
“ลูกค้าของเรา นักธุรกิจดูแลรักษาความปลอดภัย ภายในบ้านและอาคาร ได้รับการบริการทุกลูกค้าประทับใจ จนลูกค้ายกนิ้วให้ทีมงานแอคโปรแท็ค (AccProTax) ที่มอบความไว้วางใจดูแลธุรกิจ และเปิดบริการวางแผนภาษี จัดทำบัญชีรายเดือน
ส่งภาพเป็นกำลังใจให้ทีมงานทุกคน ทุ่มเทการดูแลลูกค้า อย่างเอาใจใส่
ขอบพระคุณคุณลูกค้ามากค่ะ”
ธุรกิจรักษาความปลอดภัยภายในบ้านและอาคารในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงการเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ขับเคลื่อนทั้งในปัจจุบันและอนาคต ดังนี้:
สถานการณ์ธุรกิจรักษาความปลอดภัยภายในบ้านและอาคารของประเทศไทยในปัจจุบัน:
ความกังวลด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น: ประชาชนและองค์กรต่างๆ มีความตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น เนื่องจากปัญหาอาชญากรรมที่ซับซ้อนขึ้น รวมถึงเหตุการณ์ความไม่สงบต่างๆ ที่ทำให้เกิดความต้องการระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ
การขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์: การเติบโตของโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียม หรือทาวน์เฮาส์ รวมถึงอาคารสำนักงานและโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ๆ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความต้องการระบบรักษาความปลอดภัย
เทคโนโลยีที่เข้าถึงง่ายขึ้นและราคาถูกลง: อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น เช่น กล้องวงจรปิด (CCTV), ระบบสัญญาณกันขโมย, ระบบควบคุมการเข้าออก (Access Control) มีราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้นและมีให้เลือกหลากหลาย ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปสามารถติดตั้งได้เองหรือใช้บริการจากบริษัทที่นำเสนอโซลูชันแบบครบวงจร
ตลาดใหญ่ในอาเซียน: ประเทศไทยเป็นหนึ่งในตลาดสินค้าและบริการด้านระบบรักษาความปลอดภัยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การใช้บริการจากบริษัทภายนอก: หน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนจำนวนมากหันมาใช้บริการจากบริษัทรักษาความปลอดภัยมืออาชีพแทนการมีพนักงานรักษาความปลอดภัยของตนเอง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพ
แนวโน้มในอนาคต:
การบูรณาการเทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Security / IoT):
Smart Home Security: ตลาด Smart Home ในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะเป็นส่วนสำคัญของแนวโน้มนี้ ผู้บริโภคต้องการระบบที่สามารถควบคุมผ่านสมาร์ทโฟน มีการแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์ และสามารถทำงานร่วมกับอุปกรณ์ Smart Home อื่นๆ เช่น หลอดไฟอัจฉริยะ, ล็อกประตูอัจฉริยะ
AI และ Machine Learning: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (ML) จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจจับพฤติกรรมที่ผิดปกติ, การจดจำใบหน้า, การจดจำทะเบียนรถ และการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อป้องกันเหตุการณ์ล่วงหน้า
IoT (Internet of Things): อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยจะเชื่อมต่อถึงกันมากขึ้นผ่าน IoT ทำให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เซ็นเซอร์ประตูหน้าต่างที่เชื่อมต่อกับกล้องและระบบแจ้งเตือน
Biometric Technology: เทคโนโลยีชีวมาตร เช่น การสแกนลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า หรือการสแกนม่านตา จะถูกนำมาใช้ในระบบควบคุมการเข้า-ออกอาคารและบ้านพักอาศัยมากขึ้น เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและลดความยุ่งยากในการใช้งาน
Cloud-based Security Systems: การใช้ระบบรักษาความปลอดภัยบนคลาวด์จะเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริหารจัดการระบบได้จากทุกที่ทุกเวลา ลดความจำเป็นในการลงทุนเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ และเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งาน
Cybersecurity ในระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพ: เนื่องจากการเชื่อมต่อของระบบรักษาความปลอดภัยผ่านเครือข่ายมากขึ้น ความเสี่ยงของการถูกโจมตีทางไซเบอร์ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ดังนั้น การเสริมสร้างความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นโอกาสของธุรกิจที่เชี่ยวชาญด้านนี้
การบริการแบบครบวงจร (Integrated Solutions): ผู้บริโภคและองค์กรต่างๆ จะมองหาผู้ให้บริการที่สามารถนำเสนอโซลูชันด้านความปลอดภัยแบบครบวงจร ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การติดตั้ง การบำรุงรักษา ไปจนถึงการเฝ้าระวังและการตอบสนองเหตุการณ์
ความยั่งยืนและอาคารเขียว: การพัฒนาอาคารที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Buildings) จะรวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
ความต้องการใน Data Center Physical Security: ด้วยการลงทุนสร้าง Data Center ขนาดใหญ่ในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความต้องการระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพสำหรับ Data Center ที่มีความซับซ้อนสูงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย








