ข้อกำหนดตราประทับบริษัท-หจก.

ข้อกำหนดตราประทับบริษัท-หจก. ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) กำหนดลักษณะต้องห้ามของตราประทับ (ตรายาง) ของบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัดไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้มีความเหมาะสม เป็นทางการ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดี

นี่คือรายละเอียดของลักษณะต้องห้ามหลัก ๆ ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณา:


1. ลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย

ลักษณะต้องห้ามที่ขัดต่อกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยตรง ได้แก่:

  • 1.1 ตราประทับที่มีพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และพระราชลัญจกร: ห้ามใช้พระบรมฉายาลักษณ์ พระนาม หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์โดยไม่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต
  • 1.2 ตราแผ่นดินและเครื่องหมายราชการ: ห้ามใช้ตราแผ่นดิน ตราประจำกระทรวง ทบวง กรม หรือเครื่องหมายราชการอื่น ๆ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานนั้น ๆ
  • 1.3 ธงชาติหรือธงต่างประเทศ: ห้ามใช้ธงชาติไทย หรือธงชาติของประเทศอื่น ๆ เป็นองค์ประกอบหลักของตราประทับ
  • 1.4 เครื่องหมายกาชาด สัญลักษณ์แห่งชาติ และเครื่องหมายขององค์การระหว่างประเทศ: ห้ามใช้เครื่องหมายกาชาด สัญลักษณ์ขององค์การสหประชาชาติ (UN) หรือสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายหรืออนุสัญญา
  • 1.5 เหรียญตรา เครื่องราชอิสริยาภรณ์: ห้ามใช้เหรียญตรา เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงเกียรติยศที่สงวนไว้สำหรับทางราชการ
    ลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย
    ลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย

2. ลักษณะต้องห้ามที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หรือขัดต่อศีลธรรม

ลักษณะเหล่านี้ถูกห้ามเพื่อป้องกันการหลอกลวงประชาชนหรือการสร้างความเสื่อมเสีย:

  • 2.1 ตราประทับที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน: เช่น ตราประทับที่มีภาพลามกอนาจาร รูปภาพที่สื่อถึงความรุนแรง การพนัน หรือสิ่งผิดกฎหมาย
  • 2.2 ตราประทับที่ก่อให้เกิดความสับสนกับองค์กรอื่น: ห้ามใช้ตราประทับที่มีรูปร่าง สี หรือข้อความที่คล้ายคลึงกับตราประทับของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้ก่อนแล้วอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันการแอบอ้างหรือความสับสน
  • 2.3 การใช้ชื่อที่ไม่เหมาะสม: ห้ามใช้ชื่อหรือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมุ่งร้าย ก่อให้เกิดความแตกแยก หรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในลักษณะการประกอบธุรกิจ (เช่น การใช้คำว่า “ธนาคาร” หรือ “บริษัทมหาชน” หากไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

3. ข้อกำหนดด้านความชัดเจนและการพิมพ์

แม้จะไม่ใช่ข้อห้ามโดยตรง แต่เป็นข้อกำหนดที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้ตราประทับใช้การได้:

  • 3.1 ต้องมีความคมชัด: ตราประทับที่ใช้ประทับเอกสารต้องมีความชัดเจน สามารถอ่านข้อความหรือมองเห็นสัญลักษณ์ได้อย่างชัดเจน
  • 3.2 ตราประทับที่ซับซ้อนเกินไป: ตราประทับที่มีลวดลายละเอียดมากเกินไปจนไม่สามารถมองเห็นความหมายได้เมื่อย่อส่วนลงบนเอกสาร อาจถูกพิจารณาว่าใช้งานไม่ได้จริงและอาจมีปัญหาในการรับรองเอกสาร

หมายเหตุ: โดยทั่วไปแล้ว บริษัทและห้างหุ้นส่วนจำกัด ไม่จำเป็นต้องใช้ตราประทับ ในการจดทะเบียนเสมอไป (กฎหมายอนุญาตให้ใช้ลายมือชื่อกรรมการแทนได้) อย่างไรก็ตาม หากเลือกที่จะมีและใช้ตราประทับ ตราประทับนั้นต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนดไว้ข้างต้นค่ะ


