วิธีการที่จะช่วยบุคคลธรรมดา ประหยัดภาษีมากขึ้นได้อย่างไร?

วิธีการที่จะช่วยบุคคลธรรมดา ประหยัดภาษีมากขึ้นได้อย่างไร? เพื่อช่วยให้บุคคลธรรมดาประหยัดภาษีได้มากขึ้น กุญแจสำคัญคือการทำความเข้าใจ ประเภทของเงินได้ (Source of Income) ที่ได้รับ เนื่องจากเงินได้แต่ละประเภทมี ภาระภาษี และ ค่าลดหย่อน/ค่าใช้จ่าย ที่แตกต่างกัน วิธีการคือการ เลือกหรือปรับรูปแบบ การรับเงินให้ตกอยู่ในประเภทที่มีภาระภาษีน้อยที่สุด

วิธีการหลักในการวางแผนภาษีด้วยการเลือกรูปแบบเงินได้ มีดังนี้


1. การใช้ประโยชน์จาก “ค่าใช้จ่ายแบบเหมา” และ “ค่าใช้จ่ายตามจริง”

เงินได้แต่ละประเภทมีเพดานค่าใช้จ่ายที่นำมาหักลดหย่อนได้แตกต่างกัน (มาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร)

ประเภทเงินได้

มาตรา

ค่าใช้จ่ายที่นำมาหักได้

ประโยชน์ในการประหยัดภาษี

เงินเดือน/ค่าจ้าง40(1) และ 40(2)เหมาจ่าย 50% แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท (รวมกัน)เหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้จากการจ้างงานประจำ โดยได้ใช้สิทธิเหมาจ่ายสูงสุด
ค่าเช่า40(5)เหมาจ่าย (แตกต่างกันตามประเภททรัพย์สิน เช่น บ้าน/ที่ดิน 30%) หรือ หักตามค่าใช้จ่าย จริงมีโอกาสประหยัดภาษีสูงที่สุด หากเลือกหักตามค่าใช้จ่ายจริง แล้วมีค่าใช้จ่าย (ซ่อมแซม, ดอกเบี้ย) สูงกว่า อัตราเหมาจ่าย
วิชาชีพอิสระ/ค่าที่ปรึกษา40(6)เหมาจ่าย 30% หรือ 60% (ขึ้นอยู่กับประเภทวิชาชีพ) หรือ หักตามค่าใช้จ่าย จริงหากมีต้นทุนดำเนินการต่ำ ควรเลือกหักแบบเหมาจ่าย แต่หากมีค่าใช้จ่ายสูง ควรเลือกหักตามจริง

กลยุทธ์การปรับเงินได้:

  • เปลี่ยนค่าที่ปรึกษา (40(6)) เป็นค่าเช่า (40(5)): หากบุคคลนั้นเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ใช้ทำงาน (เช่น ออฟฟิศ) แทนที่จะรับเงินในรูปแบบค่าที่ปรึกษาอย่างเดียว อาจแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปรับในรูปแบบ “ค่าเช่า” (จากการให้บริษัทเช่าพื้นที่ทำงาน) แล้วนำค่าใช้จ่ายตามจริงของทรัพย์สินนั้น (เช่น ดอกเบี้ย, ค่าซ่อม) มาหักได้มากกว่าอัตราเหมาจ่าย 30% ของ 40(6)

2. การใช้ประโยชน์จาก “เงินได้ที่ได้รับยกเว้นภาษี” หรือ “ภาษีคงที่”

เงินได้บางประเภทมีการหักภาษีในอัตราพิเศษ หรือได้รับยกเว้น ทำให้ไม่ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในอัตราก้าวหน้า (0%-35%)

A. การเลือกรับเงินปันผล (Dividend)

ประเภทเงินได้

ภาระภาษี

ประโยชน์ในการประหยัดภาษี

เงินปันผลถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% คงที่ผู้รับมีสิทธิเลือกที่จะ ไม่นำเงินปันผลมารวมคำนวณภาษี กับเงินได้ประเภทอื่น ๆ ในสิ้นปี (Final Tax) หากอัตราภาษีรวมของผู้รับอยู่ในช่วง 20% ขึ้นไป การเลือกจ่าย 10% คงที่ จะทำให้ประหยัดภาษีส่วนนี้ได้อย่างมาก

B. การปรับโครงสร้างเงินเดือนและสวัสดิการ

รูปแบบการจ่าย

ภาระภาษี

ประโยชน์ในการประหยัดภาษี

เปลี่ยนเงินเดือนเป็นสวัสดิการที่ไม่ต้องเสียภาษีส่วนของสวัสดิการที่ “ไม่ถือเป็นเงินได้” ตามกฎหมาย (เช่น เครื่องแบบพนักงาน, ค่ารักษาพยาบาลส่วนเพิ่มที่ไม่ใช่เงินสด)ส่วนนี้ ไม่ต้องนำมาคำนวณภาษี ทำให้ฐานภาษีบุคคลธรรมดาลดลง (แต่ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสรรพากร)
การให้ผลประโยชน์ในรูปแบบทรัพย์สิน/สิทธิการให้สิทธิในการซื้อหุ้น (ESOP) ที่เข้าเงื่อนไข จะมีภาระภาษีที่แตกต่างจากการจ่ายเงินสดทันทีอาจช่วยเลื่อน (Defer) ภาระภาษีไปในอนาคต หรือคำนวณจากราคาที่ต่ำกว่า

3. การวางแผนรายได้รวมเพื่อใช้ประโยชน์จากอัตราภาษีแบบก้าวหน้า

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของไทยคิดในอัตราก้าวหน้า (สูงสุด 35%)

  • ผู้ที่มีเงินได้รวมไม่เกิน 150,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี
  • ผู้ที่มีเงินได้รวมไม่เกิน 300,000 บาท เสียภาษีในอัตรา 5%

กลยุทธ์:

  1. การกระจายเงินได้ (Income Splitting): หากบุคคลธรรมดานั้นมีคู่สมรสที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้น้อย สามารถโอนเงินได้บางส่วน (เช่น ค่าเช่า) ให้แก่คู่สมรสเพื่อแยกฐานการคำนวณภาษี (ถ้าทำได้ตามกฎหมาย) ซึ่งจะช่วยให้เงินได้ส่วนนั้นถูกคำนวณในอัตราที่ต่ำกว่า หรือได้รับการยกเว้นภาษี
  2. การควบคุมฐานภาษี: หากรู้ว่ารายได้รวมจะทำให้ตกอยู่ในฐานภาษีสูง (เช่น 25% หรือ 30%) ควรพิจารณาเลื่อนการรับรู้รายได้บางส่วนไปในปีถัดไป (เช่น เลื่อนการออกบิลค่าที่ปรึกษา) เพื่อไม่ให้รายได้รวมในปีปัจจุบันสูงเกินไป และใช้โอกาสนั้นเพิ่มการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี (SSF, RMF) เพื่อลดฐานภาษีลง

ข้อควรระวัง: การวางแผนภาษีจะต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและต้องมี หลักฐานการจ่ายเงินที่แท้จริงและสมเหตุสมผล เพื่อไม่ให้ถูกตีความว่าเป็นการทำธุรกรรมอำพราง (Tax Avoidance) ที่ผิดกฎหมาย

วิธีการช่วยบุคคล ประหยัดภาษีมากขึ้น โดยเลือกรูปแบบเงินได้ เงินเดือน ค่าเช่า ค่าที่ปรึกษา เงินปันผล
วิธีการช่วยบุคคล ประหยัดภาษีมากขึ้น โดยเลือกรูปแบบเงินได้ เงินเดือน ค่าเช่า ค่าที่ปรึกษา เงินปันผล

