สาเหตุยอดขายดี แต่เงินสดไม่มีในกิจการกลับไม่พอใช้ เป็นปัญหาที่พบบ่อยสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะไม่มีการบันทึกบัญชีที่ถูกต้อง แต่ยังมีสาเหตุเชิงลึกอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกระแสเงินสดโดยตรง
ทำไมการไม่มีการบันทึกบัญชีที่ถูกต้องจึงทำให้เงินสดขาดมือ?
การไม่มีการบันทึกบัญชีที่ถูกต้องเหมือนกับการที่คุณขับรถโดยไม่มีมาตรวัดความเร็วและน้ำมัน คุณจะรู้ว่าคุณกำลังเคลื่อนที่ (ยอดขายดี) แต่คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังใช้จ่ายเชื้อเพลิงไปเท่าไร (ค่าใช้จ่าย) และมีเชื้อเพลิงเหลืออยู่แค่ไหน (เงินสดคงเหลือ)
- ไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริง: หากไม่ได้บันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างถูกต้อง คุณอาจคิดว่ากำไรของคุณสูงกว่าที่เป็นจริง ทำให้คุณใช้จ่ายเกินตัว
- ไม่เห็นภาพรวม: การไม่บันทึกบัญชีทำให้คุณมองไม่เห็นภาพรวมของสุขภาพทางการเงินของกิจการ คุณอาจไม่รู้ว่าเงินไปอยู่ตรงไหนบ้าง และไม่สามารถวางแผนการใช้จ่ายในอนาคตได้
สาเหตุหลักที่ทำให้ยอดขายดีแต่เงินสดขาดมือ
นอกเหนือจากการไม่มีการบันทึกบัญชีที่ถูกต้องแล้ว ยังมีสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เงินสดในกิจการไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน
1. การจัดการหนี้สินและลูกหนี้การค้าที่ไม่ดี
- หนี้สินที่ต้องชำระทันที: กิจการอาจมีภาระหนี้สินระยะสั้นที่ต้องชำระคืนในจำนวนมาก ทำให้เงินสดที่เข้ามาถูกนำไปใช้หนี้ทันทีจนหมด
- ลูกหนี้การค้าที่เก็บเงินไม่ได้: การขายสินค้าหรือบริการแบบเครดิตจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากลูกค้าจ่ายเงินล่าช้าหรือไม่จ่ายเลย ทำให้รายได้ที่ควรจะเป็นเงินสดกลับไปอยู่ในรูปของ “ลูกหนี้” แทน
2. ต้นทุนจม (Sunk Cost) ที่ไม่ถูกบริหารจัดการ
- สินค้าคงคลังที่มากเกินไป: การสต็อกสินค้าไว้จำนวนมาก ทำให้เงินสดถูกแช่แข็งอยู่ในรูปของสินค้าที่ยังขายไม่ได้ ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนจมถ้าสินค้าขายไม่ได้
- การลงทุนในทรัพย์สินถาวรที่ไม่จำเป็น: การซื้อเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ขนาดใหญ่เกินความจำเป็น ทำให้เงินสดจำนวนมหาศาลถูกนำไปใช้ในสิ่งที่อาจสร้างรายได้ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน
3. อัตรากำไรที่ต่ำกว่าที่คิด
- ค่าใช้จ่ายแฝง: กิจการอาจมีค่าใช้จ่ายแฝงที่ไม่ถูกบันทึกอย่างถูกต้อง เช่น ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเครื่องจักร ค่าขนส่ง หรือค่าธรรมเนียมที่ซ่อนอยู่ ทำให้กำไรจากการขายจริง ๆ น้อยกว่าที่คาดไว้
4. การบริหารกระแสเงินสดที่ขาดประสิทธิภาพ
- ไม่มีการวางแผนเงินสด: กิจการไม่ได้ทำงบประมาณกระแสเงินสด (Cash Flow Budgeting) ทำให้ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีเงินสดเข้ามาและออกไปเมื่อไหร่และจำนวนเท่าไหร่
- ใช้เงินปะปนกับเงินส่วนตัว: เจ้าของกิจการใช้เงินจากบัญชีของกิจการปะปนกับเงินส่วนตัว ทำให้ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเงินที่ใช้จ่ายไปนั้นเป็นของธุรกิจหรือของส่วนตัว
