
“ลูกค้าของเรา นักธุรกิจขายยา เวชสำอางค์ และคุณหมอรักษาโรค ติดสินใจเปิดบริษัท วางแผนภาษีคุณหมอและเปิดคลีนิก ได้มอบความไว้วางใจให้ทีมงานแอคโปรแท็ค (AccProTax) ดูแลจดทะเบียนบริษัท วางแผนภาษี และทำบัญชีรายเดือน ครบวงจรอย่างมืออาชีพ
ขอบพระคุณมากค่ะ”
รายงานแนวโน้มธุรกิจขายยา เวชสำอาง และคลินิกรักษาโรค ของประเทศไทย ในปัจจุบันและอนาคต
ธุรกิจขายยา เวชสำอาง และคลินิกรักษาโรคในประเทศไทยเป็นภาคส่วนที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีพลวัตสูง โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านสังคม ประชากรศาสตร์ เทคโนโลยี และนโยบายด้านสุขภาพ
1. ธุรกิจขายยา (ร้านขายยา)
สถานการณ์ปัจจุบัน (ณ กลางปี 2568):
-
จำนวนร้านขายยาที่เพิ่มขึ้น: ยังคงมีร้านขายยาเปิดใหม่จำนวนมาก ทั้งร้านแบบเดี่ยว (Stand-alone) และร้านในรูปแบบเชน (Chain Drugstores) เช่น Fascino, P&F, Save Drug ซึ่งมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง
-
การแข่งขันสูง: การแข่งขันในธุรกิจร้านขายยามีความรุนแรง ทั้งจากจำนวนร้านที่เพิ่มขึ้น และการแข่งขันด้านราคา รวมถึงการแข่งขันกับช่องทางออนไลน์บางส่วน
-
บทบาทของเภสัชกร: เภสัชกรยังคงเป็นหัวใจสำคัญของร้านยาในการให้คำแนะนำด้านยาและสุขภาพแก่ประชาชน
-
กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย: นอกจากการขายยาแล้ว ร้านขายยายังขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ไปสู่สินค้าเพื่อสุขภาพอื่นๆ เช่น อาหารเสริม, เวชสำอาง, อุปกรณ์การแพทย์พื้นฐาน
แนวโน้มอนาคต:
-
ร้านขายยาเป็นศูนย์กลางสุขภาพชุมชน: บทบาทของร้านขายยาจะขยายไปมากกว่าการขายยา โดยจะเป็นศูนย์กลางในการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพเบื้องต้น การคัดกรองโรค การให้วัคซีนบางชนิด และการติดตามการใช้ยาของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
-
Telepharmacy/Digital Pharmacy: การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เช่น การให้คำปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ การสั่งยาและจัดส่งถึงบ้าน ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกสบายในการเข้าถึงยาและบริการ
-
Big Data และ Personalization: การใช้ข้อมูลผู้ป่วยเพื่อแนะนำยาและผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล รวมถึงการจัดการสต็อกยาให้มีประสิทธิภาพ
-
ความร่วมมือกับโรงพยาบาล/คลินิก: อาจมีการเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยและระบบการจ่ายยาจากโรงพยาบาลหรือคลินิกกับร้านขายยา เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยมีความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
-
กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น: การควบคุมและกำหนดมาตรฐานร้านขายยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพจะมีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
2. ธุรกิจเวชสำอาง (Cosmeceuticals)
สถานการณ์ปัจจุบัน:
-
การเติบโตต่อเนื่อง: ตลาดเวชสำอางยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากผู้บริโภคมีความรู้ด้านผิวพรรณมากขึ้น และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนและมีความปลอดภัย
-
ช่องทางจำหน่ายหลากหลาย: มีการจำหน่ายผ่านหลายช่องทาง ทั้งร้านขายยา, คลินิกความงาม, ห้างสรรพสินค้า, และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่เติบโตสูง
-
อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย: การรีวิวจากผู้ใช้จริง, บล็อกเกอร์, และอินฟลูเอนเซอร์ มีบทบาทอย่างมากในการสร้างการรับรู้และการตัดสินใจซื้อ
-
