มีกำไรสะสม ไม่อยากจ่ายเงินปันผลต้องทำอย่างไร?

การบริหารจัดการกำไรสะสมของบริษัทเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนภาษี เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ถือหุ้นและบริษัท

ในทางปฏิบัติ การที่บริษัทมีกำไรสะสมและตัดสินใจ “ไม่จ่ายเงินปันผล” ถือเป็นกลยุทธ์ทางภาษีและธุรกิจที่นิยมใช้กัน มีหลายแนวทางที่สามารถทำได้ เพื่อให้เงินกำไรสะสมยังคงอยู่ในบริษัท และถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเสียภาษีเงินปันผลในปัจจุบัน

เหตุผลที่บริษัทอาจ “ไม่อยากจ่ายเงินปันผล”

ก่อนจะไปดูแนวทางปฏิบัติ มาทำความเข้าใจเหตุผลที่บริษัทอาจตัดสินใจไม่จ่ายเงินปันผลก่อน:

  1. ต้องการนำกำไรไปลงทุนต่อในกิจการ: เป็นเหตุผลหลัก เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ (ซื้อสินทรัพย์, สร้างโรงงาน, ลงทุนเทคโนโลยี), วิจัยและพัฒนา, หรือเข้าซื้อกิจการ

  2. รักษาสภาพคล่องทางการเงิน: เก็บเงินสดไว้เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน, สำรองฉุกเฉิน, หรือเสริมความแข็งแกร่งของงบดุล

  3. หลีกเลี่ยงภาระภาษีเงินปันผลของผู้ถือหุ้น: เงินปันผลที่ผู้ถือหุ้นบุคคลธรรมดาได้รับต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หัก ณ ที่จ่าย 10%) หากยังไม่จ่าย ผู้ถือหุ้นก็ยังไม่ต้องเสียภาษีส่วนนี้

  4. เพิ่มมูลค่ากิจการในระยะยาว: การนำกำไรไปลงทุนต่อและทำให้ธุรกิจเติบโต จะช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้นของบริษัทในระยะยาว ซึ่งผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์เมื่อมีการขายหุ้น

ไม่อยากจ่ายเงินปันผลทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อประหยัดภาษีดีที่สุด
ไม่อยากจ่ายเงินปันผลทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อประหยัดภาษีดีที่สุด
ไม่อยากจ่ายเงินปันผลทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อประหยัดภาษีดีที่สุด, ควรจะเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กรรมการ หรือทำเป็นเงินให้กู้ยืมดีหรือไม่
ไม่อยากจ่ายเงินปันผลทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อประหยัดภาษีดีที่สุด, ควรจะเพิ่มค่าใช้จ่ายให้กรรมการ หรือทำเป็นเงินให้กู้ยืมดีหรือไม่

แนวทางในการบริหารจัดการกำไรสะสมเมื่อ “ไม่อยากจ่ายเงินปันผล” เพื่อวางแผนภาษีและประหยัดภาษี

เมื่อบริษัทมีกำไรสะสมแต่ไม่ต้องการจ่ายเป็นเงินปันผล มีหลายแนวทางที่สามารถทำได้ โดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อควรพิจารณาแตกต่างกันไป:

1. คงกำไรสะสมไว้ในบริษัท (Retained Earnings)

เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด คือการที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติ “ไม่อนุมัติจ่ายเงินปันผล” และคงกำไรสะสมไว้ในงบดุลของบริษัท

  • ประเด็นสำคัญ:

