
“ลูกค้าของเรา นักธุรกิจบริการงานช่าง งานติดตั้ง งานเหล็ก งานเชื่อม มอบความไว้วางใจให้ทีมงานแอคโปรแท็ค (AccProTax) ดูแลเปิดธุรกิจ จัดทำบัญชี วางแผนภาษีรายเดือนจากทีมงานคุณภาพ
ดูแลเอาใจใส่ผู้ประกอบการด้วยหัวใจอย่างเต็มความสามารถ
ขอบพระคุณมากค่ะ”
ธุรกิจงานช่าง งานติดตั้ง งานเหล็ก และงานเชื่อม ในประเทศไทยเป็นส่วนสำคัญของภาคอุตสาหกรรมและการก่อสร้าง โดยมีสถานการณ์และแนวโน้มที่น่าสนใจดังนี้
สถานการณ์ธุรกิจงานช่าง งานติดตั้ง งานเหล็ก งานเชื่อม ของประเทศไทยในปัจจุบัน:
ได้รับอานิสงส์จากภาคก่อสร้าง: ธุรกิจนี้ยังคงได้รับแรงขับเคลื่อนหลักจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ รวมถึงโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ยังคงดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
การฟื้นตัวของภาคเอกชน: แม้ว่าการก่อสร้างภาคเอกชน โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยใหม่อาจจะยังชะลอตัวอยู่บ้าง แต่ก็มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่องานช่างและงานติดตั้งในอาคารต่างๆ
ความต้องการเหล็ก: ความต้องการเหล็กในประเทศยังคงมีอยู่สูง ทั้งจากภาคก่อสร้างและภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ยานยนต์ เครื่องจักร โดยในปี 2025 คาดว่าปริมาณการใช้งานเหล็กของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ปัญหาต้นทุนและราคาเหล็ก: ราคาวัสดุก่อสร้างโดยรวม รวมถึงเหล็ก มีแนวโน้มยังทรงตัวสูง เนื่องจากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบในตลาดโลก รวมถึงการนำเข้าเหล็กราคาถูกจากจีนที่เข้ามาตีตลาดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการต้องบริหารจัดการต้นทุนอย่างระมัดระวัง
การขาดแคลนแรงงานมีฝีมือ: ธุรกิจนี้ยังคงเผชิญปัญหาการขาดแคลนช่างฝีมือ โดยเฉพาะช่างเชื่อมที่มีทักษะเฉพาะทาง ซึ่งเป็นความต้องการทั้งในประเทศและต่างประเทศ (ช่างเชื่อมไทยเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศ) ทำให้ค่าแรงของช่างฝีมือมีแนวโน้มสูงขึ้น
ความสำคัญของมาตรฐาน: การให้ความสำคัญกับมาตรฐานการผลิตและคุณภาพของงาน โดยเฉพาะงานเชื่อมและงานเหล็ก มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและคุณภาพของโครงสร้างและผลิตภัณฑ์
การแข่งขัน: ตลาดมีการแข่งขันสูง ทั้งจากผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีความพร้อมในการรับงานโครงการขนาดใหญ่ และผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องแข่งขันกันในตลาดงานย่อยและงานเฉพาะทาง
แนวโน้มอนาคตของธุรกิจงานช่าง งานติดตั้ง งานเหล็ก งานเชื่อม ในประเทศไทย:
การปรับตัวสู่อุตสาหกรรม 4.0: ผู้ประกอบการจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้มากขึ้น เช่น การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการออกแบบงานเชื่อมและโครงสร้าง การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในงานเชื่อมและผลิตชิ้นส่วน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
เทคโนโลยีการเชื่อมที่ทันสมัย: การนำเทคนิคและอุปกรณ์การเชื่อมที่ก้าวหน้ามาใช้ เช่น การเชื่อมด้วยเลเซอร์ (Laser Welding), การเชื่อมแบบ Friction Stir Welding (FSW) สำหรับวัสดุที่เชื่อมยาก จะเป็นที่ต้องการมากขึ้นในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง
ความต้องการช่างเฉพาะทาง: แม้จะมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ แต่ความต้องการช่างที่มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีใหม่ๆ และมีทักษะเฉพาะทางในการติดตั้ง ซ่อมบำรุง และควบคุมเครื่องจักรที่ซับซ้อนจะเพิ่มขึ้น
การพัฒนาทักษะแรงงาน: การลงทุนในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของบุคลากรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ และสามารถใช้งานเครื่องมือที่ซับซ้อนได้ จะเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ผลกระทบจากราคาเหล็กโลก: ราคาเหล็กในตลาดโลกยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงาน โดยเฉพาะการนำเข้าเหล็กราคาถูกจากจีนที่อาจยังคงมีอยู่
การเน้นความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม: มาตรฐานด้านความปลอดภัยในการทำงาน และการจัดการผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการผลิตและติดตั้งจะมีความเข้มงวดมากขึ้น
การขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และพลังงานสะอาด: การเติบโตของอุตสาหกรรม EV และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด เช่น โซลาร์ฟาร์ม กังหันลม อาจสร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับงานเชื่อม งานเหล็ก และงานติดตั้งที่เกี่ยวข้อง
โอกาสในตลาดส่งออก: ช่างเชื่อมไทยยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจหรือการทำงานของช่างไทยในต่างแดน