ดังนั้น การขายได้ดีแต่ไม่มีเงินสด จึงไม่ใช่แค่ปัญหาของการไม่จดบันทึกบัญชี แต่เป็นปัญหาสุขภาพทางการเงินที่เกิดจากการบริหารจัดการที่ไม่ดีในหลายๆ ด้าน การเริ่มต้นจากการบันทึกบัญชีอย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณมองเห็นปัญหาเหล่านี้ได้ชัดเจนขึ้น ทำให้สามารถวางแผนและแก้ไขได้อย่างตรงจุดค่ะ

การที่กิจการขายสินค้าหรือบริการได้ดี แต่เงินสดในกิจการกลับไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและมีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักประการหนึ่งที่มักถูกมองข้ามคือ การไม่แยกกระเป๋าเงินระหว่างบัญชีส่วนตัวกับบัญการกิจการ . ปัญหานี้ไม่ได้เกิดจากการที่เจ้าของกิจการมีเจตนาทุจริต แต่ส่วนใหญ่เกิดจากความไม่เข้าใจหลักการบริหารเงินอย่างถูกต้อง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางการเงินของธุรกิจในหลายมิติ
ทำไมการไม่แยกกระเป๋าเงินจึงทำให้เงินสดขาดมือ?
การใช้เงินปะปนกันระหว่างกิจการและส่วนตัวเป็นเหมือนการที่คุณมีน้ำอยู่ในถังใบใหญ่ใบเดียวที่ไม่มีมาตรวัด คุณอาจจะตักน้ำออกไปใช้เรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าน้ำที่เหลืออยู่เป็นส่วนที่ต้องใช้สำหรับกิจการ หรือเป็นส่วนที่ใช้ได้สำหรับชีวิตประจำวัน เมื่อถึงเวลาที่กิจการต้องจ่ายค่าใช้จ่ายสำคัญ เงินในถังก็อาจจะไม่พอ
ผลกระทบจากการไม่แยกกระเป๋าเงิน
- ไม่รู้สภาพคล่องที่แท้จริงของกิจการ: เมื่อเงินรายได้จากการขายถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวและนำไปใช้จ่ายส่วนตัวทันที เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง หรือค่าใช้จ่ายในครอบครัว เงินเหล่านั้นจะหายไปจากระบบบัญชีของกิจการโดยไม่มีการบันทึกที่ถูกต้อง ทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าในแต่ละวัน กิจการมีเงินสดเหลืออยู่จริงเท่าไหร่ และจะพอสำหรับการชำระหนี้สินระยะสั้นหรือไม่
- รายจ่ายส่วนตัวถูกนำมาบันทึกเป็นรายจ่ายของกิจการ: บ่อยครั้งที่เจ้าของกิจการนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายส่วนตัวมาบันทึกรวมกับค่าใช้จ่ายของกิจการ เพื่อลดกำไรและภาษี ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายภาษี และยังทำให้ตัวเลขกำไรของกิจการสูงกว่าความเป็นจริง
- การตัดสินใจลงทุนผิดพลาด: เมื่อกิจการมีเงินในบัญชีรวมดูเหมือนเยอะ (เพราะเป็นเงินรวมทั้งของกิจการและของเจ้าของ) อาจทำให้เจ้าของตัดสินใจลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่ไม่จำเป็น หรือลงทุนในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จริง เพราะคิดว่ามีเงินสดเหลือเฟือ เมื่อถึงเวลาต้องชำระค่าใช้จ่ายสำคัญของกิจการ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าวัตถุดิบ หรือค่าเช่าสำนักงาน เงินสดที่ถูกนำไปใช้ส่วนตัวหรือใช้ลงทุนผิดพลาดจะทำให้เกิดปัญหาทันที
วิธีแก้ไขและสร้างวินัยทางการเงิน
- เปิดบัญชีธนาคารแยกกัน: สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปิดบัญชีธนาคารสำหรับกิจการโดยเฉพาะ และบัญชีส่วนตัวอย่างชัดเจน
- ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายที่ถูกต้อง: บันทึกรายได้และรายจ่ายทั้งหมดของกิจการลงในสมุดบัญชีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถติดตามกระแสเงินสดได้อย่างแม่นยำ
- จ่ายเงินเดือนให้ตัวเอง: เจ้าของควรจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองเป็นจำนวนที่แน่นอนในแต่ละเดือน จากบัญชีกิจการเข้าบัญชีส่วนตัว เพื่อใช้สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัว การทำเช่นนี้จะช่วยให้เงินที่เข้าสู่บัญชีของกิจการไม่ถูกนำไปใช้ในเรื่องส่วนตัวโดยไม่ตั้งใจ
- ตั้งงบประมาณและตรวจสอบเป็นประจำ: ควรมีการทำงบประมาณกระแสเงินสด และตรวจสอบยอดเงินในบัญชีของกิจการเป็นประจำ เพื่อให้แน่ใจว่ากิจการมีเงินสดเพียงพอสำหรับการดำเนินงานและชำระหนี้สิน
การแยกกระเป๋าเงินอย่างชัดเจนไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของวินัยทางการเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือให้กับกิจการ ซึ่งจะช่วยให้กิจการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาวค่ะ

การที่ยอดขายดีแต่เงินสดในกิจการขาดมือ เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเกิดจากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุหลักที่หลายธุรกิจมักมองข้ามคือ การหลงดีใจไปกับยอดขายที่สูงจนเกินไป ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและส่งผลกระทบโดยตรงต่อกระแสเงินสดของกิจการ
สาเหตุและผลกระทบของการหลงดีใจกับยอดขาย
การมียอดขายที่สูงนั้นเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับธุรกิจ แต่ไม่ใช่ตัวชี้วัดสุขภาพทางการเงินทั้งหมด การหลงดีใจกับตัวเลขยอดขายที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เจ้าของกิจการมองข้ามประเด็นสำคัญดังต่อไปนี้
1. เข้าใจผิดว่า “ยอดขาย” เท่ากับ “เงินสด”
ยอดขายในงบการเงินไม่ได้หมายถึงเงินสดที่ได้รับมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจที่มีการขายแบบเครดิต ยอดขายที่สูงอาจหมายถึงว่ากิจการมีลูกหนี้การค้าจำนวนมากที่ยังไม่ได้ชำระเงิน แทนที่จะเป็นเงินสดในบัญชี เมื่อเจ้าของกิจการเห็นตัวเลขยอดขายในรายงานที่สูงลิ่ว ก็อาจคิดว่ามีเงินสดเหลือเฟือและนำไปใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น การลงทุนในสินค้าคงคลังที่มากเกินไป หรือการขยายสาขาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้ประเมินว่าเงินสดที่แท้จริงที่พร้อมใช้งานมีเท่าไหร่
2. ใช้จ่ายเกินตัวจากความรู้สึกรวย
เมื่อยอดขายดี เจ้าของกิจการมักมีความรู้สึก “ร่ำรวย” และมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ทั้งในส่วนของกิจการและส่วนตัว เช่น การจัดซื้ออุปกรณ์สำนักงานใหม่ที่ไม่จำเป็น การเพิ่มค่าใช้จ่ายการตลาดที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือการซื้อทรัพย์สินถาวรราคาแพงโดยไม่มีการวางแผนล่วงหน้า การใช้จ่ายเหล่านี้ทำให้เงินสดที่ควรจะนำไปใช้ในการดำเนินงานหรือสำรองไว้สำหรับช่วงเวลาที่ยอดขายชะลอตัวหมดไปอย่างรวดเร็ว
3. บริหารสต็อกสินค้าผิดพลาด
ยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดความต้องการสต็อกสินค้าที่มากขึ้น เจ้าของกิจการจึงอาจตัดสินใจสต็อกสินค้าจำนวนมหาศาลเพื่อรองรับยอดขายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เงินสดจำนวนมากจึงถูก “แช่แข็ง” อยู่ในรูปของสินค้าคงคลัง ซึ่งหากสินค้าเหล่านั้นขายไม่ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ (เช่น ยอดขายที่สูงเป็นเพียงช่วงสั้นๆ จากโปรโมชั่น) ก็จะกลายเป็นต้นทุนจมที่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของกิจการอย่างรุนแรง
วิธีแก้ไขและสร้างวินัยทางการเงิน
- แยก “ยอดขาย” ออกจาก “เงินสด”: ทำความเข้าใจว่ายอดขายและเงินสดเป็นคนละส่วนกัน ให้ความสำคัญกับการจัดทำรายงานกระแสเงินสด (Cash Flow Statement) ควบคู่ไปกับงบกำไรขาดทุน เพื่อให้เห็นภาพรวมของเงินสดที่เข้าและออกจากกิจการอย่างแท้จริง
- สร้างแผนงบประมาณที่รัดกุม: วางแผนการใช้จ่ายในแต่ละเดือนอย่างรอบคอบ ไม่ว่ายอดขายจะดีแค่ไหนก็ตาม เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายและป้องกันการใช้เงินเกินตัว
- บริหารลูกหนี้การค้า: กำหนดนโยบายการให้เครดิตที่ชัดเจน และติดตามการชำระเงินจากลูกหนี้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าเงินสดจากการขายจะไหลเข้าสู่กิจการตามกำหนด
- กันเงินสำรองฉุกเฉิน: ควรกำหนดสัดส่วนของเงินสดที่กันไว้เป็นเงินสำรองสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือช่วงที่ยอดขายลดลง เพื่อให้กิจการสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างราบรื่น
การมียอดขายที่ดีเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ความสำเร็จที่แท้จริงของธุรกิจวัดจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนรายงานยอดขายค่ะ

การที่กิจการมียอดขายดีแต่กลับไม่มีเงินสดหมุนเวียนนั้นมีหลายสาเหตุ แต่ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งคือ การไม่รู้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่แท้จริง ซึ่งทำให้กิจการเข้าใจผิดว่ามีกำไรมากเกินไป และนำไปสู่การตัดสินใจทางการเงินที่ผิดพลาด
สาเหตุและผลกระทบของการไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริง
การไม่สามารถระบุต้นทุนและค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้อย่างแม่นยำ ทำให้กิจการไม่สามารถประเมินกำไรที่แท้จริงจากการขายได้ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาดังนี้
1. การตั้งราคาขายที่ผิดพลาด
เมื่อไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริงของสินค้าหรือบริการทั้งหมด กิจการอาจตั้งราคาขายที่ต่ำเกินไปเพื่อดึงดูดลูกค้า ซึ่งจะทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้นแต่กำไรต่อหน่วยลดลง หากราคาขายต่ำกว่าต้นทุนรวมทั้งหมด กิจการก็จะยิ่งขาดทุนทุกครั้งที่มีการขาย แม้จะมีลูกค้าจำนวนมากก็ตาม ซึ่งจะทำให้เงินสดค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง
2. ต้นทุนแฝงที่ไม่ได้ถูกนำมาคำนวณ
ต้นทุนแฝง คือ ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการซื้อวัตถุดิบโดยตรง แต่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานในภาพรวม เช่น:
- ค่าใช้จ่ายในการบริหาร: เงินเดือนพนักงาน, ค่าเช่าสำนักงาน, ค่าน้ำ ค่าไฟ
- ค่าใช้จ่ายในการขาย: ค่าโฆษณา, ค่าคอมมิชชั่น, ค่าขนส่ง