กิจการสามารถเลือกที่จะ มีตราประทับหรือไม่ก็ได้ สำหรับการดำเนินการทางกฎหมายส่วนใหญ่ในปัจจุบัน แต่ถ้าตัดสินใจใช้ตราประทับ บริษัทจะต้องกำหนดเงื่อนไขการใช้ไว้ในข้อบังคับของบริษัทอย่างชัดเจน


1. การกำหนดให้มีหรือไม่มีตราประทับของกิจการ

ตามกฎหมายบริษัทจำกัดของไทยในปัจจุบัน กิจการสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ตราประทับหรือไม่

  • ไม่จำเป็นต้องมีตราประทับ: ในทางปฏิบัติและการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท การเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือการทำธุรกรรมส่วนใหญ่ ไม่บังคับ ให้ต้องใช้ตราประทับ กฎหมายยอมรับให้ใช้ ลายมือชื่อของผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท เป็นหลักฐานเพียงพอในการแสดงเจตนาผูกพันทางกฎหมาย
  • หากมีต้องใช้ตามที่กำหนด: หากบริษัทเลือกที่จะมีตราประทับเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ เอกสารสำคัญ สัญญา หรือเช็ค บริษัทจะต้องระบุเงื่อนไขการใช้ตราประทับไว้ใน ข้อบังคับของบริษัท และ/หรือ หนังสือนำส่งการจดทะเบียน ให้ชัดเจน

2. การระบุเงื่อนไขการลงนามและประทับตราสำคัญ

ในขั้นตอนการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน หรือเมื่อมีการแก้ไขข้อบังคับของบริษัท บริษัทจะต้องระบุเงื่อนไขและวิธีการลงนามผูกพันบริษัทไว้ใน ข้อบังคับของบริษัท และ แบบ บอจ. 3 (แบบแสดงรายการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท)

ตัวอย่างของการระบุข้อความในหนังสือรับรอง เช่น “ลงลายมือชื่อของผู้มีอำนาจและประทับตราสำคัญของบริษัท ใช่หรือไม่” นั้น ขึ้นอยู่กับการกำหนดของบริษัทเอง โดยสามารถกำหนดได้หลายรูปแบบ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

ตัวอย่างการกำหนดอำนาจลงนาม

รูปแบบการกำหนด

ความหมายและผลทางกฎหมาย

เหมาะกับกิจการแบบใด

1. ลงลายมือชื่อกรรมการ 1 คน และประทับตราสำคัญของบริษัทกรรมการคนเดียวสามารถทำธุรกรรมได้ แต่ทุกครั้งต้องมีตราประทับประกอบด้วยกิจการขนาดเล็ก-กลาง ที่ต้องการความรวดเร็วในการตัดสินใจ แต่ยังต้องการความน่าเชื่อถือจากตราประทับ
2. ลงลายมือชื่อกรรมการ 2 คนร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัทการทำธุรกรรมต้องเกิดจากการเห็นชอบร่วมกันของกรรมการ 2 คน และต้องประทับตราทุกครั้งกิจการที่มีผู้ร่วมทุนหลายฝ่าย ที่ต้องการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างเข้มงวด
3. ลงลายมือชื่อกรรมการ 1 คน (โดยไม่มีการประทับตรา)กรรมการคนเดียวสามารถทำธุรกรรมได้โดยไม่ต้องใช้ตราประทับ ซึ่งเป็นรูปแบบที่รวดเร็วและเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันกิจการที่เน้นความคล่องตัว หรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับตราประทับในการทำธุรกรรม
4. ลงลายมือชื่อกรรมการ 2 ใน 3 คนที่เข้าประชุมเป็นเงื่อนไขที่ซับซ้อน มักใช้ในการลงนามในเอกสารภายใน หรือในกรณีพิเศษ ขึ้นอยู่กับข้อบังคับกิจการที่มีคณะกรรมการหลายคนและต้องการกำหนดสัดส่วนอำนาจ
การกำหนดให้มีหรือไม่มีตราประทับของกิจการ
การกำหนดให้มีหรือไม่มีตราประทับของกิจการ

ตัวอย่างการระบุในแบบจดทะเบียน (บอจ. 3)