การช่วยให้บุคคลธรรมดาประหยัดภาษีได้มากขึ้นด้วยการใช้ ค่าลดหย่อน (Tax Deductions/Allowances) ต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนดนั้น เป็นกลยุทธ์สำคัญที่เรียกว่าการ “ลดฐานเงินได้สุทธิ”เมื่อฐานเงินได้สุทธิลดลง บุคคลนั้นจะถูกคำนวณภาษีในอัตราที่ต่ำลง หรือถูกคำนวณภาษีจากจำนวนเงินที่น้อยลง ซึ่งนำไปสู่การประหยัดภาษีได้มากขึ้นนั่นเองนี่คือการอธิบายโดยละเอียดถึงวิธีการใช้ประโยชน์จากค่าลดหย่อนแต่ละประเภทเพื่อเพิ่มความประหยัดภาษี:


1. การใช้ค่าลดหย่อน “บุคคล” (Personal Allowances)

ค่าลดหย่อนเหล่านี้มีผลกระทบสูงในการลดฐานภาษี และควรใช้สิทธิ์ให้ครบถ้วนที่สุด

ค่าลดหย่อน

จำนวนเงิน (ต่อปี)

วิธีใช้เพื่อประหยัดภาษี

ค่าลดหย่อนส่วนตัว60,000 บาททุกคนใช้ได้โดยอัตโนมัติ
คู่สมรส60,000 บาทใช้ได้เมื่อ สมรสจดทะเบียน และคู่สมรส ไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้ที่เลือกยื่นรวมกับของเรา
บุตรบุตรคนละ 30,000 บาท (ไม่จำกัดจำนวน)กลยุทธ์: ใช้ได้ถึงบุตรบรรลุนิติภาวะ (20 ปี) หรือศึกษาต่อ (ไม่เกินปริญญาตรี) บุตรคนที่สองเป็นต้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 ขึ้นไป ลดหย่อนเพิ่มอีกคนละ 30,000 บาท (รวมเป็น 60,000 บาท)
บิดามารดา (อุปการะ)บิดามารดาละ 30,000 บาท (สูงสุด 60,000 บาท)กลยุทธ์: ต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และ มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี (รวมค่าลดหย่อนบำนาญ) หากพี่น้องหลายคนช่วยกันอุปการะ ให้สิทธิ์ลดหย่อนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ควรตกลงกันว่าใครมีฐานภาษีสูงที่สุด คนนั้นควรใช้สิทธิ์เพื่อประหยัดภาษีรวมของครอบครัวสูงสุด
คนพิการ/ทุพพลภาพคนละ 60,000 บาทใช้ได้เมื่อผู้อุปการะ มีฐานภาษีสูง เพื่อนำเงินลดหย่อนจำนวนนี้ไปหักออกจากฐานภาษีที่อัตราสูง

2. การใช้ค่าลดหย่อน “ภาระหนี้สินและอสังหาริมทรัพย์”

ค่าลดหย่อนเหล่านี้ช่วยลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่

ค่าลดหย่อน

จำนวนเงิน (ต่อปี)

วิธีใช้เพื่อประหยัดภาษี

ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยตามที่จ่ายจริง สูงสุด 90,000 บาทกลยุทธ์: หากกู้ร่วมกับผู้อื่น (เช่น คู่สมรส) ให้แบ่งสัดส่วนการลดหย่อนดอกเบี้ย ตามจำนวนเงินที่กู้ร่วมกัน แต่รวมกันต้องไม่เกิน 90,000 บาท
โครงการบ้านหลังแรก(เป็นไปตามมาตรการรัฐบาลกำหนดเป็นครั้งคราว)ตรวจสอบมาตรการในแต่ละปี

3. การใช้ค่าลดหย่อน “เพื่อการวางแผนทางการเงิน” (Investment & Saving)

ค่าลดหย่อนกลุ่มนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการ วางแผนภาษีล่วงหน้า เนื่องจากเราสามารถ เลือกที่จะซื้อ/ลงทุน เพื่อรับสิทธิ์ลดหย่อนได้

ค่าลดหย่อน

จำนวนเงิน (สูงสุด)