- ค่าใช้จ่ายทางการเงิน: ดอกเบี้ยจากการกู้ยืม
หากไม่นำค่าใช้จ่ายเหล่านี้มาคำนวณรวมเป็นต้นทุนทั้งหมด กิจการจะประเมินกำไรจากการขายสูงเกินจริง ทำให้มีการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเกินตัว จนเงินสดในบัญชีร่อยหรอลงไป
3. การบริหารสินค้าคงคลังที่ผิดพลาด
การไม่รู้ต้นทุนสินค้าที่แท้จริงทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้มีการสั่งซื้อวัตถุดิบหรือสินค้าเข้ามามากเกินไปในราคาที่ไม่เหมาะสม เงินสดจำนวนมากจึงถูกนำไปจมอยู่ในสินค้าคงคลังที่อาจขายไม่ได้หรือขายได้ช้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของกิจการโดยตรง
4. การตัดสินใจที่ไร้ประสิทธิภาพ
เมื่อไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริง เจ้าของกิจการอาจตัดสินใจโดยอาศัยเพียงแค่ความรู้สึกจากตัวเลขยอดขายที่สูง เช่น:
- การเพิ่มค่าใช้จ่ายการตลาด: ลงทุนเงินจำนวนมากไปกับการโฆษณาเพื่อเพิ่มยอดขาย แต่ไม่ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า (Return on Investment – ROI)
- การขยายธุรกิจเร็วเกินไป: การตัดสินใจเปิดสาขาใหม่หรือขยายกิจการโดยไม่มีเงินสดสำรองที่เพียงพอ ทำให้เมื่อเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด กิจการก็จะประสบปัญหาสภาพคล่องทันที
วิธีแก้ไขเพื่อสุขภาพทางการเงินที่แข็งแรง
- จัดทำบัญชีต้นทุน: บันทึกและแยกประเภทค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างละเอียด ทั้งต้นทุนทางตรง (ค่าวัตถุดิบ) และต้นทุนทางอ้อม (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) เพื่อให้เห็นภาพรวมของต้นทุนที่แท้จริง
- วิเคราะห์จุดคุ้มทุน (Break-Even Point): คำนวณยอดขายที่ต้องทำได้เพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด เพื่อให้รู้ว่าควรตั้งราคาขายและบริหารค่าใช้จ่ายอย่างไร
- จัดทำงบกระแสเงินสด: ให้ความสำคัญกับงบกระแสเงินสด เพื่อติดตามการไหลเวียนของเงินเข้าและออกจากกิจการ และวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรู้ต้นทุนที่แท้จริงไม่ได้เป็นแค่เรื่องทางบัญชี แต่เป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจทางธุรกิจที่จะทำให้กิจการเติบโตได้อย่างยั่งยืนค่ะ

ยอดขายดีแต่ไม่มีเงินสดในกิจการเป็นปัญหาที่ธุรกิจหลายแห่งต้องเผชิญ สาเหตุหลักประการหนึ่งคือ เงินจมไปกับสินค้าคงเหลือและลูกหนี้การค้ามากเกินไป ซึ่งหมายความว่าแม้คุณจะขายสินค้าได้ แต่เงินสดจากการขายนั้นไม่ได้ไหลกลับเข้ามาในกระเป๋าของกิจการอย่างรวดเร็วพอที่จะใช้จ่ายได้ทันที
เงินจมกับสินค้าคงเหลือ
สินค้าคงเหลือ (Inventory) คือสินค้าที่คุณซื้อมาเพื่อขายหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า การที่เงินจมกับสินค้าคงเหลือมากเกินไปหมายถึง:
- สต็อกสินค้าเกินความจำเป็น: คุณสั่งซื้อสินค้ามามากเกินไปเพื่อรองรับยอดขายที่คาดว่าจะสูงขึ้น แต่กลับไม่ได้ขายออกไปทั้งหมด ทำให้เงินทุนจำนวนมหาศาลถูกแช่แข็งอยู่ในรูปของสินค้าที่ไม่ได้สร้างรายได้ในทันที
- สินค้าขายไม่ออกหรือล้าสมัย: สินค้าที่สต็อกไว้นานเกินไปอาจกลายเป็นสินค้าที่ไม่มีใครต้องการ ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนจม (Sunk Cost) ของกิจการ