    • วัตถุประสงค์ต้องชัดเจน: บริษัทควรมีเหตุผลที่ชัดเจนในการคงกำไรสะสมไว้ เช่น เพื่อลงทุนขยายกิจการในอนาคตอันใกล้, เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน, เพื่อสำรองฉุกเฉิน (ควรมีแผนการใช้จ่ายที่รองรับ)
    • ไม่มีภาระภาษีเงินปันผล: ผู้ถือหุ้นยังไม่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% ณ เวลานั้น
    • เงินยังคงอยู่ในบริษัท: เงินสดที่เกิดจากกำไรยังคงอยู่ในบัญชีบริษัท สามารถนำไปใช้ในกิจการได้ทันที
ไม่อยากจ่ายเงินปันผลทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อประหยัดภาษีดีที่สุด, เทียบอัตราภาษีเงินปันผล และภาษีเงินได้นิติบุคคล
ไม่อยากจ่ายเงินปันผลทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อประหยัดภาษีดีที่สุด, เทียบอัตราภาษีเงินปันผล และภาษีเงินได้นิติบุคคล
  • ข้อควรพิจารณา:

    • ระวังสรรพากรประเมินภาษีกรณี “กำไรสะสมไม่จ่ายเงินปันผล” (มาตรา 65 ทวิ (10)):หากบริษัทมีกำไรสะสมเป็นจำนวนมากติดต่อกันหลายปี โดยไม่มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน และมีเจตนาเพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินปันผล สรรพากรอาจพิจารณาว่าเป็นการคงกำไรไว้โดยไม่มีเหตุอันสมควร และอาจประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสะสมส่วนนั้นในอัตราร้อยละ 10 (เป็นภาษีที่บริษัทต้องเสีย) ทั้งนี้ ตามแนวปฏิบัติของสรรพากร มักจะผ่อนปรนหากมีเหตุผลและแผนการใช้กำไรสะสมที่สมเหตุสมผล
    • ข้อแนะนำ: บริษัทควรจัดทำแผนการใช้กำไรสะสมในระยะสั้น-กลาง (เช่น แผนลงทุนในโครงการ A ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการรักษากำไรไว้

2. นำกำไรสะสมไปลงทุนในกิจการ (Reinvestment)

เป็นวิธีที่ต่อเนื่องจากข้อ 1 คือ เมื่อคงกำไรสะสมไว้แล้ว ก็นำกำไรนั้นไปใช้ในการลงทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจจริงๆ

  • ประเด็นสำคัญ:

    • สร้างการเติบโต: การนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์, เทคโนโลยี, บุคลากร, หรือขยายตลาด จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตและสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต
    • เพิ่มมูลค่ากิจการ: เมื่อธุรกิจเติบโตและมีกำไรเพิ่มขึ้น มูลค่าของบริษัทก็จะสูงขึ้น ผู้ถือหุ้นได้รับประโยชน์ในระยะยาวจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น
    • หลีกเลี่ยงภาษีกำไรสะสมไม่จ่ายเงินปันผล: การนำเงินไปลงทุนอย่างมีเหตุผล เป็นการแสดงให้สรรพากรเห็นว่ากำไรที่สะสมไว้มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
  • ข้อควรพิจารณา:

    • ความเสี่ยงจากการลงทุน: การลงทุนย่อมมีความเสี่ยง หากลงทุนไม่สำเร็จ อาจส่งผลเสียต่อฐานะการเงินของบริษัท
    • การศึกษาความเป็นไปได้: ควรมีการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการลงทุนอย่างรอบคอบ

3. จ่ายผลตอบแทนในรูปแบบอื่นที่เหมาะสม (สำหรับผู้ถือหุ้นที่เป็นผู้บริหาร/พนักงาน)

หากผู้ถือหุ้นเป็นผู้บริหารหรือพนักงานของบริษัทด้วย อาจพิจารณาจ่ายผลตอบแทนในรูปแบบอื่นแทนเงินปันผล เพื่อให้เกิดประโยชน์ทางภาษีที่ดีกว่าสำหรับทั้งบริษัทและผู้ถือหุ้น/พนักงาน

  • เงินเดือน, โบนัส, ค่าเบี้ยประชุม, ค่าตอบแทนกรรมการ:

    • ประเด็นสำคัญ:

      บริษัทสามารถนำไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ ทำให้กำไรของบริษัทลดลงและเสียภาษีน้อยลง