วิธีใช้เพื่อประหยัดภาษี

ประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์สูงสุด 100,000 บาทกลยุทธ์: ควรเลือกซื้อกรมธรรม์ที่ให้ผลตอบแทนดี และ สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนได้เต็มจำนวน
ประกันสุขภาพสูงสุด 25,000 บาท (เมื่อรวมกับประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท)เป็นค่าลดหย่อนที่สำคัญสำหรับคนที่มีค่ารักษาพยาบาลสูง เพราะช่วยแบ่งเบาภาระภาษีได้
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)30% ของเงินได้ ที่ต้องเสียภาษี (ไม่เกิน 500,000 บาท)กลยุทธ์: เหมาะสำหรับ ผู้มีรายได้สูง และต้องการสะสมเงินเพื่อเกษียณอายุ สิทธิลดหย่อนจะ เพิ่มขึ้นตามฐานภาษี (ผู้ที่อยู่ในฐาน 35% จะประหยัดภาษีได้ 35 บาทต่อทุก 100 บาทที่ลงทุน)
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)30% ของเงินได้ ที่ต้องเสียภาษี (ไม่เกิน 200,000 บาท)กลยุทธ์: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ลดหย่อนภาษีระยะสั้น (ถือครอง 10 ปี) โดย SSF, RMF, ประกันบำนาญ, กบข/กสจ. รวมกันต้องไม่เกิน 500,000 บาท
ประกันบำนาญ15% ของเงินได้ ที่ต้องเสียภาษี (ไม่เกิน 200,000 บาท)เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินเพื่อบำนาญเพิ่มเติม

กลยุทธ์รวมสำหรับกลุ่มการเงิน:

บุคคลธรรมดาที่มีฐานภาษีสูง ควรคำนวณให้แน่ใจว่าได้ใช้สิทธิ์ RMF และ SSF ให้เต็มเพดาน (สูงสุด 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนบำนาญอื่น ๆ) เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ให้วงเงินลดหย่อนภาษีสูงสุด


สรุปหลักการวางแผนภาษีด้วยค่าลดหย่อน

  1. ใช้สิทธิ์บุคคลให้ครบก่อน: ตรวจสอบและใช้สิทธิ์ลดหย่อนส่วนตัว, คู่สมรส, บุตร, และบิดามารดาให้เต็มวงเงิน โดยเฉพาะการเลือกผู้ใช้สิทธิ์อุปการะบิดามารดาในผู้ที่มี ฐานภาษีสูงสุด
  2. เพิ่มสวัสดิการ: หากมีรายได้สูง (เกิน 500,000 บาทต่อปี) ควรพิจารณาซื้อ ประกันชีวิต/ประกันสุขภาพ เพื่อลดฐานภาษีสูงสุด 125,000 บาท
  3. ลงทุนเพื่อลดหย่อน: หากยังต้องเสียภาษีในอัตราสูง (เกิน 10%) ให้พิจารณาลงทุนใน RMF และ SSF เพื่อลดฐานภาษีให้มากที่สุดเท่าที่เพดานจะเอื้ออำนวย
  4. ตรวจสอบมาตรการพิเศษ: ติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น โครงการ “ช้อปดีมีคืน” หรือค่าลดหย่อนการศึกษาบุตรเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยลดหย่อนภาษีได้เป็นครั้งคราวไป
วิธีการช่วยบุคคล ประหยัดภาษีได้มากขึ้น โดยการเลือกใช้ค่าลดหย่อนต่างๆ
วิธีการช่วยบุคคล ประหยัดภาษีได้มากขึ้น โดยการเลือกใช้ค่าลดหย่อนต่างๆ

 

การเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจจาก บุคคลธรรมดา (Sole Proprietorship) เป็น นิติบุคคล (Company or Partnership) เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการประหยัดภาษี เมื่อธุรกิจมีการเติบโตและมีกำไรสุทธิสูง เนื่องจากอัตราภาษีที่แตกต่างกันอย่างมาก

การเปรียบเทียบอัตราภาษีหลัก

ประเภท

ฐานภาษี

อัตราภาษีสูงสุด

บุคคลธรรมดาเงินได้สุทธิ (หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน)0% ถึง 35% (แบบก้าวหน้า)
นิติบุคคล (SME)กำไรสุทธิ0% ถึง 20% (แบบคงที่/ขั้นบันไดสำหรับ SME)

