(2)ข้อคิดดีๆ เกี่ยวกับการวางแผนภาษีและทำบัญชี

หลายกิจการที่มียอดขายดีแต่กลับประสบปัญหาขาดทุนหรือไปต่อไม่ได้ มักมีสาเหตุมาจากการบริหารจัดการภายในที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะปัญหาเรื่อง สินค้าคงเหลือ (Inventory) และ ลูกหนี้ (Accounts Receivable) ที่มากเกินไป ทำให้เกิด “ต้นทุนจม” และขาดสภาพคล่องทางการเงิน


ปัญหาที่เกิดจากการตุนสินค้ามากเกินไป

การตุนสินค้าไว้ในสต๊อกมากเกินไป ส่งผลเสียต่อธุรกิจในหลายมิติ:

  • ต้นทุนจม (Sunk Cost): เงินทุนจำนวนมากถูกล็อกไว้ในสินค้าที่ยังขายไม่ได้ ทำให้กิจการขาดเงินหมุนเวียนที่จะนำไปใช้จ่ายที่จำเป็นอื่นๆ เช่น ค่าเช่า, เงินเดือนพนักงาน, หรือการลงทุนใหม่ๆ เงินทุนนี้จึงเหมือน “จม” อยู่ในสต๊อก และไม่สามารถนำมาสร้างรายได้ในระยะสั้นได้
  • ความเสี่ยงจากสินค้าล้าสมัยหรือเสื่อมสภาพ: สินค้าบางประเภทมีอายุการใช้งานจำกัด หรืออาจตกเทรนด์ ทำให้มีโอกาสที่จะขายไม่ได้และต้องตัดจำหน่ายในที่สุด ซึ่งเท่ากับเป็นการขาดทุนเต็มจำนวน
  • ค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา: การเก็บสินค้าจำนวนมากต้องมีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ, ค่าประกัน, และค่าดูแลรักษาโกดัง ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่ไม่ควรมองข้าม
  • สภาพคล่องทางการเงินต่ำ: เมื่อเงินจมอยู่ในสินค้า ทำให้กิจการขาดเงินสดในมือ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินหรือต้องการขยายกิจการก็ไม่สามารถทำได้ ต้องพึ่งพาการกู้ยืมจากภายนอก ซึ่งนำไปสู่ปัญหาต่อไป

ปัญหาจากลูกหนี้ที่เก็บเงินไม่ได้

เมื่อกิจการมีลูกหนี้จำนวนมากแต่ไม่สามารถเก็บเงินได้ ก็จะยิ่งทำให้สภาพคล่องทางการเงินแย่ลงไปอีก เพราะเงินที่ควรจะได้รับมาหมุนเวียนในกิจการกลับกลายเป็นเพียง “ตัวเลข” ในบัญชี ทำให้:

  • เงินทุนจมซ้ำซ้อน: นอกจากเงินทุนจะจมอยู่ในสินค้าแล้ว ยังไปจมอยู่ในลูกหนี้ที่ยังเก็บไม่ได้อีก
  • กระทบการขอสินเชื่อ: ธนาคารจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อจากงบการเงินและสุขภาพทางการเงินของกิจการ หากงบการเงินแสดงว่ามีลูกหนี้จำนวนมาก และมีสินค้าคงเหลือสูง ธนาคารจะมองว่ากิจการมีความเสี่ยงในการบริหารจัดการ ทำให้การขอสินเชื่อเป็นไปได้ยาก

วิธีแก้ไขด้วยการทำบัญชีภายในและติดตามสต๊อกอย่างสม่ำเสมอ

การทำบัญชีภายในอย่างรัดกุมและการติดตามรายงานสินค้าคงเหลือเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้:

  1. จัดทำรายงานสินค้าคงเหลือ (Inventory Report):

    • นักบัญชีควรจัดทำรายงานสินค้าคงเหลือเป็นประจำทุกเดือนหรือทุกไตรมาส โดยระบุรายละเอียดสินค้าแต่ละรายการ, จำนวน, และมูลค่า
    • รายงานนี้จะช่วยให้เจ้าของกิจการเห็นภาพรวมของสินค้าที่อยู่ในสต๊อก และสามารถวางแผนการสั่งซื้อในครั้งต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  2. วิเคราะห์ยอดขายและอัตราการหมุนเวียนของสินค้า:

    • นำรายงานสินค้าคงเหลือมาเปรียบเทียบกับรายงานยอดขาย เพื่อวิเคราะห์ว่าสินค้าใดขายดีและสินค้าใดขายช้า
    • ใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจว่าควรลดจำนวนการสั่งซื้อสินค้าที่ขายช้าลง หรือจัดโปรโมชั่นเพื่อระบายสต๊อก
  3. ตั้งนโยบายบริหารลูกหนี้ที่รัดกุม:

