ภ.พ.36 และภาษี e-Service คืออะไร เข้าใจถูกต้อง ธุรกิจได้เปรียบสรรพากร

ภ.พ.36 คือ แบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มที่ใช้สำหรับผู้ประกอบการที่จ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการให้กับผู้ขายที่อยู่ต่างประเทศ หรือผู้ประกอบการที่ไม่ได้รับใบกำกับภาษีจากผู้ขาย แต่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มแทนผู้ขาย


ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ธุรกิจได้เปรียบสรรพากร

ภ.พ.36 เป็นแบบฟอร์มที่ใช้สำหรับผู้ซื้อสินค้า หรือผู้รับบริการที่มีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในนามของผู้ขาย โดยผู้ซื้อจะต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 เพื่อนำส่งภาษีขายแทนผู้ขายนั้นๆ ในกรณีดังต่อไปนี้:

  1. การซื้อสินค้าหรือรับบริการจากผู้ขายที่อยู่ต่างประเทศ หรือผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย แต่มีการนำเข้าสินค้าหรือรับบริการที่เกิดขึ้นในไทย
  2. การจ่ายค่าบริการที่ไม่มีใบกำกับภาษี: เช่น การใช้บริการ Google, Facebook Ads, Tiktok หรือบริการออนไลน์อื่นๆ จากบริษัทต่างชาติที่ไม่สามารถออกใบกำกับภาษีมูลค่าเพิ่มให้คุณได้ คุณจะต้องเป็นผู้ยื่นแบบ ภ.พ.36 เพื่อนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มแทน
ตัวอย่าง Google - Youtube ผู้ขายที่อยู่ต่างประเทศ
ตัวอย่าง Google – Youtube ผู้ขายที่อยู่ต่างประเทศ

ต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 เมื่อไร?

คุณจะต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 และชำระภาษีภายใน วันที่ 7 ของเดือนถัดไป นับจากเดือนที่เกิดรายการจ่ายเงินนั้นๆ หากไม่ยื่นภายในกำหนดเวลาจะต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเช่นเดียวกับการยื่นแบบภาษีอื่นๆ

ตัวอย่าง: หากคุณจ่ายค่าโฆษณา Facebook ในเดือนกันยายน คุณจะต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 และชำระภาษีภายในวันที่ 7 ของเดือนตุลาคม

ภ.พ.36 คือ แบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มที่ใช้สำหรับผู้ประกอบการที่จ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการให้กับผู้ขายที่อยู่ต่างประเทศ
ภ.พ.36 คือ แบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มที่ใช้สำหรับผู้ประกอบการที่จ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการให้กับผู้ขายที่อยู่ต่างประเทศ

ภาษี e-Service คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่จัดเก็บจากผู้ประกอบการต่างประเทศที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) แก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทย และมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี เช่น ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์, เกม, เพลง, หรือภาพยนตร์ต่างๆ

กฎหมายนี้มีขึ้นเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการต่างประเทศ โดยผู้ให้บริการอย่าง Facebook, Line, Google, และ TikTok ซึ่งเข้าเกณฑ์รายได้ จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในไทยและเป็นผู้เก็บและนำส่ง VAT 7% ให้กับกรมสรรพากร

ความแตกต่างในการยื่นภาษีของผู้ประกอบการ

การยื่นแบบภาษีที่แตกต่างกันจะขึ้นอยู่กับว่าผู้ซื้อบริการ (ผู้ใช้โฆษณา, ซื้อสติกเกอร์) เป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มในไทยหรือไม่

1. กรณีผู้ประกอบการในไทย “ไม่ได้” จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • วิธีการเก็บภาษี: ผู้ให้บริการต่างประเทศ (เช่น Facebook, Google) จะเป็นผู้รับภาระในการเก็บและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากยอดค่าบริการโดยตรง
  • การยื่นแบบ ภ.พ.36: ผู้ซื้อบริการ ไม่ต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 เพราะผู้ให้บริการต่างประเทศจะทำหน้าที่นำส่งภาษีให้แก่กรมสรรพากรแทน
  • ตัวอย่าง: คุณยิงโฆษณา Facebook 1,000 บาท ทาง Facebook จะเรียกเก็บจากคุณ 1,070 บาท (รวม VAT 7%) และนำส่งภาษี 70 บาทนั้นให้กับกรมสรรพากรแทนคุณ

2. กรณีผู้ประกอบการในไทย “ได้” จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • วิธีการเก็บภาษี: ผู้ให้บริการต่างประเทศ (เช่น Facebook, Google) จะไม่เก็บ VAT 7% จากคุณโดยตรง เพราะคุณจะทำการแจ้งหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (VAT ID) ให้แก่ผู้ให้บริการเหล่านั้น
  • การยื่นแบบ ภ.พ.36: ผู้ประกอบการในไทยจะต้อง ยื่นแบบ ภ.พ.36 เพื่อนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่คำนวณจากยอดค่าบริการที่จ่ายให้ผู้ให้บริการต่างประเทศ และสามารถนำภาษีส่วนนี้ไปเป็น “ภาษีซื้อ” เพื่อขอเครดิตภาษีหรือขอคืนได้ในแบบ ภ.พ.30 ของเดือนนั้นๆ
  • ตัวอย่าง: คุณยิงโฆษณา Facebook 1,000 บาท และได้แจ้ง VAT ID แล้ว คุณจะต้องเป็นผู้ยื่นแบบ ภ.พ.36 เพื่อนำส่งภาษี 70 บาทนั้นให้กับกรมสรรพากรด้วยตัวเอง

สรุปความแตกต่างในการยื่นแบบ ภ.พ.36

 

ผู้ประกอบการในไทยที่ “ไม่ได้” จด VAT

ผู้ประกอบการในไทยที่ “ได้” จด VAT

ใครเก็บและส่งภาษี?

ผู้ให้บริการต่างประเทศ (Facebook, Google)

ผู้ประกอบการในไทย (ต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 เอง)
หน้าที่ในการยื่น ภ.พ.36ไม่ต้องยื่นต้องยื่น เพื่อนำส่งภาษีแทนผู้ให้บริการต่างประเทศ
สิทธิในการขอเครดิตภาษีซื้อไม่มีมี สามารถนำภาษีที่ยื่นไปเครดิตกับภาษีขายใน ภ.พ.30 ได้

การเข้าใจความแตกต่างนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้แน่ใจว่ากิจการของคุณได้ปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอย่างถูกต้องและไม่เกิดข้อผิดพลาดในการยื่นภาษีในแต่ละเดือนค่ะ

ภาษี e-Service คือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่จัดเก็บจากผู้ประกอบการต่างประเทศที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) แก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทย และมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
ภาษี e-Service คือภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่จัดเก็บจากผู้ประกอบการต่างประเทศที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Service) แก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทย และมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี

ภาษี e-Service คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่จัดเก็บจากผู้ประกอบการต่างประเทศที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์แก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทย หรือที่เรียกกันว่า VAT for Electronic Service (VES) โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2564


ทำไมต้องมีภาษี e-Service?

กฎหมายฉบับนี้ถูกออกมาด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการ คือ:

  1. สร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน: ก่อนหน้านี้ ผู้ประกอบการไทยที่ให้บริการดิจิทัลหรือออนไลน์ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% แต่ผู้ประกอบการต่างชาติที่ให้บริการในลักษณะเดียวกันกลับไม่ต้องเสียภาษี ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในการแข่งขัน กฎหมายนี้จึงเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหานี้
  2. ขยายฐานภาษี: เพื่อให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีจากการเติบโตของธุรกิจบริการดิจิทัลข้ามประเทศได้มากขึ้น

ผู้ประกอบการต่างประเทศที่เข้าข่ายต้องเสียภาษี

ผู้ให้บริการ e-Service จากต่างประเทศที่เข้าข่ายต้องจดทะเบียนและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทย คือผู้ที่มีรายได้จากการให้บริการแก่ผู้ใช้บริการในไทย เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ตัวอย่างผู้ให้บริการเหล่านี้ ได้แก่:

  • แพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์: Google (Google Ads), Meta (Facebook), TikTok
  • บริการสตรีมมิ่ง: Netflix, Spotify, YouTube Premium
  • บริการเกมและแอปพลิเคชัน: ผู้พัฒนาเกมหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ให้บริการแก่ผู้ใช้ในไทย
  • บริการจองโรงแรมหรือที่พัก: Booking.com, Agoda

วิธีการจัดเก็บภาษี

การจัดเก็บภาษีจะแตกต่างกันไปตามสถานะของผู้ใช้บริการในประเทศไทย:

1. สำหรับผู้ใช้บริการที่เป็นบุคคลธรรมดา หรือผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT

  • ผู้รับภาระภาษี: ผู้ให้บริการต่างประเทศ
  • วิธีการ: ผู้ให้บริการต่างประเทศจะทำหน้าที่ เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากยอดค่าบริการโดยตรง และนำส่งภาษีส่วนนี้ให้กับกรมสรรพากรไทยเอง ผู้ใช้บริการจึงเห็นยอดค่าใช้จ่ายที่รวมภาษีแล้ว
  • ตัวอย่าง: คุณจ่ายค่าบริการ Netflix เดือนละ 300 บาท ทาง Netflix จะเรียกเก็บเงินจากคุณ 321 บาท (รวม VAT 7%) และนำส่งภาษี 21 บาทให้กับกรมสรรพากร

2. สำหรับผู้ใช้บริการที่เป็นผู้ประกอบการที่จดทะเบียน VAT ในไทย

  • ผู้รับภาระภาษี: ผู้ประกอบการไทย
  • วิธีการ: หากคุณแจ้งหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (VAT ID) ให้กับผู้ให้บริการต่างประเทศ พวกเขา จะไม่เรียกเก็บ VAT จากคุณ
  • หน้าที่ของผู้ประกอบการไทย: คุณจะต้อง ยื่นแบบ ภ.พ.36 และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของยอดค่าบริการนั้นให้กับกรมสรรพากรเอง และสามารถนำภาษีส่วนนี้ไปเป็น “ภาษีซื้อ” เพื่อขอเครดิตภาษีหรือขอคืนได้ในแบบ ภ.พ.30 ของรอบเดือนนั้นๆ

การทำความเข้าใจภาษี e-Service จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการไทยในยุคดิจิทัล เพื่อให้การยื่นภาษีถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมาย


ผู้มีหน้าที่ยื่นแบบ ภ.พ.36 มี 3 ประเภทหลักๆ คือ

1. ผู้ประกอบการที่จ่ายเงินค่าซื้อสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้ประกอบการนอกประเทศ

นี่คือกลุ่มที่พบบ่อยที่สุดและเป็นหน้าที่หลักในการยื่นแบบ ภ.พ.36 ซึ่งได้แก่:

  • ผู้ประกอบการไทยที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): เมื่อซื้อบริการออนไลน์จากผู้ประกอบการต่างประเทศ เช่น Facebook, Google, Line, TikTok, Netflix, หรือ Spotify โดยมีการแจ้งหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (VAT ID) ของไทยให้แก่ผู้ให้บริการเหล่านี้แล้ว ผู้ประกอบการไทยจะต้องเป็นผู้ยื่นแบบ ภ.พ.36 และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แทนผู้ให้บริการต่างประเทศเอง
  • ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการที่มีหน้าที่นำส่งภาษีแทนผู้ขาย: หมายถึงผู้ประกอบการที่มีการซื้อสินค้าหรือบริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ขายที่ไม่ได้จดทะเบียน VAT ในประเทศไทย และไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้
ผู้ประกอบการที่จ่ายเงินค่าซื้อสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้ประกอบการนอกประเทศ
ผู้ประกอบการที่จ่ายเงินค่าซื้อสินค้าหรือบริการให้แก่ผู้ประกอบการนอกประเทศ

2. ผู้รับโอนสินค้าหรือสิทธิในบริการที่เสียภาษีในอัตรา 0%

ในบางกรณีที่มีการนำเข้าสินค้าหรือรับบริการจากต่างประเทศและได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 0% ตามกฎหมาย แต่ภายหลังได้มีการนำสินค้าหรือบริการนั้นไปใช้ในกิจการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% ผู้ประกอบการที่รับโอนสินค้าหรือสิทธิในบริการนั้นก็มีหน้าที่ต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 เพื่อนำส่งภาษีที่เกิดขึ้น

ผู้รับโอนสินค้าหรือผู้รับโอนสิทธิในบริการที่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ได้แก่ การรับโอนสินค้าหรือรับโอนสิทธิในบริการที่ได้มีการขายหรือการให้บริการกับองค์การสหประชาชาติ ทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ สถานเอกอัครราชทูต สถานทูต สถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุลทั้งนี้ เฉพาะการขายสินค้าหรือการให้บริการดังกล่าวที่เป็นไปตาม หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด

ผู้รับโอนสินค้าหรือผู้รับโอนสิทธิในบริการที่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 0
ผู้รับโอนสินค้าหรือผู้รับโอนสิทธิในบริการที่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ในอัตราร้อยละ 0

3. ผู้ทอดตลาดซึ่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือส่วนราชการ

ผู้ทอดตลาดซึ่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือส่วนราชการ ซึ่งขายทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียนที่ถูกยึดมาตามกฎหมาย โดยวิธีอื่นนอกจากการขายทอดตลาด

