ่ายเงินปันผล” เพื่อวางแผนภาษีและประหยัดภาษี
เมื่อบริษัทมีกำไรสะสมแต่ไม่ต้องการจ่ายเป็นเงินปันผล มีหลายแนวทางที่สามารถทำได้ โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อควรพิจารณาแตกต่างกันไป:
1. คงกำไรสะสมไว้ในบริษัท (Retained Earnings)
เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด คือการที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติ “ไม่อนุมัติจ่ายเงินปันผล” และคงกำไรสะสมไว้ในงบดุลของบริษัท
-
ประเด็นสำคัญ:
- วัตถุประสงค์ต้องชัดเจน: บริษัทควรมีเหตุผลที่ชัดเจนในการคงกำไรสะสมไว้ เช่น เพื่อลงทุนขยายกิจการในอนาคตอันใกล้, เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน, เพื่อสำรองฉุกเฉิน (ควรมีแผนการใช้จ่ายที่รองรับ)
- ไม่มีภาระภาษีเงินปันผล: ผู้ถือหุ้นยังไม่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% ณ เวลานั้น
- เงินยังคงอยู่ในบริษัท: เงินสดที่เกิดจากกำไรยังคงอยู่ในบัญชีบริษัท สามารถนำไปใช้ในกิจการได้ทันที

-
ข้อควรพิจารณา:
- ระวังสรรพากรประเมินภาษีกรณี “กำไรสะสมไม่จ่ายเงินปันผล” (มาตรา 65 ทวิ (10)):หากบริษัทมีกำไรสะสมเป็นจำนวนมากติดต่อกันหลายปี โดยไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และมีเจตนาเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินปันผล สรรพากรอาจพิจารณาว่าเป็นการคงกำไรไว้โดยไม่มีเหตุอันสมควร และอาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสะสมส่วนนั้นในอัตราร้อยละ 10 (เป็นภาษีที่บริษัทต้องเสีย) ทั้งนี้ ตามแนวปฏิบัติของสรรพากร มักจะผ่อนปรนหากมีเหตุผลและแผนการใช้กำไรสะสมที่สมเหตุสมผล
- ข้อแนะนำ: บริษัทควรจัดทำแผนการใช้กำไรสะสมในระยะสั้น-กลาง (เช่น แผนลงทุนในโครงการ A ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการรักษากำไรไว้
2. นำกำไรสะสมไปลงทุนในกิจการ (Reinvestment)
เป็นวิธีที่ต่อเนื่องจากข้อ 1 คือ เมื่อคงกำไรสะสมไว้แล้ว ก็นำกำไรนั้นไปใช้ในการลงทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจจริงๆ
-
ประเด็นสำคัญ:
- สร้างการเติบโต: การนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์, เทคโนโลยี, บุคลากร, หรือขยายตลาด จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
- เพิ่มมูลค่ากิจการ: เมื่อธุรกิจเติบโตและมีกำไรเพิ่มขึ้น มูลค่าของบริษัทก็จะสูงขึ้น ผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์ในระยะยาวจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น
- หลีกเลี่ยงภาษีกำไรสะสมไม่จ่ายเงินปันผล: การนำเงินไปลงทุนอย่างมีเหตุผล เป็นการแสดงให้สรรพากรเห็นว่ากำไรที่สะสมไว้มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
-
ข้อควรพิจารณา:
- ความเสี่ยงจากการลงทุน: การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง หากลงทุนไม่สำเร็จ อาจส่งผลเสียต่อฐานะการเงินของบริษัท
- การศึกษาความเป็นไปได้: ควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการลงทุนอย่างรอบคอบ
3. จ่ายผลตอบแทนในรูปแบบอื่นที่เหมาะสม (สำหรับผู้ถือหุ้นที่เป็นผู้บริหาร/พนักงาน)
หากผู้ถือหุ้นเป็นผู้บริหารหรือพนักงานของบริษัทด้วย อาจพิจารณาจ่ายผลตอบแทนในรูปแบบอื่นแทนเงินปันผล เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางภาษีที่ดีกว่าสำหรับทั้งบริษัทและผู้ถือหุ้น/พนักงาน
-
เงินเดือน, โบนัส, ค่าเบี้ยประชุม, ค่าตอบแทนกรรมการ:
- ประเด็นสำคัญ:
บริษัทสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ทำให้กำไรของบริษัทลดลงและเสียภาษีน้อยลง
- ผู้ถือหุ้น/พนักงานเสียภาษี:
ผู้ถือหุ้น/พนักงานจะนำเงินได้เหล่านี้ไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามส่วนตัว (อาจเสียในอัตราภาษีก้าวหน้า) ซึ่งอาจสูงหรือต่ำกว่า 10% ของเงินปันผล ขึ้นอยู่กับฐานภาษีของแต่ละบุคคล
- ข้อดี:
ทั้งบริษัทและผู้รับมีสิทธิหักค่าใช้จ่าย/ค่าลดหย่อนต่างๆ ได้
- ประเด็นสำคัญ:
-
ข้อควรพิจารณา:
- ความสมเหตุสมผล:
เงินเดือน โบนัส หรือค่าตอบแทนอื่นๆ ที่จ่ายไปจะต้อง “สมเหตุสมผล” และ “เป็นไปตามปกติวิสัยของธุรกิจ” มิฉะนั้นสรรพากรอาจปรับปรุงการจ่ายเงินดังกล่าวให้เป็น “เงินปันผลแฝง” ซึ่งจะไม่สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ และต้องนำมาคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายเหมือนเงินปันผล
- เอกสารหลักฐาน:
ต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินและหลักฐานการทำงาน/การเข้าร่วมประชุมที่ชัดเจน
- ความสมเหตุสมผล:
4. ซื้อหุ้นคืน (Share Buyback)
เป็นการที่บริษัทใช้เงินกำไรสะสมไปซื้อหุ้นของตัวเองคืนจากผู้ถือหุ้น (มักจะเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือผู้ถือหุ้นที่ไม่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการอีกต่อไป)