    • ผู้ถือหุ้น/พนักงานเสียภาษี:

      ผู้ถือหุ้น/พนักงานจะนำเงินได้เหล่านี้ไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามส่วนตัว (อาจเสียในอัตราภาษีก้าวหน้า) ซึ่งอาจสูงหรือต่ำกว่า 10% ของเงินปันผล ขึ้นอยู่กับฐานภาษีของแต่ละบุคคล

    • ข้อดี:

      ทั้งบริษัทและผู้รับมีสิทธิหักค่าใช้จ่าย/ค่าลดหย่อนต่างๆ ได้

  • ข้อควรพิจารณา:

    • ความสมเหตุสมผล:

      เงินเดือน โบนัส หรือค่าตอบแทนอื่นๆ ที่จ่ายไปจะต้อง “สมเหตุสมผล” และ “เป็นไปตามปกติวิสัยของธุรกิจ” มิฉะนั้นสรรพากรอาจปรับปรุงการจ่ายเงินดังกล่าวให้เป็น “เงินปันผลแฝง” ซึ่งจะไม่สามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ และต้องนำมาคำนวณภาษีหัก ณ ที่จ่ายเหมือนเงินปันผล

    • เอกสารหลักฐาน:

      ต้องมีหลักฐานการจ่ายเงินและหลักฐานการทำงาน/การเข้าร่วมประชุมที่ชัดเจน

4. ซื้อหุ้นคืน (Share Buyback)

เป็นการที่บริษัทใช้เงินกำไรสะสมไปซื้อหุ้นของตัวเองคืนจากผู้ถือหุ้น (มักจะเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย หรือผู้ถือหุ้นที่ไม่ต้องการเป็นเจ้าของกิจการอีกต่อไป)

  • ประเด็นสำคัญ:

    • ลดจำนวนหุ้นที่หมุนเวียน:

      ทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้ราคาหุ้นที่เหลืออยู่เพิ่มสูงขึ้น

    • ผู้ถือหุ้นที่ขายหุ้นได้รับเงิน:

      ผู้ถือหุ้นที่ขายหุ้นคืนให้กับบริษัทจะได้รับเงิน ซึ่งในทางภาษีอาจไม่ถือเป็นเงินปันผล แต่เป็น “เงินได้จากการขายหลักทรัพย์” ซึ่งอาจได้รับยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (หากเป็นการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ) หรือเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (กรณีขายหุ้นนอกตลาดฯ) ตามปกติ

  • ข้อควรพิจารณา:

    • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

      การซื้อหุ้นคืนต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ. บริษัทมหาชนจำกัด หรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (สำหรับบริษัทจำกัด) อย่างเคร่งครัด

    • สภาพคล่องของบริษัท:

      ต้องมั่นใจว่าการซื้อหุ้นคืนจะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องและเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท

5. การออกหุ้นปันผล (Stock Dividend)

แม้จะไม่ใช่การ “ไม่จ่าย” เงินปันผลโดยสิ้นเชิง แต่เป็นการจ่ายเงินปันผลในรูปแบบของหุ้นเพิ่มทุนแทนที่จะเป็นเงินสด ทำให้เงินยังคงอยู่ในบริษัท

  • ประเด็นสำคัญ:

    • เงินยังอยู่ในบริษัท:

      เงินที่ใช้ในการออกหุ้นปันผลยังคงอยู่ในรูปของสินทรัพย์ในบริษัท ทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนต่อไป

    • ผู้ถือหุ้นไม่ต้องเสียภาษีทันที:

      ผู้ถือหุ้นที่ได้รับหุ้นปันผล “ยังไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ในขณะที่ได้รับหุ้นนั้น แต่จะไปเสียภาษีก็ต่อเมื่อมีการ “ขายหุ้น” นั้นไปในอนาคต (ซึ่งอาจเป็นกำไรจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น)

  • ข้อควรพิจารณา:

    • เพิ่มจำนวนหุ้น:

      ทำให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น และอาจทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) ลดลง