การเปลี่ยนเป็นนิติบุคคลจะช่วยประหยัดภาษีได้มากขึ้น ด้วยวิธีการดังนี้:


1. ลดอัตราภาษีสูงสุด (Lower Tax Ceiling)

A. อัตราภาษีที่ต่ำกว่าสำหรับ SME

สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าบุคคลธรรมดามาก:

กำไรสุทธิ (ต่อปี)อัตราภาษี (นิติบุคคล SME)
0 – 300,000 บาทแรก0% (ยกเว้นภาษี)
300,001 – 3,000,000 บาท15%
เกิน 3,000,000 บาท20%

เมื่อเทียบกับอัตราภาษีบุคคลธรรมดาที่เริ่ม 20% เมื่อเงินได้สุทธิเกิน 500,000 บาท และพุ่งไปถึง 35% เมื่อเงินได้สุทธิเกิน 5,000,000 บาท การเปลี่ยนเป็นนิติบุคคลจึงช่วยประหยัดภาษีได้อย่างมากจุดคุ้มทุน: โดยทั่วไป ธุรกิจควรพิจารณาเปลี่ยนเป็นนิติบุคคลเมื่อมีกำไรสุทธิเกินกว่า 750,000 – 1,000,000 บาทต่อปี เพราะอัตราภาษีที่ 20% ของนิติบุคคลจะเริ่มคุ้มค่ากว่าอัตราก้าวหน้าของบุคคลธรรมดา


2. การบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่ “ยืดหยุ่น” กว่า

ในฐานะนิติบุคคล ธุรกิจสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานมาหักจากรายได้ได้ทั้งหมด ซึ่งมีความยืดหยุ่นกว่าการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายของบุคคลธรรมดา:

A. จ่ายเงินเดือนให้ตนเอง

เมื่อเปลี่ยนเป็นบริษัท เจ้าของสามารถจ่าย เงินเดือนกรรมการ/ผู้จัดการ ให้ตนเองได้ ซึ่งถือเป็น ค่าใช้จ่ายของบริษัท

  • บริษัท: บันทึกเงินเดือนกรรมการเป็นรายจ่าย ทำให้ กำไรบริษัทลดลง (และเสียภาษีนิติบุคคลน้อยลง)
  • บุคคลธรรมดา (กรรมการ): เงินเดือนที่ได้รับจะถูกคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่สามารถใช้ ค่าลดหย่อนส่วนตัว และสิทธิอื่น ๆ ได้ครบถ้วน

กลยุทธ์คือ: กำหนดเงินเดือนให้อยู่ในระดับที่หลังจากหักค่าลดหย่อนแล้ว อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอยู่ในช่วงต่ำ (เช่น 5% หรือ 10%) เพื่อบริหารจัดการภาษีรวมทั้งระบบให้ต่ำที่สุด

B. หักค่าใช้จ่ายและค่าเสื่อมราคา

  • ค่าใช้จ่ายที่ชัดเจน: นิติบุคคลสามารถหักค่าใช้จ่ายที่พิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องกับกิจการทั้งหมด เช่น ค่ารับรองลูกค้า, ค่าน้ำมัน, ค่าเดินทาง, ค่าโฆษณา (ต้องมีเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย)
  • ค่าเสื่อมราคา (Depreciation): สามารถนำค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ (เช่น รถยนต์, คอมพิวเตอร์) มาหักเป็นค่าใช้จ่ายบริษัทได้ทุกปี ซึ่งเป็นรายจ่ายทางบัญชีที่ ไม่ได้มีการจ่ายเงินสดออกไปจริง แต่ช่วยลดกำไรที่ต้องเสียภาษีได้

3. การบริหาร “ภาษีซ้ำซ้อน” (Dual Taxation Management)