    • กำหนดระยะเวลาการให้เครดิตที่ชัดเจน เช่น 30 วัน หรือ 60 วัน และต้องติดตามทวงหนี้อย่างใกล้ชิด
    • มีมาตรการในการให้ส่วนลดสำหรับลูกค้าที่ชำระเงินตรงเวลา เพื่อกระตุ้นให้ลูกหนี้จ่ายเงินเร็วขึ้น
    • นักบัญชีควรจัดทำรายงานลูกหนี้ค้างชำระ (Aging Report) เพื่อให้เจ้าของกิจการทราบว่าลูกหนี้รายใดค้างชำระเป็นเวลานานเกินไป เพื่อจะได้ดำเนินการทวงถามต่อไป

การจัดการสินค้าคงเหลือและลูกหนี้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้กิจการมี สภาพคล่องทางการเงินที่ดีขึ้น เมื่อมีเงินทุนหมุนเวียนในมืออย่างเพียงพอ ก็จะสามารถต่อยอดธุรกิจได้อย่างราบรื่นและลดโอกาสในการขอสินเชื่อจากธนาคารได้ในอนาคตค่ะ

ต้นทุนจมในการกักตุนสินค้าคงเหลือที่มากเกินไป และลูกหนี้การค้าเยอะแต่เก็บเงินไม่ได้ อาจทำให้กิจการขาดสภาพคล่องได้
ต้นทุนจมในการกักตุนสินค้าคงเหลือที่มากเกินไป และลูกหนี้การค้าเยอะแต่เก็บเงินไม่ได้ อาจทำให้กิจการขาดสภาพคล่องได้

ทำไมการจ่ายภาษีดีกว่าการโดนประเมินภาษีย้อนหลัง

การจ่ายภาษีให้ถูกต้องและครบถ้วนตั้งแต่แรก มีข้อดีเหนือกว่าการถูกประเมินภาษีย้อนหลังมากมาย ดังนี้

  1. ไม่มีภาระ “เบี้ยปรับ” และ “เงินเพิ่ม”:
    • เบี้ยปรับ: หากถูกประเมินภาษีย้อนหลัง ผู้เสียภาษีต้องจ่ายเบี้ยปรับ ซึ่งเป็นโทษทางกฎหมาย โดยปกติจะอยู่ที่ 1-2 เท่าของเงินภาษีที่ขาดไป
    • เงินเพิ่ม: นอกจากเบี้ยปรับแล้ว ยังต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตรา 1.5% ต่อเดือน ของเงินภาษีที่ต้องชำระ
    • การจ่ายภาษีตามปกติจะไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ทำให้จ่ายเพียงแค่ยอดภาษีจริงเท่านั้น
  2. ไม่มีความเสี่ยงทางกฎหมาย:
    • การถูกประเมินภาษีย้อนหลังอาจนำไปสู่การดำเนินคดีทางอาญาได้ หากมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีและจำนวนภาษีที่ขาดไปมีมูลค่าสูง
    • การจ่ายภาษีอย่างถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย และไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกฟ้องร้องหรือถูกดำเนินคดีใด ๆ
  3. สร้างความน่าเชื่อถือให้กับกิจการ:
    • การจ่ายภาษีอย่างสม่ำเสมอทำให้กิจการมีความน่าเชื่อถือในสายตาของสถาบันการเงินและคู่ค้า ซึ่งจะช่วยให้การขอสินเชื่อหรือการทำธุรกิจร่วมกับพันธมิตรเป็นไปได้ง่ายขึ้น

ทำไมพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรเตรียมตัวเข้าระบบที่ถูกต้องและวางแผนภาษี

การเตรียมตัวเข้าระบบภาษีที่ดีสำหรับผู้ค้าขายออนไลน์ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่เป็นเรื่องที่จำเป็นและจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน

  1. การจัดการความเสี่ยงแต่เนิ่น ๆ:
    • ในยุคที่สรรพากรสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ง่าย ทั้งจากระบบธนาคารและการค้าออนไลน์ การเตรียมตัวเข้าสู่ระบบตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันความเสี่ยงในอนาคต
    • เมื่อถึงจุดหนึ่งที่รายได้เติบโตจนเข้าข่ายต้องเสียภาษี หากมีการวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้ว การดำเนินการก็จะเป็นเรื่องง่าย
  2. การวางแผนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ:
    • ค่าใช้จ่าย: การเข้าระบบที่ถูกต้องทำให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจมาหักลดหย่อนภาษีได้เต็มที่ เช่น ค่าสินค้า, ค่าขนส่ง, ค่าโฆษณา, หรือค่าจ้างพนักงาน ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดภาษีได้มากกว่าการไม่เข้าระบบ
    • เงินลงทุน: ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการลงทุนเพื่อนำไปใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ เช่น การซื้อกองทุนรวม หรือการทำประกันชีวิต
  3. การสร้างความมั่นคงในระยะยาว:
    • ธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายจะมีความมั่นคงมากกว่า และสามารถขยายกิจการได้ง่ายในอนาคต เช่น การขอสินเชื่อเพื่อลงทุนเพิ่ม หรือการร่วมทุนกับนักลงทุนรายอื่น