    • การเพิ่มทุน:

      ต้องมีการอนุมัติเพิ่มทุนตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด

ข้อดี-ข้อเสียของแต่ละแนวทางสรุปโดยย่อ

แนวทาง

ข้อดี

ข้อเสีย/ความท้าทาย

1. คงกำไรสะสม – เงินยังอยู่ในบริษัท
– ผู้ถือหุ้นยังไม่ต้องเสียภาษีเงินปันผล
– สรรพากรอาจประเมินภาษีกรณีไม่จ่ายเงินปันผล 10% ถ้าไม่มีเหตุผลชัดเจน
– เงินอาจถูกนำไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพถ้าไม่มีแผน
2. นำไปลงทุนในกิจการ – สร้างการเติบโตและมูลค่ากิจการ
– หลีกเลี่ยงภาษีกำไรสะสมไม่จ่ายเงินปันผล
– เงินยังอยู่ในบริษัท
– ความเสี่ยงจากการลงทุน
– ต้องมีแผนและโครงการลงทุนที่ชัดเจน
3. จ่ายในรูปเงินเดือน/โบนัส – บริษัทหักเป็นค่าใช้จ่ายได้
– พนักงานได้รับเงินได้เร็ว
– ต้องจ่ายให้สมเหตุสมผล
– ผู้รับต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (อัตราก้าวหน้า)
4. ซื้อหุ้นคืน – ลดจำนวนหุ้น, เพิ่ม EPS
– ผู้ถือหุ้นบางรายได้รับเงินออกไป
– อาจไม่มีภาระภาษีเงินปันผล
– มีกฎระเบียบซับซ้อน
– ต้องใช้เงินสดก้อนใหญ่
– ลดสภาพคล่อง
5. ออกหุ้นปันผล – เงินยังอยู่ในบริษัท
– ผู้ถือหุ้นยังไม่ต้องเสียภาษีทันที
– จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้น, EPS ลดลง
– ผู้ถือหุ้นต้องเสียภาษีเมื่อขายหุ้นในอนาคต
ตัวอย่างการพิจารณาเปรียบเทียบอัตราภาษีหีก ณ ที่จ่าย ของเงินปันผล และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
ตัวอย่างการพิจารณาเปรียบเทียบอัตราภาษีหีก ณ ที่จ่าย ของเงินปันผล และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
ตัวอย่างการพิจารณาเปรียบเทียบอัตราภาษีหีก ณ ที่จ่าย ของเงินปันผล และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล อย่างใดเสียภาษีมากกว่ากัน
ตัวอย่างการพิจารณาเปรียบเทียบอัตราภาษีหีก ณ ที่จ่าย ของเงินปันผล และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล อย่างใดเสียภาษีมากกว่ากัน

การวางแผนภาษีเกี่ยวกับการบริหารกำไรสะสม ควรพิจารณาจาก:

  • แผนการลงทุนของบริษัทในอนาคต: หากมีแผนลงทุนที่ชัดเจนและมีขนาดใหญ่ การคงกำไรสะสมหรือนำไปลงทุนโดยตรงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

  • สถานะภาษีของผู้ถือหุ้น: หากผู้ถือหุ้นอยู่ในฐานภาษีที่สูง การหลีกเลี่ยงการจ่ายเงินปันผลไปก่อน หรือเปลี่ยนรูปแบบการจ่ายผลตอบแทน อาจเป็นประโยชน์

  • ข้อกำหนดของกฎหมาย: ทุกแนวทางต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

  • สภาพคล่องของบริษัท: ต้องมั่นใจว่าการบริหารกำไรสะสมจะไม่ทำให้บริษัทขาดสภาพคล่องในการดำเนินงานปกติ

สำคัญที่สุดคือ ควรปรึกษาผู้สอบบัญชี หรือที่ปรึกษาภาษีมืออาชีพ เพื่อประเมินสถานการณ์เฉพาะของบริษัท และวางแผนภาษีที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายและประหยัดภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่