หากบริษัทตัดสินใจเลือกใช้ตราประทับเป็นส่วนหนึ่งของการผูกพันนิติบุคคล การระบุในแบบจดทะเบียนจะต้องชัดเจนและรัดกุม เช่น:

“กรรมการสองคนลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท”

หรือ

“กรรมการหนึ่งคนลงลายมือชื่อ และประทับตราสำคัญของบริษัท”

ข้อควรทราบ: หากบริษัทระบุเงื่อนไขว่า “ต้องมีตราประทับ” แล้ว ในทางปฏิบัติ บริษัทจะต้องประทับตราในเอกสารสำคัญทุกฉบับที่ต้องการผูกพันบริษัทตามที่ระบุไว้ หากเอกสารนั้นมีเพียงลายมือชื่อกรรมการแต่ ไม่มีตราประทับ (ทั้งที่เงื่อนไขระบุว่าต้องมี) อาจทำให้ธุรกรรมนั้น ไม่สมบูรณ์ ตามกฎหมาย

การจดทะเบียนตราประทับของกิจการต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) มีหลักเกณฑ์ที่กำหนดความชัดเจนและความแตกต่างของตราประทับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการระบุชื่อและสีที่ใช้


1. การระบุชื่อกิจการในตราประทับ

กิจการ ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนไว้ในตราประทับเสมอไป สามารถใช้เพียงรูปโลโก้หรือสัญลักษณ์อย่างเดียวเพื่อจดทะเบียนได้

อย่างไรก็ตาม การมีชื่อกิจการหรือชื่อย่อรวมอยู่ในตราประทับนั้น เป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลดังนี้:

  • 1.1 เพื่อความชัดเจนในการผูกพันนิติบุคคล: ตราประทับมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงเจตนาผูกพันทางกฎหมายของนิติบุคคล การมีชื่อกิจการปรากฏอยู่จะช่วยยืนยันและแยกแยะว่าการกระทำนั้น ๆ เป็นการกระทำในนามของบริษัทใดอย่างชัดเจน เมื่อใช้ร่วมกับลายมือชื่อผู้มีอำนาจลงนาม
  • 1.2 ป้องกันความสับสน: ตราประทับที่มีแต่รูปภาพอย่างเดียว อาจก่อให้เกิดความสับสนหรือเข้าใจผิดได้ง่าย หากมีสัญลักษณ์คล้ายกับบริษัทอื่นหรือตราสัญลักษณ์ทั่วไป
  • 1.3 การพิจารณาของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD): แม้กฎหมายจะไม่บังคับ แต่ในการพิจารณาจดทะเบียน ตราประทับที่มีชื่อกิจการที่จดทะเบียนอยู่ด้วย จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบและอนุมัติความแตกต่างจากตราประทับของกิจการอื่นได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

2. เหตุผลที่ตราประทับไม่ควรใช้หมึกสีดำ

โดยทั่วไป ไม่แนะนำให้ใช้หมึกสีดำ สำหรับการประทับตราสำคัญของบริษัทบนเอกสารราชการหรือเอกสารสำคัญทางกฎหมาย เนื่องจากเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับการแยกแยะความแตกต่างระหว่าง เอกสารต้นฉบับ กับ เอกสารสำเนา ดังนี้:

ลักษณะที่แตกต่าง

สีดำ (ไม่ควรใช้)

สีอื่น ๆ (แนะนำให้ใช้)

เอกสารต้นฉบับหากประทับตราด้วยหมึกสีดำ เมื่อนำเอกสารไปถ่ายสำเนาหรือสแกน ภาพของหมึกดำจะเหมือนกับตัวอักษรพิมพ์ดีดสีดำเมื่อประทับตราด้วยหมึก สีน้ำเงิน (นิยมใช้ที่สุด), สีม่วง, หรือสีแดง ลายตราประทับจะยังคงปรากฏเป็นสีนั้น ๆ
เอกสารสำเนาเมื่อสำเนาเอกสารออกมา จะ ไม่สามารถแยกออกได้ด้วยตาเปล่า ว่าส่วนใดคือลายเซ็น/ตราประทับ ต้นฉบับ และส่วนใดคือลายเซ็น/ตราประทับที่มาจากการ สำเนาเมื่อสำเนาเอกสารออกมา ตราประทับจะมีลักษณะ เป็นสีดำ ในขณะที่ตราประทับต้นฉบับเป็นสีอื่น ทำให้สามารถ ยืนยันเอกสารต้นฉบับได้ทันที