การจ่ายภาษีเป็นเรื่องปกติของคนมีเงินได้

ในมุมมองของเศรษฐศาสตร์และสังคม การจ่ายภาษีเป็นเรื่องปกติและเป็นหน้าที่ของทุกคนที่มีรายได้ ซึ่งสะท้อนถึงหลักการง่าย ๆ คือ:

  • คนที่จ่ายภาษี คือคนที่มีรายได้: การได้จ่ายภาษีแสดงว่าคุณเป็นคนที่มีรายได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีและเป็นข้อบ่งชี้ว่าธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ
  • ภาษีเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนธุรกิจ: การจ่ายภาษีควรถูกมองว่าเป็นต้นทุนหนึ่งในการทำธุรกิจ เหมือนกับค่าเช่า, ค่าไฟ, หรือค่าจ้างพนักงาน ซึ่งสามารถนำมาวางแผนทางการเงินได้
  • ภาษีคืนกลับสู่สังคม: ภาษีที่เก็บไปจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศ เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน, การศึกษา, สาธารณสุข และสวัสดิการสังคม ซึ่งท้ายที่สุดก็จะกลับมาเป็นประโยชน์กับตัวผู้เสียภาษีเอง
  • การวางแผนที่ดีจะทำให้ไม่รู้สึกว่าเป็นภาระ: หากคุณวางแผนทางการเงินและภาษีอย่างเหมาะสมตั้งแต่เริ่มต้น การจ่ายภาษีจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องปกติที่ต้องทำในทุกๆ ปี
พ่อค้าแม่ค้าขายของออนไลน์ควรเตรียมตัวเข้าระบบการจ่ายภาษี และวางแผนภาษีท่ี่ดี เพราะการจ่ายภาษีดีกว่าการถูกประเมินภาษีมากกว่า
พ่อค้าแม่ค้าขายของออนไลน์ควรเตรียมตัวเข้าระบบการจ่ายภาษี และวางแผนภาษีท่ี่ดี เพราะการจ่ายภาษีดีกว่าการถูกประเมินภาษีมากกว่า

ธุรกิจและร่างกาย: การเปรียบเทียบที่เหมือนกัน

การเปรียบเทียบธุรกิจกับร่างกายเป็นแนวคิดที่เข้าใจง่ายมาก เพราะทุกองค์ประกอบของธุรกิจล้วนมีความเชื่อมโยง และหน้าที่ที่สอดคล้องกันเหมือนกับอวัยวะในร่างกายของเราค่ะ


1. กระแสเงินสดเหมือนลมหายใจ

  • ลมหายใจของร่างกาย: เราไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้หากไม่มีลมหายใจ หากหยุดหายใจเพียงไม่กี่นาที ร่างกายก็จะล้มเหลวและเสียชีวิต
  • กระแสเงินสดของธุรกิจ: กระแสเงินสดคือเงินสดที่ไหลเข้าและไหลออกจากธุรกิจ การมีกระแสเงินสดที่เพียงพอและสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเงินสดคือสิ่งที่ใช้ในการจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในแต่ละวัน เช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าเช่า, ค่าสินค้า, หรือค่าสาธารณูปโภค
  • บทสรุป: หากธุรกิจขาดกระแสเงินสด แม้จะมียอดขายสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ เพราะไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นได้ทันท่วงที ทำให้ธุรกิจต้องปิดตัวลงในที่สุด เปรียบเหมือนกับร่างกายที่มียอดอาหารในตู้เย็นเต็ม แต่ไม่มีลมหายใจเพื่อนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย

2. ยอดขายเหมือนอาหารเพื่อเลี้ยงชีพ

  • อาหารของร่างกาย: อาหารเป็นแหล่งพลังงานที่ทำให้ร่างกายของเราทำงานได้และเติบโต หากร่างกายไม่ได้รับสารอาหารก็จะอ่อนแอและไม่มีแรง
  • ยอดขายของธุรกิจ: ยอดขายคือรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักที่หล่อเลี้ยงกิจการ ยอดขายที่สูงจะนำมาซึ่งรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตและขยายกิจการได้
  • บทสรุป: ยอดขายเปรียบเสมือนอาหารที่จำเป็นต่อการอยู่รอดของธุรกิจ แม้ว่าจะมีกระแสเงินสดดีเพียงใด แต่ถ้าไม่มีรายได้จากการขาย ธุรกิจก็จะอยู่ไม่ได้ในระยะยาว เพราะไม่มีเงินเข้ามาทดแทนเงินที่จ่ายออกไป เปรียบเหมือนกับการหายใจอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้รับประทานอาหาร ทำให้ร่างกายค่อยๆ อ่อนแอลง