ผู้ทอดตลาดซึ่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือส่วนราชการ
ผู้ทอดตลาดซึ่งขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ประกอบการจดทะเบียนหรือส่วนราชการ

วิธีการคำนวณภาษีของ ภ.พ.36

การคำนวณภาษีของ ภ.พ.36 เป็นเรื่องที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา โดยมีหลักการคือ คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากยอดค่าบริการหรือมูลค่าสินค้านั้น ๆ

สูตรการคำนวณ:

ภาษีที่ต้องนำส่ง (ภ.พ.36) = (มูลค่าของบริการ/สินค้า x อัตราภาษี 7%)

ตัวอย่าง: สมมติว่าบริษัทของคุณ (จดทะเบียน VAT) จ่ายค่าโฆษณา Google Ads เป็นเงิน 100,000 บาท ในเดือนกันยายน

  • มูลค่าบริการ: 100,000 บาท
  • อัตราภาษี: 7%
  • ภาษีที่ต้องนำส่ง (ภ.พ.36): 100,000 บาท x 7% = 7,000 บาท

คุณจะต้องยื่นแบบ ภ.พ.36 และนำส่งภาษีจำนวน 7,000 บาทนี้ให้กับกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนตุลาคม และเมื่อยื่น ภ.พ.36 เรียบร้อยแล้ว คุณสามารถนำภาษี 7,000 บาทนี้ไปบันทึกเป็น “ภาษีซื้อ” ในแบบ ภ.พ.30 ของเดือนตุลาคม เพื่อขอเครดิตภาษีหรือขอคืนได้ในภายหลัง

วิธีการคำนวณภาษีของ ภ.พ.36
วิธีการคำนวณภาษีของ ภ.พ.36

บทลงโทษเมื่อยื่น ภ.พ.36 ล่าช้า

การยื่นแบบ ภ.พ.36 ล่าช้ากว่ากำหนด (วันที่ 7 ของเดือนถัดไป) จะมีบทลงโทษดังนี้:

  • ค่าปรับอาญา: ปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตามมาตรา 35 แห่งประมวลรัษฎากร
  • เงินเพิ่ม: เงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือน ของเงินภาษีที่ต้องชำระ
    • ตัวอย่าง: หากภาษีที่ต้องชำระคือ 7,000 บาท และคุณยื่นล่าช้าไป 1 เดือน คุณจะต้องจ่ายเงินเพิ่ม 7,000 บาท x 1.5% = 105 บาท
  • ค่าปรับทางแพ่ง: ในกรณีที่ไม่ได้ยื่นแบบเลยและถูกตรวจสอบภายหลัง อาจต้องเสียเบี้ยปรับ 2 เท่าของเงินภาษีที่ต้องชำระ

ดังนั้น การยื่นแบบ ภ.พ.36 ให้ตรงเวลาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงภาระค่าปรับและเงินเพิ่มที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

บทลงโทษของการยื่นภ.พ.36 ล่าช้า
บทลงโทษของการยื่นภ.พ.36 ล่าช้า

สรุปและข้อควรจำ

การยื่นแบบ ภ.พ.36 เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการไทยที่ได้รับบริการหรือซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล การซื้อโฆษณาออนไลน์หรือใช้บริการดิจิทัลต่างๆ เป็นเรื่องที่พบบ่อย ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการไทยที่จดทะเบียน VAT จะต้องเข้าใจหน้าที่ของตนในการนำส่งภาษีในส่วนนี้อย่างถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและปัญหาทางภาษีในอนาคตค่ะ

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน

เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/accprotax/

📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ
บริการประทับใจ ด้วยทีมงานมืออาชีพ

เริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดทำบัญชี วางแผนภาษี และการขอใบอนุญาตต่างๆ อย่างถูกต้อง มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และใช้ระยะเวลานาน การมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านงานจดทะเบียนธุรกิจเป็นที่ปรึกษาและวางแผนอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งข้อมูลต่อทางการอย่างถูกต้อง เป็นหัวใจสำคัญของก้าวแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจ เรายินดีให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่าน พร้อมให้คำแนะนำในด้านการจดทะเบียน บริษัท(บจก.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) อย่างครบวงจร รวมถึง จัดทำบัญชี และวางแผนภาษี (Tax Planning) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูล เรายินดีช่วยเหลือ ให้บริการที่รวดเร็ว ทันเวลา ราคาเหมาะสม คุยอย่างเป็นกันเอง ยินดีให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี

กรุณากรอกข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญติดต่อกลับ ให้คำปรึกษาที่ตรงกับความต้องการของคุณได้อย่างรวดเร็ว

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่