
“ลูกค้าของเรา นักธุรกิจโรงงานการผลิตปุ๋ย และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มอบความไว้วางใจให้ทีมงานแอคโปรแท็ค (AccProTax) ดูแลเพื่อเปิดบริษัทธุรกิจใหม่ และวางแผนภาษีอากรให้รัดกุม มาปรึกษาเยียม ถึงสำนักงานแอคโปรแท็ค (AccProTax)
ทีมงานเต็มใจเต็มที่ในการให้บริการอย่างดี เต็มความสามารถ
ขอบพระคุณมากค่ะ”
ธุรกิจการผลิตปุ๋ยในประเทศไทยมีลักษณะเฉพาะตัวและกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งในปัจจุบันและอนาคต
โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มของธุรกิจนี้
แนวโน้มในปัจจุบัน:
พึ่งพาการนำเข้าสูง: อุตสาหกรรมปุ๋ยเคมีของไทยอยู่ในขั้นปลายน้ำที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะแม่ปุ๋ย อาทิ ปุ๋ยไนโตรเจนจากซาอุดีอาระเบีย มาเลเซีย จีน โอมาน กาตาร์ และปุ๋ยฟอสฟอรัสจากอียิปต์และจีน ทำให้ต้นทุนการผลิตปุ๋ยของไทยผันผวนสูงตามราคาน้ำมันดิบโลกและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์
ราคาผันผวน: ราคาปุ๋ยเคมีในประเทศยังคงผันผวนสูงตามราคาตลาดโลก ซึ่งได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนหลายด้าน เช่น ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลก และภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทำให้ผู้ประกอบการกำหนดราคาขายได้ยากและมีผลต่อกำไร
การส่งออกปุ๋ยเคมี: ไทยมีการส่งออกปุ๋ยเคมีส่วนหนึ่ง โดยตลาดส่งออกหลักคือกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม) อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกอาจลดลงจากอุปทานปุ๋ยที่ตึงตัวและราคาที่สูงขึ้นในบางช่วง
การส่งเสริมเกษตรอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ: การทำเกษตรอินทรีย์และการใช้ปุ๋ยชีวภาพได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ช่วยลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมี และสอดรับกับกระแสการดูแลสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ทำให้ผู้ผลิตปุ๋ยเคมีต้องปรับตัวและหันมาให้ความสนใจกับการผลิตปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพมากขึ้น
นโยบายภาครัฐ: รัฐบาลมีนโยบายในการช่วยเหลือเกษตรกร เช่น โครงการลดราคาปุ๋ย และการส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรรวมตัวกันสั่งซื้อปุ๋ยตรงจากโรงงาน เพื่อลดต้นทุนปุ๋ยให้แก่เกษตรกร
แนวโน้มในอนาคต:
การเติบโตชะลอตัวของปุ๋ยเคมี: คาดการณ์ว่ายอดขายปุ๋ยเคมีไทยในปี 2568 จะเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากปัจจัยบวกแผ่วลง ความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีที่เติบโตช้าลง และราคาขายปุ๋ยเคมีในประเทศที่ปรับลดลงตามราคาตลาดโลก
ความท้าทายจากราคาวัตถุดิบและค่าขนส่ง: ต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่ผันผวนยังคงเป็นความท้าทายหลักสำหรับผู้ประกอบการ เนื่องจากไทยต้องนำเข้าแม่ปุ๋ยเกือบทั้งหมด ทำให้มีความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิรัฐศาสตร์
โอกาสของปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพ: ธุรกิจปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพมีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต จากความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค รวมถึงนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการเกษตรยั่งยืนและเกษตรอินทรีย์ ผู้ประกอบการจึงมีโอกาสในการลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้มากขึ้น
การวิจัยและพัฒนา: มีงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตปุ๋ยชีวภาพจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร เช่น กากมันสำปะหลัง หรือตะกอนจากระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มมูลค่าและลดต้นทุนการผลิตปุ๋ย
การขยายช่องทางการตลาดและการสร้างมูลค่าเพิ่ม: ผู้ประกอบการปุ๋ยเคมีมีแนวโน้มที่จะขยายช่องทางการตลาดใหม่ๆ เช่น การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ (เช่น ปุ๋ยสั่งตัดที่เหมาะกับพืชแต่ละชนิด) และการขยายตลาดส่งออกในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ
การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม: การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในกระบวนการผลิตปุ๋ย จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรมากขึ้น เช่น การใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลดินและพืชเพื่อแนะนำปุ๋ยที่เหมาะสม
ความมั่นคงทางอาหาร: การผลิตปุ๋ยในประเทศอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการลดการพึ่งพาการนำเข้าปุ๋ยเคมี และการส่งเสริมปุ๋ยทางเลือก จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางอาหารของประเทศในระยะยาว
บทบาทของภาครัฐ: รัฐบาลจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมปุ๋ย ทั้งในด้านการลดต้นทุนให้เกษตรกร การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาปุ๋ยทางเลือก และการสร้างเสถียรภาพราคาปุ๋ยในประเทศ