3. ระบบบัญชีที่ดีเหมือนหัวใจของธุรกิจ

  • หัวใจของร่างกาย: หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์
  • ระบบบัญชีของธุรกิจ: ระบบบัญชีทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลทางการเงินทั้งหมด ทั้งยอดขายและค่าใช้จ่าย แล้วประมวลผลให้เป็นรายงานทางการเงินที่สำคัญ เช่น งบกำไรขาดทุนและงบดุล เพื่อให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมของสุขภาพทางการเงินของบริษัท
  • บทสรุป: หากไม่มีระบบบัญชีที่ดี ผู้บริหารก็จะไม่สามารถรู้ได้ว่าธุรกิจมีกำไรหรือขาดทุน มีเงินสดหมุนเวียนพอหรือไม่ เปรียบเหมือนกับหัวใจที่ทำงานผิดปกติ ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่ทั่วถึงและส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม ดังนั้นระบบบัญชีที่แม่นยำและเป็นระเบียบจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและทันเวลา เพื่อให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืน
กระแสเงินสด คือ ลมหายใจ ธุรกิจ คือ ร่างกาย ยอดขาย คือ อาหาร ระบบบัญชี คือ หัวใจของกิจการ
กระแสเงินสด คือ ลมหายใจ ธุรกิจ คือ ร่างกาย ยอดขาย คือ อาหาร ระบบบัญชี คือ หัวใจของกิจการ

การที่บางกิจการไม่รู้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจและค่าใช้จ่ายที่แท้จริงทั้งหมด เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กิจการนั้นไม่สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน แม้ว่าจะมีรายได้ที่ดีก็ตาม ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการขาดทุนและต้องปิดตัวลงในที่สุด

ผลกระทบของการไม่รู้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่แท้จริง

  1. ไม่รู้กำไรที่แท้จริง: เมื่อไม่สามารถคำนวณต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ซ่อนอยู่ได้อย่างครบถ้วน กิจการจะมองเห็นเพียง “กำไรในกระดาษ” ที่สูงเกินจริง ทำให้ประเมินสถานการณ์ผิดพลาดและอาจใช้เงินทุนไปอย่างฟุ่มเฟือย
  2. ตั้งราคาขายผิดพลาด: การตั้งราคาขายโดยไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริง อาจทำให้ตั้งราคาต่ำเกินไปเพื่อหวังดึงลูกค้า แต่กลับได้กำไรน้อยหรือขาดทุน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่ไม่ได้ในระยะยาว
  3. ปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน: การมีรายจ่ายแฝงที่ไม่ถูกบันทึกในบัญชี ทำให้เงินสดในมือลดลงเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ขาดเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
  4. ไม่สามารถวางแผนการเติบโตได้: เมื่อไม่รู้ว่ารายจ่ายที่แท้จริงคืออะไร กิจการก็จะไม่สามารถวางแผนการขยายกิจการได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเท่าไร และมีเงินเหลือพอสำหรับการลงทุนในอนาคตหรือไม่
  5. เสี่ยงต่อการโดนภาษี: การไม่บันทึกค่าใช้จ่ายอย่างครบถ้วนตามหลักการบัญชี ทำให้ไม่สามารถนำค่าใช้จ่ายเหล่านั้นมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ ส่งผลให้ต้องจ่ายภาษีสูงเกินความเป็นจริง

ทำไมกิจการจึงควรรู้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่แท้จริง

การจัดการบัญชีและการวางแผนภาษีที่ดี เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้กิจการสามารถควบคุมและเข้าใจต้นทุนทั้งหมดได้

  1. การตัดสินใจที่แม่นยำขึ้น:
    • ตั้งราคาที่เหมาะสม: เมื่อรู้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายทั้งหมด จะสามารถตั้งราคาขายที่เหมาะสมและทำกำไรได้อย่างยั่งยืน
    • วางแผนงบประมาณ: การรู้รายจ่ายที่แท้จริงจะช่วยให้สามารถวางแผนงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และควบคุมการใช้จ่ายได้อย่างรัดกุม
  2. เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน:
    • ตรวจสอบจุดรั่วไหล: การบันทึกบัญชีอย่างละเอียดจะช่วยให้กิจการสามารถตรวจสอบ “จุดรั่วไหล” ของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน เช่น ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หรือการใช้ทรัพยากรที่มากเกินไป
    • การบริหารจัดการทรัพยากร: เมื่อรู้ต้นทุนที่แท้จริง จะช่วยให้สามารถบริหารจัดการทรัพยากรต่างๆ เช่น สินค้าคงคลัง หรือการใช้พลังงาน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  3. วางแผนภาษีอย่างชาญฉลาด:
    • ประหยัดภาษี: การบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดอย่างถูกต้องตามหลักการบัญชีจะทำให้สามารถนำค่าใช้จ่ายเหล่านั้นมาใช้ลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มที่ ทำให้ประหยัดภาษีได้มากขึ้น
    • ลดความเสี่ยง: การทำบัญชีอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกประเมินภาษีย้อนหลังและค่าปรับในอนาคต

การทำบัญชีและการวางแผนภาษีที่ดีจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถมองเห็นภาพรวมของธุรกิจได้อย่างชัดเจนและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว

การทำธุรกิจ ควรจะมีระบบบัญชีที่ดี เพื่อรู้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่แท้จริง ป้องกันรายจ่ายแฝงจำนวนมาก เพื่อพบสาเหตุของรู้รั่วของกำไรธุรกิจได้
การทำธุรกิจ ควรจะมีระบบบัญชีที่ดี เพื่อรู้ต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่แท้จริง ป้องกันรายจ่ายแฝงจำนวนมาก เพื่อพบสาเหตุของรู้รั่วของกำไรธุรกิจได้

การมุ่งเน้นแต่ยอดขายเพียงอย่างเดียวโดยละเลยการทำบัญชีและการวางแผนภาษีที่ถูกต้องเป็นความผิดพลาดที่สำคัญของหลายกิจการ เพราะอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินและกฎหมายที่ร้ายแรงในอนาคตได้

ทำไมการทำบัญชีและการวางแผนภาษีถึงสำคัญไม่แพ้ยอดขาย

  1. กำไรที่แท้จริงคืออะไร?

    • ยอดขายสูงไม่ได้หมายความว่าธุรกิจมีกำไรสูงเสมอไป กำไรที่แท้จริงคือ “ยอดขาย” หักด้วย “ต้นทุนและค่าใช้จ่ายทั้งหมด” ซึ่งรวมถึงภาษีด้วย
    • หากไม่ทำบัญชีอย่างถูกต้อง เจ้าของกิจการจะไม่รู้ว่าต้นทุนที่แท้จริงคือเท่าไร และไม่สามารถประเมินกำไรที่แท้จริงได้ ทำให้การตัดสินใจทางธุรกิจผิดพลาด
  2. ป้องกันการโดนภาษีย้อนหลัง

    • การทำบัญชีและการวางแผนภาษีที่ดีช่วยลดความเสี่ยงในการถูกประเมินภาษีย้อนหลังอย่างมีนัยสำคัญ
    • หากถูกประเมินภาษีย้อนหลัง จะต้องจ่ายค่าภาษีที่ค้างชำระ รวมถึง เบี้ยปรับ (สูงสุด 2 เท่าของเงินภาษี) และ เงินเพิ่ม (1.5% ต่อเดือน) ซึ่งเป็นภาระทางการเงินที่หนักมากและอาจทำให้กิจการล้มละลายได้
    • การวางแผนภาษีที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจมาหักลดหย่อนได้เต็มที่ ทำให้เสียภาษีน้อยลงอย่างถูกกฎหมาย
  3. ภาษีเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนธุรกิจ

    • ภาษีคือต้นทุนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับทุกธุรกิจที่ทำกำไร การไม่คำนึงถึงภาษีในการตั้งราคาหรือการวางแผนทางการเงินจะทำให้งบประมาณผิดพลาด
    • การวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้กิจการสามารถบริหารต้นทุนส่วนนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การเลือกประเภทธุรกิจที่เหมาะสม, การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต่าง ๆ หรือการบริหารค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องตามเกณฑ์ของกรมสรรพากร

การบริหารจัดการที่ยั่งยืน

  • มีเงินสดหมุนเวียนเพียงพอ: การทำบัญชีที่ดีช่วยให้เจ้าของกิจการรู้สถานะทางการเงินของธุรกิจอย่างแท้จริง ทำให้สามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างความน่าเชื่อถือ: กิจการที่มีการทำบัญชีและจ่ายภาษีอย่างถูกต้องจะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับสถาบันการเงินและคู่ค้า ซึ่งจะช่วยให้การขอสินเชื่อเพื่อขยายกิจการหรือการทำธุรกิจร่วมกับพันธมิตรเป็นไปได้ง่ายขึ้น

สรุป: การมุ่งเน้นแต่ยอดขายเปรียบเหมือนการมองแต่ยอดเขา แต่ไม่สนใจเส้นทางที่จะนำไปสู่ยอดเขา การทำบัญชีที่ถูกต้องและการวางแผนภาษีที่ดี เปรียบเหมือนแผนที่และอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเดินทาง ที่จะช่วยให้ธุรกิจไปถึงเป้าหมายได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืนค่ะ

ทำธุรกิจ อย่ามุ่งแต่สร้างยอดขาย แต่ต้องทำการวางระบบบัญชี ทำบัญชี และภาษีให้ดี เพราะภาษีเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งที่สำคัญของธุรกิจอย่างยิ่ง
ทำธุรกิจ อย่ามุ่งแต่สร้างยอดขาย แต่ต้องทำการวางระบบบัญชี ทำบัญชี และภาษีให้ดี เพราะภาษีเป็นต้นทุนส่วนหนึ่งที่สำคัญของธุรกิจอย่างยิ่ง

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่สรรพากร ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบหรือการสอบถามเกี่ยวกับกิจการ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องยึดถือคือ การพูดความจริงและให้ข้อมูลที่เป็นไปตามความเป็นจริงเท่านั้น การโกหกหรือให้การเท็จนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้


1. สรรพากรมีข้อมูลในมืออยู่แล้ว

การที่เจ้าหน้าที่สรรพากรติดต่อเข้ามาหาคุณ แสดงว่าพวกเขามีข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับกิจการของคุณอยู่แล้ว และข้อมูลเหล่านั้นไม่ใช่ข้อมูลที่มาจากคำกล่าวอ้างของใคร แต่มาจากระบบและฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งรวมถึง:

  • ข้อมูลธุรกรรมการเงิน: จากธนาคารตามกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ต้องรายงานธุรกรรมที่มีจำนวนครั้งและยอดเงินสูง
  • ข้อมูลการซื้อขายทรัพย์สิน: จากกรมที่ดิน (อสังหาริมทรัพย์) และกรมการขนส่งทางบก (ยานพาหนะ)
  • ข้อมูลจากหน่วยงานอื่น: จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (การจดทะเบียนนิติบุคคลและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) และกรมศุลกากร (การนำเข้า-ส่งออก)
  • ข้อมูลจากภาษีหัก ณ ที่จ่าย: ข้อมูลที่คุณหรือคู่ค้าเคยยื่นแบบ ภ.ง.ด. ให้สรรพากร

เมื่อเจ้าหน้าที่ถามคำถาม พวกเขาไม่ได้ถามเพราะไม่รู้ แต่ ถามเพื่อยืนยันข้อเท็จจริง และดูว่าคำตอบของคุณสอดคล้องกับข้อมูลที่พวกเขามีอยู่หรือไม่ การโกหกจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก เพราะจะขัดแย้งกับหลักฐานที่พวกเขามีอยู่ในมือ


2. การโกหกทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ

หากคำตอบของคุณไม่ตรงกับข้อมูลที่พวกเขามีอยู่ เจ้าหน้าที่สรรพากรจะมองว่าคุณมีเจตนาให้ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งจะทำให้:

  • ถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นขึ้น: เมื่อคุณให้ข้อมูลเท็จ เจ้าหน้าที่จะไม่เชื่อถือคำพูดของคุณอีกต่อไป และจะเริ่มตรวจสอบทุกอย่างอย่างละเอียด ตั้งแต่เอกสารทุกแผ่นไปจนถึงบัญชีธนาคารทั้งหมด
  • ถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมทางภาษี: การให้ข้อมูลเท็จถือเป็นความผิดร้ายแรงในสายตาของกรมสรรพากร ซึ่งจะทำให้คุณเสียประวัติ และอาจนำไปสู่การดำเนินคดีทางอาญาในที่สุด

3. ผลที่ตามมาจากคำให้การเท็จ

เมื่อคุณโกหก เจ้าหน้าที่อาจประเมินภาษีจากหลักฐานที่พวกเขามีอยู่แทนคำให้การของคุณ ซึ่งอาจทำให้:

  • โดนประเมินภาษีในอัตราสูงสุด: หากเจ้าหน้าที่พบความไม่สอดคล้องอย่างมาก พวกเขาอาจใช้ดุลยพินิจในการประเมินภาษีโดยประมาณ ซึ่งอาจสูงกว่าความเป็นจริงมาก
  • โดนเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม: หากถูกประเมินภาษีย้อนหลัง คุณจะต้องจ่ายเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม ซึ่งเป็นบทลงโทษที่รุนแรงและมีมูลค่าสูงกว่าเงินภาษีที่ต้องจ่ายจริงมาก

การตอบคำถามของเจ้าหน้าที่สรรพากรอย่างตรงไปตรงมาและเป็นความจริง จะช่วยให้การตรวจสอบสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว หากมีเอกสารที่ถูกต้องและครบถ้วน คุณก็สามารถชี้แจงทุกอย่างได้อย่างโปร่งใส และไม่ต้องกังวลถึงผลที่ตามมาในภายหลังค่ะ

เมื่อเจ้าหน้าที่สรรพากรสอบถามข้อมูล อย่าโกหกเด็ดขาด เพราะเจ้าหน้าที่จะมีข้อเท็จจริงมือ นำสืบทราบก่อนเสมอ
เมื่อเจ้าหน้าที่สรรพากรสอบถามข้อมูล อย่าโกหกเด็ดขาด เพราะเจ้าหน้าที่จะมีข้อเท็จจริงมือ นำสืบทราบก่อนเสมอ

ตามหลักการของกรมสรรพากรแล้ว เป็นเรื่องจริง ที่กรมสรรพากรมีวิธีการตรวจสอบผู้ประกอบการขายของออนไลน์อย่างเข้มข้น โดยมีการตั้งทีมกำกับดูแลและใช้วิธีการต่าง ๆ ในการตรวจสอบเพื่อให้ผู้ประกอบการที่อยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบภาษีอย่างถูกต้อง


การตั้งทีมกำกับดูแลพิเศษและการล่อซื้อ

กรมสรรพากรไม่ได้ตั้งหน่วยงานทีม “ล่อซื้อ” โดยตรงแบบการปราบปรามยาเสพติด แต่มีทีมเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ “ตรวจสอบธุรกรรมออนไลน์” โดยเฉพาะ โดยใช้วิธีการต่างๆ เพื่อหาหลักฐานว่ามีการขายสินค้าและมีรายได้เกิดขึ้นจริง ซึ่งหนึ่งในวิธีการที่ใช้ก็คือการ “ซื้อสินค้าหรือบริการ” จากร้านค้าออนไลน์นั้นๆ

  • วิธีการทำงาน: เจ้าหน้าที่อาจทำตัวเป็นลูกค้าปกติ สั่งซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ที่น่าสงสัยว่ามีรายได้สูงแต่ไม่ได้เสียภาษี เพื่อดูหลักฐานการโอนเงิน, การออกใบเสร็จรับเงิน, และเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • วัตถุประสงค์: การกระทำนี้มีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมหลักฐานการขาย และนำมาเป็นข้อมูลในการประเมินรายได้ของผู้ประกอบการ เพื่อใช้เป็นฐานในการเรียกตรวจสอบและประเมินภาษีต่อไป

การตรวจสอบแบบนี้มักจะเกิดขึ้นกับร้านค้าที่มีการโฆษณา, มียอดผู้ติดตาม, หรือมีการรีวิวจากลูกค้าจำนวนมาก ซึ่งบ่งชี้ว่ามีรายได้จากการขายที่สูงแต่ไม่ได้ยื่นภาษีอย่างถูกต้อง


ทำไมการทำบัญชีชุดเดียวจึงช่วยป้องกันการโดนตรวจสอบและภาษีย้อนหลัง

การทำบัญชีชุดเดียวหมายถึงการบันทึกรายการบัญชีทั้งหมดตามความเป็นจริง ไม่มีการบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายที่ไม่ตรงกับที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งการทำบัญชีแบบนี้จะช่วยป้องกันการถูกตรวจสอบและภาษีย้อนหลังได้ดีที่สุดด้วยเหตุผลดังนี้

  1. ความน่าเชื่อถือของข้อมูล:

    • เมื่อบัญชีสะท้อนรายได้และค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริง ข้อมูลในสมุดบัญชี, งบการเงิน, และแบบแสดงรายการภาษีก็จะตรงกัน ทำให้ง่ายต่อการตรวจสอบ
    • สรรพากรสามารถนำข้อมูลจากบัญชีมาเปรียบเทียบกับข้อมูลจากแหล่งอื่น เช่น รายงานธุรกรรมจากธนาคาร, ข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก, หรือข้อมูลจากลูกค้าและคู่ค้าได้ และหากข้อมูลทั้งหมดตรงกันก็จะลดข้อสงสัยในการหลีกเลี่ยงภาษี
  2. หลักฐานที่แข็งแรง:

    • การทำบัญชีชุดเดียวทำให้มีเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีครบถ้วนและสอดคล้องกับรายการที่เกิดขึ้นจริง หากถูกตรวจสอบก็สามารถนำเอกสารเหล่านี้มาใช้ชี้แจงและยืนยันความถูกต้องได้
    • ในทางกลับกัน หากทำบัญชี 2 ชุด (บัญชีจริงและบัญชีปลอม) หากถูกตรวจสอบและพบว่ามีการยื่นข้อมูลไม่ตรงกัน จะทำให้ถูกมองว่ามีเจตนาทุจริตและอาจถูกดำเนินคดีได้
  3. ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับรายได้:

    • การบันทึกรายได้ทั้งหมดตั้งแต่แรก ทำให้ไม่ต้องกังวลว่ายอดเงินในบัญชีธนาคารจะสูงกว่ารายได้ที่ยื่นภาษี
    • หากถูกตรวจสอบ สรรพากรจะเห็นว่าคุณได้แจ้งรายได้และเสียภาษีตามความเป็นจริง ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการตรวจสอบสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว

การทำธุรกิจอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมายด้วยการทำบัญชีชุดเดียว จึงเป็นแนวทางที่ปลอดภัยที่สุดในระยะยาวค่ะ

สรรพากรมีการตั้งทีมกำกับดูแลพิเศษ และล่อซื้อสินค้าหรือบริการจากการขายไลฟ์สด ออนไลน์ ผู้ประกอบการจึงควรทำบัญชีชุดเดียว
สรรพากรมีการตั้งทีมกำกับดูแลพิเศษ และล่อซื้อสินค้าหรือบริการจากการขายไลฟ์สด ออนไลน์ ผู้ประกอบการจึงควรทำบัญชีชุดเดียว

การหลบภาษี (Tax Evasion) ไม่ใช่วิธีการวางแผนภาษีที่ดี แต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากร ซึ่งจะส่งผลเสียต่อธุรกิจในระยะยาว

ความเสี่ยงของการหลบภาษี

การกระทำที่จงใจซ่อนเร้นรายได้หรือแจ้งข้อมูลเท็จเพื่อเลี่ยงภาษี จะทำให้คุณมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกตรวจสอบจากกรมสรรพากรผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้:

  • การวิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยง (Risk-Based Audit): กรมสรรพากรใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับหลายหน่วยงาน เช่น ธนาคาร, กรมที่ดิน, กรมการขนส่งทางบก, และกรมศุลกากร หากข้อมูลที่คุณยื่นไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมทางการเงินหรือการใช้จ่าย ระบบจะตั้งข้อสงสัยและจัดให้ธุรกิจของคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงสำหรับการตรวจสอบ
  • การเปรียบเทียบข้อมูล (Data Matching): สรรพากรสามารถเปรียบเทียบข้อมูลที่ยื่นโดยคุณกับข้อมูลที่ได้รับจากบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นได้ เช่น
    • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (50 ทวิ): สรรพากรจะนำข้อมูลภาษีที่คุณถูกหัก ณ ที่จ่ายมาเปรียบเทียบกับรายได้ที่คุณแจ้ง หากรายได้ที่แจ้งต่ำกว่ายอดหัก ณ ที่จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ จะเป็นสัญญาณว่าคุณอาจแจ้งรายได้ไม่ครบถ้วน
    • การแจ้งภาษีซื้อ/ขาย (ภ.พ.30): สรรพากรจะเปรียบเทียบยอดขายที่คุณแจ้งกับยอดซื้อของคู่ค้า หรือยอดซื้อที่คุณแจ้งกับยอดขายของคู่ค้า หากตัวเลขไม่ตรงกันก็จะเกิดข้อสงสัยทันที
  • การตรวจสอบเอกสารและบัญชี: หากถูกตรวจสอบ สรรพากรจะขอให้คุณแสดงสมุดบัญชี, เอกสารประกอบการบันทึกบัญชี, และรายการเดินบัญชี (Bank Statement) หากมีการ เพิ่มค่าใช้จ่ายปลอม หรือ ซ่อนรายได้ เจ้าหน้าที่จะสามารถตรวจพบความผิดปกติได้จากเอกสารเหล่านั้น เพราะจะไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินที่แท้จริง

ผลกระทบจากการถูกตรวจสอบและพบว่าหลบภาษี

หากถูกตรวจสอบและพบว่ามีการหลบเลี่ยงภาษี คุณจะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่รุนแรงดังนี้:

  • ภาระภาษีที่มหาศาล: ต้องจ่ายภาษีย้อนหลังทั้งหมด รวมถึง เบี้ยปรับ ซึ่งอาจสูงถึง 1-2 เท่าของเงินภาษีที่ขาดไป และ เงินเพิ่ม ในอัตรา 1.5% ต่อเดือน
  • ความเสี่ยงทางกฎหมาย: การเจตนาหลบเลี่ยงภาษีถือเป็นความผิดทางอาญา ซึ่งอาจมีโทษจำคุกและปรับเงินได้
  • ความน่าเชื่อถือที่เสียไป: การมีประวัติเสียภาษีจะทำให้ธุรกิจขาดความน่าเชื่อถือในสายตาของธนาคารและคู่ค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายธุรกิจในอนาคต

การวางแผนภาษีที่ดีต้องอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมาย การหลบภาษีไม่ใช่การวางแผนแต่เป็นการกระทำที่สร้างความเสี่ยงต่อธุรกิจในระยะยาวค่ะ

การหลบภาษี ไม่ใช้การช่วยประหยัดภาษีที่แท้จริง เช่น การยื่นรายได้ไม่ครบ การใส่ค่าใช้จ่ายเกินจริงลงไป และการปิดบังในข้อมูลงบการเงิน จะเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบภาษีจากสรรพากร
การหลบภาษี ไม่ใช้การช่วยประหยัดภาษีที่แท้จริง เช่น การยื่นรายได้ไม่ครบ การใส่ค่าใช้จ่ายเกินจริงลงไป และการปิดบังในข้อมูลงบการเงิน จะเสี่ยงต่อการถูกตรวจสอบภาษีจากสรรพากร

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

 

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่