ความสำคัญทางกฎหมาย

การแยกแยะเอกสารต้นฉบับมีความสำคัญอย่างยิ่งในการทำธุรกรรมที่ต้องใช้การลงลายมือชื่อและประทับตรา เช่น การออกเช็ค สัญญาสำคัญ หรือการรับรองเอกสารต่อหน้าเจ้าหน้าที่ราชการ เพราะป้องกันการปลอมแปลงหรือการใช้สำเนาที่ไม่ได้รับอนุญาตในการผูกพันบริษัท

ดังนั้น การใช้หมึกสีที่ไม่ใช่สีดำจึงเป็น แนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยทางกฎหมายให้กับเอกสารของบริษัทค่ะ

กิจการ ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนไว้ในตราประทับเสมอไป
กิจการ ไม่จำเป็นต้องระบุชื่อบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนไว้ในตราประทับเสมอไป

การระบุชื่อกิจการในตราประทับนั้น ต้องมีคำแสดงประเภทของนิติบุคคล (เช่น “บริษัท”, “ห้างหุ้นส่วนจำกัด”) อยู่ด้วยเสมอ เพื่อให้บุคคลภายนอกทราบถึงประเภทและความรับผิดชอบทางกฎหมายของกิจการนั้น ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นไปตามหลักการจดทะเบียนของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD)


ความจำเป็นของการระบุประเภทนิติบุคคลในตราประทับ

ตราประทับของกิจการถือเป็น ตราสำคัญ ที่ใช้แสดงเจตนาผูกพันทางกฎหมายของนิติบุคคล การระบุคำแสดงประเภทนิติบุคคลจึงมีความสำคัญดังนี้:

  1. การระบุตัวตนทางกฎหมาย: เป็นการบ่งบอกสถานะทางกฎหมายของกิจการทันที เช่น บริษัทจำกัดมีผู้ถือหุ้นรับผิดชอบจำกัด (Limited Liability) ในขณะที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดมีหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด
  2. การป้องกันความเข้าใจผิด: ป้องกันการสับสนระหว่างนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา หรือระหว่างนิติบุคคลประเภทต่าง ๆ
  3. การเป็นไปตามข้อบังคับ: แม้กฎหมายปัจจุบันจะไม่บังคับให้ต้องมีตราประทับ แต่หากเลือกที่จะมีและใช้ในการทำธุรกรรม ตราประทับนั้นควรสอดคล้องกับชื่อที่จดทะเบียนไว้

รูปแบบการระบุชื่อกิจการในตราประทับ

ชื่อกิจการในตราประทับจะต้อง ตรงกับชื่อที่ได้จดทะเบียนไว้ กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยต้องมีคำแสดงประเภทนิติบุคคลอยู่ด้วย

1. กรณี บริษัทจำกัด

คำแสดงประเภทนิติบุคคลที่ต้องใช้คือ “บริษัท” หรือ “จำกัด” หรือทั้งสองคำ โดยสามารถกำหนดได้หลายรูปแบบ ดังนี้:

ชื่อที่จดทะเบียน

รูปแบบการแสดงในตราประทับที่ถูกต้อง

รูปแบบอื่นที่อนุโลม

บริษัท สมาร์ท เทค จำกัดบริษัท สมาร์ท เทค จำกัดสมาร์ท เทค (ไม่แนะนำ)
บริษัท สยามโลจิสติกส์ จำกัดบริษัท สยามโลจิสติกส์ จำกัดสยามโลจิสติกส์ (ไม่แนะนำ)

ข้อสังเกต: การใช้คำว่า “จำกัด” หรือ “บจก.” (กรณีจดทะเบียนเป็นภาษาไทย) หรือ “Co., Ltd.” หรือ “Ltd.” (กรณีจดทะเบียนเป็นภาษาอังกฤษ) ถือเป็นการแสดงประเภทนิติบุคคลที่ครบถ้วนแล้ว

2. กรณี ห้างหุ้นส่วนจำกัด

คำแสดงประเภทนิติบุคคลที่ต้องใช้คือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” หรือ “หจก.” (ในภาษาไทย)

ชื่อที่จดทะเบียน

รูปแบบการแสดงในตราประทับที่ถูกต้อง

รูปแบบอื่นที่อนุโลม

ห้างหุ้นส่วนจำกัด พัฒนาการก่อสร้างห้างหุ้นส่วนจำกัด พัฒนาการก่อสร้างหจก. พัฒนาการก่อสร้าง
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอเชียเทรดดิ้งเอเชียเทรดดิ้ง (ห.จ.ก.)เอเชียเทรดดิ้ง (ไม่แนะนำ)

ข้อสังเกต: ต้องมีการระบุคำว่า “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” หรือ “หจก.” อย่างชัดเจน เพื่อให้บุคคลภายนอกรับทราบถึงความแตกต่างจากห้างหุ้นส่วนสามัญ (ซึ่งไม่มีการจำกัดความรับผิดของหุ้นส่วนทุกคน)


💡 สรุปและข้อแนะนำ

แม้ว่าตราประทับสามารถใช้รูปโลโก้เพียงอย่างเดียวในการจดทะเบียนได้ แต่ในทางปฏิบัติและเพื่อความรัดกุมทางกฎหมาย ควรมีชื่อกิจการพร้อมคำแสดงประเภทนิติบุคคลในตราประทับเสมอ เพื่อให้เอกสารสำคัญทุกฉบับมีความสมบูรณ์ที่สุด และไม่มีปัญหาในการตรวจสอบธุรกรรมโดยหน่วยงานราชการหรือธนาคารค่ะ

ความจำเป็นของการระบุประเภทนิติบุคคลในตราประทับ
ความจำเป็นของการระบุประเภทนิติบุคคลในตราประทับ

การที่บริษัทจดทะเบียนจัดตั้งโดยไม่ได้แจ้งขอมีตราประทับในตอนแรก แต่ต่อมาภายหลังต้องการนำตราประทับมาใช้เป็นเงื่อนไขในการลงนามผูกพันบริษัท สามารถทำได้ โดยต้องดำเนินการ “จดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม” อำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ให้สอดคล้องกับข้อบังคับใหม่ของบริษัท

นี่คือรายละเอียดขั้นตอนและสิ่งที่ต้องดำเนินการ:


เหตุผลที่ต้องจดทะเบียนแก้ไข

อำนาจการลงนามผูกพันบริษัทถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้น หากบริษัทต้องการให้ตราประทับมีผลทางกฎหมายในการทำธุรกรรม (เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร การทำสัญญา) บริษัทต้องดำเนินการแก้ไขเงื่อนไขอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทให้มีคำว่า “และประทับตราสำคัญของบริษัท” ปรากฏอยู่ในการจดทะเบียนกับ DBD

หากบริษัทเริ่มใช้ตราประทับโดยไม่ได้แก้ไขการจดทะเบียน เงื่อนไขการลงนามที่ระบุไว้เดิมจะยังมีผลอยู่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาได้ เช่น:

  1. ธนาคารปฏิเสธการทำธุรกรรม: หากเช็คหรือเอกสารสำคัญมีตราประทับ แต่เงื่อนไขที่จดทะเบียนไว้เดิมไม่กำหนดให้ต้องมีตราประทับ อาจทำให้เกิดความสับสนหรือปฏิเสธการทำธุรกรรม
  2. ความไม่สมบูรณ์ของสัญญา: ในทางกฎหมาย หากอำนาจที่จดทะเบียนระบุว่า ต้อง มีตราประทับ แต่สัญญากลับไม่มี อาจทำให้สัญญานั้นไม่สมบูรณ์ตามที่บริษัทได้กำหนดไว้

ขั้นตอนการจดทะเบียนแก้ไขอำนาจลงนามและตราประทับ

การแก้ไขอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสำคัญของบริษัท ซึ่งต้องผ่านกระบวนการดังนี้:

1. การตัดสินใจและอนุมัติ (มติพิเศษ)

อำนาจการลงนามผูกพันบริษัทถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับข้อบังคับของบริษัท (Articles of Association) ซึ่งต้องผ่านการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น:

  • เรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น: กรรมการต้องเรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น (General Meeting) อาจเป็นประชุมสามัญประจำปี (AGM) หรือวิสามัญ (EGM)
  • มติพิเศษ (Special Resolution): ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นต้องมีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับและ/หรือแก้ไขอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท โดยมติดังกล่าวต้องเป็น มติพิเศษ ซึ่งหมายถึงต้องได้รับคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า สามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง

2. การยื่นจดทะเบียนต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD)

หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติแล้ว บริษัทต้องยื่นคำขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมภายใน 14 วัน นับจากวันที่ลงมติ โดยใช้เอกสารหลักดังต่อไปนี้:

เอกสารที่ต้องใช้

รายละเอียดการดำเนินการ

คำขอจดทะเบียน (แบบ บอจ. 4)ระบุรายการที่ขอแก้ไข คือ “อำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท” และ/หรือ “ข้อบังคับ”
รายงานการประชุมผู้ถือหุ้นฉบับจริงที่แสดงการลงมติพิเศษในการแก้ไขอำนาจลงนามและการนำตราประทับมาใช้
แบบแสดงรายละเอียดอำนาจกรรมการระบุข้อความใหม่ที่ต้องการจดทะเบียน เช่น “กรรมการสองคนลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท”
เอกสารแนบอื่น ๆอาจรวมถึงสำเนาข้อบังคับที่แก้ไขแล้ว (ถ้ามีการแก้ไข) และสำเนาตราประทับที่บริษัทจะนำไปใช้

ตัวอย่างการแก้ไขอำนาจลงนาม

สมมติว่าตอนเริ่มต้นบริษัทจดทะเบียนอำนาจลงนามไว้ดังนี้:

สถานะเดิม (ก่อนแก้ไข)

กรรมการหนึ่งคนลงลายมือชื่อผูกพันบริษัท
(ไม่มีคำว่า “และประทับตราสำคัญของบริษัท”)

เมื่อบริษัทต้องการนำตราประทับมาใช้ และเพื่อให้การทำธุรกรรมต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลมากขึ้น บริษัทต้องดำเนินการแก้ไขให้มีข้อความใหม่ดังนี้:

สถานะใหม่ (หลังแก้ไข)

กรรมการสองคนลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท
(ข้อความนี้จะถูกยื่นจดทะเบียน และเป็นเงื่อนไขใหม่ในการทำธุรกรรม)

สรุป: การเปลี่ยนให้มีตราประทับเป็นการ แก้ไขอำนาจกรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัท ซึ่งทำได้โดยการเรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ลงมติพิเศษ และนำไปจดทะเบียนแก้ไขกับ DBD ให้เป็นทางการ

การจดทะเบียนแก้ไขอำนาจลงนามและตราประทับ
การจดทะเบียนแก้ไขอำนาจลงนามและตราประทับ

การที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดจะเลือก มี หรือ ไม่มี ตราประทับนั้น มีทั้งข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับลักษณะธุรกิจ ความคล่องตัวที่ต้องการ และความน่าเชื่อถือที่ต้องการแสดงต่อคู่ค้า


สรุปข้อดีและข้อด้อยของการมีตราประทับ

ลักษณะ

ข้อดี (Advantages)

ข้อด้อย (Disadvantages)