ข้อเสียเดียวของการเป็นนิติบุคคลคือ ภาษีซ้ำซ้อน (Double Taxation) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อบริษัททำกำไรและเสียภาษี (นิติบุคคล) แล้ว เมื่อจ่ายเงินส่วนนี้ออกมาในรูปแบบ เงินปันผล ให้แก่เจ้าของ/ผู้ถือหุ้น เงินปันผลนั้นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายอีกครั้ง (บุคคลธรรมดา)

กลยุทธ์เพื่อลดภาระภาษีซ้ำซ้อน:

  1. เลือก Final Tax สำหรับเงินปันผล: เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ผู้ถือหุ้นสามารถเลือกที่จะ ไม่นำเงินปันผลนี้มารวมคำนวณ กับเงินได้ประเภทอื่น ๆ (Final Tax) ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่มีฐานภาษีบุคคลธรรมดา สูงกว่า 10% (เช่น 15% ขึ้นไป)
  2. เครดิตภาษีเงินปันผล: ผู้ถือหุ้นสามารถใช้สิทธิ์ เครดิตภาษี เงินปันผล เพื่อขอคืนภาษีส่วนที่บริษัทจ่ายไปแล้วได้ ทำให้ภาระภาษีรวมลดลง
  3. เก็บกำไรไว้ในบริษัท: บริษัทสามารถเลือก ไม่จ่ายเงินปันผล แต่เก็บกำไรสะสมไว้ในบริษัทเพื่อใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจ ซึ่งกำไรส่วนที่เก็บไว้จะเสียภาษีเพียงอัตรานิติบุคคล (สูงสุด 20%) เท่านั้น โดยไม่มีภาระภาษีบุคคลธรรมดา

สรุป: การเปลี่ยนเป็นนิติบุคคลเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยประหยัดภาษีได้อย่างมหาศาลสำหรับธุรกิจที่มีกำไรสูง โดยเปลี่ยนอัตราภาษีสูงสุดจาก 35% เป็น 20% และเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและการวางแผนเงินเดือนค่ะ

วิธีการช่วยบุคคล ประหยัดภาษีได้มากขึ้น โดยวิธีเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจจากบุคคล เป็นนิติบุคคล
วิธีการช่วยบุคคล ประหยัดภาษีได้มากขึ้น โดยวิธีเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจจากบุคคล เป็นนิติบุคคล

AccProTax รับทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี วางแผนภาษี ประสบการณ์กว่า 25 ปี

วางแผนภาษีกับ AccProTax

“สะดวก รวดเร็ว เข้าใจ ให้คำปรึกษาเชิงรุก”  คือสิ่งที่ AccProTax ให้ความสำคัญ

เพราะเราเข้าใจดีว่า “เรื่องภาษี” ไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้ AccProTax จึงมุ่งเน้นการวางระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการตีความผิดพลาดและลดความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บย้อนหลัง ทีมงานของเรามีประสบการณ์กว่า 25 ปี ในการให้บริการทั้งการทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี และวางแผนภาษีอย่างรอบด้าน พร้อมคำปรึกษาที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน

เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/accprotax/

📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ
บริการประทับใจ ด้วยทีมงานมืออาชีพ

เริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดทำบัญชี วางแผนภาษี และการขอใบอนุญาตต่างๆ อย่างถูกต้อง มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และใช้ระยะเวลานาน การมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านงานจดทะเบียนธุรกิจเป็นที่ปรึกษาและวางแผนอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งข้อมูลต่อทางการอย่างถูกต้อง เป็นหัวใจสำคัญของก้าวแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจ เรายินดีให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่าน พร้อมให้คำแนะนำในด้านการจดทะเบียน บริษัท(บจก.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) อย่างครบวงจร รวมถึง จัดทำบัญชี และวางแผนภาษี (Tax Planning) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูล เรายินดีช่วยเหลือ ให้บริการที่รวดเร็ว ทันเวลา ราคาเหมาะสม คุยอย่างเป็นกันเอง ยินดีให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

กรุณากรอกข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญติดต่อกลับ ให้คำปรึกษาที่ตรงกับความต้องการของคุณได้อย่างรวดเร็ว

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่