เงินจมกับลูกหนี้การค้า
ลูกหนี้การค้า (Accounts Receivable) คือเงินที่ลูกค้าค้างชำระค่าสินค้าหรือบริการที่ซื้อไปจากคุณ การที่เงินจมกับลูกหนี้การค้ามากเกินไปหมายถึง:
- การให้เครดิตการค้าที่ยาวเกินไป: คุณให้ลูกค้าซื้อสินค้าไปก่อนและจ่ายเงินภายหลังในระยะเวลาที่นานเกินไป เช่น 30-60 วัน ทำให้เงินจากการขายไม่ได้กลับเข้ามาในกิจการทันทีที่คุณต้องการใช้จ่าย
- ลูกค้าจ่ายเงินช้าหรือไม่จ่าย: แม้จะมียอดขายเกิดขึ้น แต่หากลูกค้าไม่จ่ายเงินตามกำหนด หรือหนีหนี้ไปเลย เงินสดที่คุณคาดว่าจะได้รับก็จะไม่เข้าสู่กิจการ ทำให้งบการเงินดูดี แต่สภาพคล่องติดลบ
ทำไมเงินจมถึงเป็นปัญหา?
การที่เงินจมในสินค้าคงเหลือและลูกหนี้การค้าจะทำให้กิจการประสบปัญหาด้าน กระแสเงินสด (Cash Flow) . แม้ในงบกำไรขาดทุนจะแสดงตัวเลขยอดขายและกำไรที่สูง แต่เงินสดที่แท้จริงที่พร้อมจะนำไปใช้ในการดำเนินงานกลับไม่มี ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น ค่าเช่า, เงินเดือนพนักงาน, หรือค่าวัตถุดิบ ทำให้กิจการอาจถึงขั้นล้มละลายได้ แม้จะมียอดขายที่สูงก็ตามค่ะ

AccProTax รับทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี วางแผนภาษี ประสบการณ์กว่า 25 ปี
“สะดวก รวดเร็ว เข้าใจ ให้คำปรึกษาเชิงรุก” คือสิ่งที่ AccProTax ให้ความสำคัญ
เพราะเราเข้าใจดีว่า “เรื่องภาษี” ไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้ AccProTax จึงมุ่งเน้นการวางระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการตีความผิดพลาดและลดความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บย้อนหลัง ทีมงานของเรามีประสบการณ์กว่า 25 ปี ในการให้บริการทั้งการทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี และวางแผนภาษีอย่างรอบด้าน พร้อมคำปรึกษาที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง
ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/accprotax/
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax
เริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดทำบัญชี วางแผนภาษี และการขอใบอนุญาตต่างๆ อย่างถูกต้อง มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และใช้ระยะเวลานาน การมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านงานจดทะเบียนธุรกิจเป็นที่ปรึกษาและวางแผนอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งข้อมูลต่อทางการอย่างถูกต้อง เป็นหัวใจสำคัญของก้าวแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจ เรายินดีให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่าน พร้อมให้คำแนะนำในด้านการจดทะเบียน บริษัท(บจก.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) อย่างครบวงจร รวมถึง จัดทำบัญชี และวางแผนภาษี (Tax Planning) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูล เรายินดีช่วยเหลือ ให้บริการที่รวดเร็ว ทันเวลา ราคาเหมาะสม คุยอย่างเป็นกันเอง ยินดีให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี
กรุณากรอกข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญติดต่อกลับ ให้คำปรึกษาที่ตรงกับความต้องการของคุณได้อย่างรวดเร็ว