✅ การมีตราประทับ1. ความน่าเชื่อถือ: เพิ่มความน่าเชื่อถือและความเป็นทางการให้กับเอกสาร โดยเฉพาะการติดต่อกับหน่วยงานราชการหรือต่างประเทศ1. ความเสี่ยงในการปลอมแปลง: หากตรายางสูญหายหรือถูกขโมย อาจถูกนำไปใช้ในการปลอมแปลงเอกสารสำคัญได้
 2. การตรวจสอบถ่วงดุล: หากกำหนดให้การลงนามต้องมีกรรมการ 2 คน และ ประทับตรา จะช่วยเพิ่มการตรวจสอบการทำธุรกรรม2. ความยุ่งยากและความล่าช้า: การทำธุรกรรมในชีวิตประจำวันต้องใช้ตราประทับทุกครั้ง ทำให้ไม่คล่องตัวและล่าช้า (เช่น การเซ็นเช็ค การอนุมัติเอกสาร)
 3. การแยกแยะเอกสารต้นฉบับ: เมื่อใช้หมึกสีอื่นที่ไม่ใช่สีดำ จะช่วยให้แยกแยะเอกสารต้นฉบับออกจากสำเนาได้ทันที3. ภาระในการเก็บรักษา: ต้องมีการดูแลและจัดเก็บตรายางอย่างเข้มงวด
❌ การไม่มีตราประทับ1. ความคล่องตัวและรวดเร็ว: การทำธุรกรรมสามารถเสร็จสิ้นได้ด้วยลายมือชื่อกรรมการเพียงอย่างเดียว ทำให้มีความรวดเร็วและคล่องตัวสูง1. ความน่าเชื่อถือลดลงในบางกรณี: องค์กรขนาดใหญ่หรือหน่วยงานราชการบางแห่งอาจยังคงให้ความสำคัญกับเอกสารที่มีตราประทับ
 2. ลดความเสี่ยงในการปลอมแปลง: ไม่มีความเสี่ยงจากการนำตรายางไปใช้ในทางที่ผิด มีเพียงความเสี่ยงจากการปลอมลายมือชื่อเท่านั้น2. การตรวจสอบถ่วงดุลน้อยกว่า: การกำหนดอำนาจลงนามอาจทำได้เพียงการเพิ่มจำนวนกรรมการที่ต้องลงนามร่วมกัน แต่ไม่มีการยืนยันด้วยตราสำคัญ
 3. ไม่จำเป็นตามกฎหมาย: กฎหมายปัจจุบันยอมรับลายมือชื่อกรรมการผูกพันนิติบุคคลอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองเวลาทำตราประทับ3. อาจไม่เป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ: บางประเทศหรือบางธนาคารในต่างประเทศยังคงกำหนดให้ต้องมี Corporate Seal ในการทำธุรกรรมสำคัญ

สรุปแนวโน้มการใช้งาน

  • ธุรกิจยุคใหม่และสตาร์ทอัพ: ส่วนใหญ่มักเลือก ไม่มีตราประทับ เป็นเงื่อนไขบังคับในการลงนาม เพื่อเน้นความรวดเร็วและความคล่องตัวในการดำเนินงาน
  • ธุรกิจขนาดใหญ่หรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง: มักเลือก มีตราประทับ และกำหนดเงื่อนไขให้ ลายมือชื่อกรรมการ + ตราประทับ เป็นอำนาจผูกพัน เพื่อเพิ่มระดับการตรวจสอบถ่วงดุลและสร้างความน่าเชื่อถือแก่คู่ค้า
สรุปข้อดีและข้อด้อยของการมีตราประทับ

AccProTax รับทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี วางแผนภาษี ประสบการณ์กว่า 25 ปี

วางแผนภาษีกับ AccProTax

“สะดวก รวดเร็ว เข้าใจ ให้คำปรึกษาเชิงรุก”  คือสิ่งที่ AccProTax ให้ความสำคัญ

เพราะเราเข้าใจดีว่า “เรื่องภาษี” ไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้ AccProTax จึงมุ่งเน้นการวางระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการตีความผิดพลาดและลดความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บย้อนหลัง ทีมงานของเรามีประสบการณ์กว่า 25 ปี ในการให้บริการทั้งการทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี และวางแผนภาษีอย่างรอบด้าน พร้อมคำปรึกษาที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน

เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/accprotax/

📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ
บริการประทับใจ ด้วยทีมงานมืออาชีพ

เริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดทำบัญชี วางแผนภาษี และการขอใบอนุญาตต่างๆ อย่างถูกต้อง มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และใช้ระยะเวลานาน การมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านงานจดทะเบียนธุรกิจเป็นที่ปรึกษาและวางแผนอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งข้อมูลต่อทางการอย่างถูกต้อง เป็นหัวใจสำคัญของก้าวแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจ เรายินดีให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่าน พร้อมให้คำแนะนำในด้านการจดทะเบียน บริษัท(บจก.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) อย่างครบวงจร รวมถึง จัดทำบัญชี และวางแผนภาษี (Tax Planning) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูล เรายินดีช่วยเหลือ ให้บริการที่รวดเร็ว ทันเวลา ราคาเหมาะสม คุยอย่างเป็นกันเอง ยินดีให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

กรุณากรอกข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญติดต่อกลับ ให้คำปรึกษาที่ตรงกับความต้องการของคุณได้อย่างรวดเร็ว

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่