ความน่าเชื่อถือของส่วนผสม: ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับส่วนผสมที่ออกฤทธิ์จริง (Active Ingredients) ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ เช่น Retinoids, Vitamin C, Hyaluronic Acid, Peptides
-
การแข่งขันสูง: มีแบรนด์ทั้งในและต่างประเทศเข้ามาทำตลาดจำนวนมาก ทำให้เกิดการแข่งขันที่ดุเดือด
แนวโน้มอนาคต:
-
Personalized Skincare: การใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data ในการวิเคราะห์สภาพผิวส่วนบุคคล เพื่อแนะนำหรือผลิตเวชสำอางที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลอย่างแท้จริง
-
Clean Beauty และ Sustainability: ผู้บริโภคจะมองหาผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารเคมีอันตราย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน และมีการผลิตที่รับผิดชอบต่อสังคม
-
Microbiome Skincare: เวชสำอางที่เน้นการปรับสมดุลไมโครไบโอมบนผิวหนังเพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและแก้ปัญหาผิวเรื้อรังจะได้รับความนิยม
-
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ร่วมกับการรักษา: เวชสำอางที่ออกแบบมาเพื่อใช้ควบคู่กับการรักษาของแพทย์ผิวหนังหรือหลังหัตถการทางการแพทย์ จะมีการเติบโต
-
การขยายกลุ่มผู้บริโภค: ตลาดเวชสำอางสำหรับผู้ชายและผู้สูงอายุ จะขยายตัวมากขึ้น
3. ธุรกิจคลินิกรักษาโรค (General Practice Clinics & Specialist Clinics)
สถานการณ์ปัจจุบัน:
-
ความต้องการเข้าถึงบริการสุขภาพปฐมภูมิ: คลินิกยังคงเป็นทางเลือกแรกสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยถึงปานกลาง เนื่องจากสะดวก เข้าถึงง่าย และค่าใช้จ่ายน้อยกว่าโรงพยาบาล
-
คลินิกเฉพาะทางเติบโต: คลินิกเฉพาะทาง เช่น คลินิกเด็ก คลินิกผิวหนัง คลินิกกระดูกและข้อ คลินิกกายภาพบำบัด หรือคลินิกโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดัน) กำลังเป็นที่ต้องการสูง
-
การแข่งขันกับโรงพยาบาล: คลินิกต้องแข่งขันกับโรงพยาบาลขนาดเล็กและใหญ่ที่ให้บริการครอบคลุมกว่า
-
Telemedicine/Telehealth: การปรึกษาแพทย์ออนไลน์เริ่มเข้ามามีบทบาท โดยเฉพาะหลังสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงแพทย์
แนวโน้มอนาคต:
-
Telehealth และ Hybrid Care Model: การผสมผสานระหว่างการเข้าพบแพทย์ที่คลินิกกับการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (Hybrid Care) จะเป็นรูปแบบมาตรฐานใหม่ของการให้บริการทางการแพทย์ ทำให้คลินิกสามารถให้บริการได้กว้างขวางขึ้น
-
การแพทย์เชิงป้องกันและดูแลสุขภาพองค์รวม: คลินิกจะเน้นบริการด้านการป้องกันโรค การตรวจสุขภาพเชิงลึก และการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น (Holistic Health) โดยอาจรวมถึงการให้คำปรึกษาด้านโภชนาการ การออกกำลังกาย และสุขภาพจิต
-
Personalized Medicine: การนำข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลมาใช้ในการวางแผนการรักษาและการดูแลสุขภาพที่แม่นยำและเฉพาะบุคคลมากขึ้น
-
ความร่วมมือกับแพลตฟอร์มสุขภาพ: คลินิกจะร่วมมือกับแพลตฟอร์มดิจิทัลด้านสุขภาพ (HealthTech) มากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
-
การพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน: คลินิกจะต้องยกระดับคุณภาพบริการ ความสะอาด และมาตรฐานการรักษาให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้ป่วย
-
สังคมผู้สูงอายุ: คลินิกที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้สูงอายุ ทั้งด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ และการจัดการโรคเรื้อรังที่มาพร้อมกับวัย จะมีบทบาทสำคัญและเติบโตอย่างรวดเร็ว