-
ประเด็นสำคัญ:
- ลดจำนวนหุ้นที่หมุนเวียน:
ทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้ราคาหุ้นที่เหลืออยู่เพิ่มสูงขึ้น
- ผู้ถือหุ้นที่ขายหุ้นได้รับเงิน:
ผู้ถือหุ้นที่ขายหุ้นคืนให้กับบริษัทจะได้รับเงิน ซึ่งในทางภาษีอาจไม่ถือเป็นเงินปันผล แต่เป็น “เงินได้จากการขายหลักทรัพย์” ซึ่งอาจได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หากเป็นการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ) หรือเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (กรณีขายหุ้นนอกตลาดฯ) ตามปกติ
- ลดจำนวนหุ้นที่หมุนเวียน:
-
ข้อควรพิจารณา:
- กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
การซื้อหุ้นคืนต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด หรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (สำหรับบริษัทจำกัด) อย่างเคร่งครัด
- สภาพคล่องของบริษัท:
ต้องมั่นใจว่าการซื้อหุ้นคืนจะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
- กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:
5. การออกหุ้นปันผล (Stock Dividend)
แม้จะไม่ใช่การ “ไม่จ่าย” เงินปันผลโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการจ่ายเงินปันผลในรูปแบบของหุ้นเพิ่มทุนแทนที่จะเป็นเงินสด ทำให้เงินยังคงอยู่ในบริษัท
-
ประเด็นสำคัญ:
- เงินยังอยู่ในบริษัท:
เงินที่ใช้ในการออกหุ้นปันผลยังคงอยู่ในรูปของสินทรัพย์ในบริษัท ทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนต่อไป
- ผู้ถือหุ้นไม่ต้องเสียภาษีทันที:
ผู้ถือหุ้นที่ได้รับหุ้นปันผล “ยังไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ในขณะที่ได้รับหุ้นนั้น แต่จะไปเสียภาษีก็ต่อเมื่อมีการ “ขายหุ้น” นั้นไปในอนาคต (ซึ่งอาจเป็นกำไรจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น)
- เงินยังอยู่ในบริษัท:
-
ข้อควรพิจารณา:
- เพิ่มจำนวนหุ้น:
ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น และอาจทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) ลดลง
- การเพิ่มทุน:
ต้องมีการอนุมัติเพิ่มทุนตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด
- เพิ่มจำนวนหุ้น:
ข้อดี-ข้อเสียของแต่ละแนวทางสรุปโดยย่อ
แนวทาง |
ข้อดี |
ข้อเสีย/ความท้าทาย |
1. คงกำไรสะสม | – เงินยังอยู่ในบริษัท – ผู้ถือหุ้นยังไม่ต้องเสียภาษีเงินปันผล |
– สรรพากรอาจประเมินภาษีกรณีไม่จ่ายเงินปันผล 10% ถ้าไม่มีเหตุผลชัดเจน – เงินอาจถูกนำไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพถ้าไม่มีแผน |
2. นำไปลงทุนในกิจการ | – สร้างการเติบโตและมูลค่ากิจการ – หลีกเลี่ยงภาษีกำไรสะสมไม่จ่ายเงินปันผล – เงินยังอยู่ในบริษัท |
– ความเสี่ยงจากการลงทุน – ต้องมีแผนและโครงการลงทุนที่ชัดเจน |
3. จ่ายในรูปเงินเดือน/โบนัส | – บริษัทหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ – พนักงานได้รับเงินได้เร็ว |
– ต้องจ่ายให้สมเหตุสมผล – ผู้รับต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (อัตราก้าวหน้า) |
4. ซื้อหุ้นคืน | – ลดจำนวนหุ้น, เพิ่ม EPS – ผู้ถือหุ้นบางรายได้รับเงินออกไป – อาจไม่มีภาระภาษีเงินปันผล |
– มีกฎระเบียบซับซ้อน – ต้องใช้เงินสดก้อนใหญ่ – ลดสภาพคล่อง |
5. ออกหุ้นปันผล | – เงินยังอยู่ในบริษัท – ผู้ถือหุ้นยังไม่ต้องเสียภาษีทันที |
– จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น, EPS ลดลง – ผู้ถือหุ้นต้องเสียภาษีเมื่อขายหุ้นในอนาคต |


สรุปและคำแนะนำ
การวางแผนภาษีเกี่ยวกับการบริหารกำไรสะสม ควรพิจารณาจาก:
-
แผนการลงทุนของบริษัทในอนาคต: หากมีแผนลงทุนที่ชัดเจนและมีขนาดใหญ่ การคงกำไรสะสมหรือนำไปลงทุนโดยตรงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
-
สถานะภาษีของผู้ถือหุ้น: หากผู้ถือหุ้นอยู่ในฐานภาษีที่สูง การหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินปันผลไปก่อน หรือเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน อาจเป็นประโยชน์
-
ข้อกำหนดของกฎหมาย: ทุกแนวทางต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
-
สภาพคล่องของบริษัท: ต้องมั่นใจว่าการบริหารกำไรสะสมจะไม่ทำให้บริษัทขาดสภาพคล่องในการดำเนินงานปกติ
สำคัญที่สุดคือ ควรปรึกษาผู้สอบบัญชี หรือที่ปรึกษาภาษีมืออาชีพ เพื่อประเมินสถานการณ์เฉพาะของบริษัท และวางแผนภาษีที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายและประหยัดภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ
ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax