สัญญาให้เช่าพื้นที่
การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยเกี่ยวข้องกับภาษีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าผู้ให้เช่าเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล และลักษณะการให้เช่าหรือการใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้:
1. ภาษีเงินได้ (Income Tax)
ภาษีเงินได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ขึ้นอยู่กับสถานะของผู้ให้เช่า
1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับบุคคลธรรมดาที่ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ รายได้ค่าเช่าถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 5 ตามมาตรา 40(5) แห่งประมวลรัษฎากร
- การคำนวณภาษี: (รายได้ค่าเช่า – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษีก้าวหน้า
- การหักค่าใช้จ่าย: สามารถเลือกหักได้ 2 วิธี
- หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา:
- บ้าน อาคาร ตึก โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือแพ: หักเหมาได้ 30%
- ที่ดินที่ใช้ในการเกษตร: หักเหมาได้ 20%
- ที่ดินที่ไม่ได้ใช้ในการเกษตร: หักเหมาได้ 15%
- ค่าเช่ายานพาหนะ: หักเหมาได้ 30%
- ค่าเช่าทรัพย์สินอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้: หักเหมาได้ 10%
- หักค่าใช้จ่ายตามจริงและจำเป็น: ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่ายครบถ้วนและสามารถพิสูจน์ได้ว่าเกี่ยวข้องกับการให้เช่าจริง วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าอัตราหักเหมา
- หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา:
- การยื่นแบบภาษี:
- ภาษีเงินได้ครึ่งปี (ภ.ง.ด.94): สำหรับรายได้ค่าเช่าที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน ต้องยื่นภายในเดือนกันยายนของปีภาษีนั้น
- ภาษีเงินได้ประจำปี (ภ.ง.ด.90): สำหรับรายได้ค่าเช่าที่ได้รับตลอดปีภาษี (มกราคม – ธันวาคม) ต้องยื่นภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป โดยนำภาษีที่จ่ายไปแล้วตาม ภ.ง.ด.94 มาหักออกได้
- การหักค่าใช้จ่าย: สามารถเลือกหักได้ 2 วิธี
1.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับนิติบุคคล (บริษัท, ห้างหุ้นส่วนจำกัด) ที่ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ รายได้ค่าเช่าถือเป็นรายได้จากการประกอบกิจการ ต้องนำไปรวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
- การคำนวณภาษี: (รายได้ค่าเช่า + รายได้อื่น ๆ – ค่าใช้จ่าย) x อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
- อัตราภาษี: โดยทั่วไปอัตราภาษีอยู่ที่ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ แต่สำหรับ SME (ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี) จะมีอัตราภาษีที่ลดหย่อนลง เช่น กำไรสุทธิ 3 แสนบาทแรกได้รับการยกเว้น, 3 แสนบาทถึง 3 ล้านบาทเสีย 15%, ส่วนที่เกิน 3 ล้านบาทเสีย 20%
- การหักค่าใช้จ่าย: สามารถหักค่าใช้จ่ายตามจริงที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับการให้เช่าได้ทั้งหมด โดยต้องมีหลักฐานประกอบครบถ้วน
- การยื่นแบบภาษี:
- ภาษีเงินได้ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (ภ.ง.ด.51): ยื่นภายใน 2 เดือนนับแต่วันสุดท้ายของครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี
- ภาษีเงินได้สิ้นรอบระยะเวลาบัญชี (ภ.ง.ด.50): ยื่นภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
ในกรณีที่ผู้เช่าเป็นนิติบุคคล หรือเป็นบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจและจ่ายค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ให้กับผู้ให้เช่า (ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล) ผู้เช่ามีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ และนำส่งกรมสรรพากร
-
อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย:
- ร้อยละ 5 ของค่าเช่า สำหรับเงินได้ประเภทค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์
-
การนำส่ง: ผู้หักภาษีมีหน้าที่นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.3 สำหรับบุคคลธรรมดา และ ภ.ง.ด.53 สำหรับนิติบุคคล) ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายค่าเช่า หรือภายในวันที่ 15 หากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT)
-
โดยหลักการ: การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ (เช่น ที่ดิน, อาคาร, สิ่งปลูกสร้างอื่น) ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 81(1)(ต) แห่งประมวลรัษฎากร
-
ข้อยกเว้นที่ต้องเสีย VAT:
- การให้เช่าที่ดินที่ใช้ในการประกอบกิจการ: หากเป็นการให้เช่าที่ดินเปล่าโดยไม่ได้มีการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ และผู้เช่านำไปใช้ประกอบกิจการ (เช่น ทำเป็นลานจอดรถ, ตลาดนัด) อาจเข้าข่ายต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
- การให้บริการอื่น ๆ ร่วมกับการให้เช่า: หากการให้เช่าไม่ได้มีเพียงการส่งมอบพื้นที่เปล่า แต่มีการให้บริการเพิ่มเติมที่มีลักษณะเป็นธุรกิจ ซึ่งแยกส่วนออกจากค่าเช่าได้ชัดเจน (และมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี) เช่น:
- การให้เช่าพื้นที่พร้อมบริการเฟอร์นิเจอร์ หรืออุปกรณ์สำนักงาน
- การให้บริการน้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ที่เรียกเก็บแยกจากค่าเช่าและมีกำไร
- การให้บริการทำความสะอาด, บริการรักษาความปลอดภัย
- การให้เช่าพื้นที่พร้อมการบริการบริหารจัดการ (เช่น การให้เช่าในศูนย์การค้า, โรงแรม)
- การให้เช่าพื้นที่สำหรับติดตั้งป้ายโฆษณา
- การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในลักษณะเป็นธุรกิจโรงแรม: ถือเป็นการให้บริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
-
ข้อควรระวัง: ภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า (ที่ได้รับยกเว้น VAT) ไม่สามารถนำมาหักจากภาษีขายได้ และถือเป็นต้นทุนของอสังหาริมทรัพย์นั้น
4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax – SBT)
-
โดยหลักการ: การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ไม่เข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
-
ข้อยกเว้นที่ต้องเสีย SBT:
- การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นปกติธุระ: หากการให้เช่าเป็นการให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อมาเพื่อขายโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไร (โดยทั่วไปคือถือครองไม่เกิน 5 ปี หรือมีการขายหลายครั้ง) จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะจากการ “ขาย” ไม่ใช่จากการให้เช่า
5. อากรแสตมป์ (Stamp Duty)
- สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ (ที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น หรือแพ) เป็นตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์
- อัตรา: 1 บาท ต่อทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท ของค่าเช่ารวมตลอดอายุสัญญา หรือเงินกินเปล่า หรือเงินอื่นใดที่ตกลงกันเพื่อการเช่า
- ผู้มีหน้าที่เสียอากร: โดยทั่วไปคือผู้ให้เช่าหรือผู้รับเช่า แล้วแต่จะตกลงกัน แต่หากไม่มีการตกลง ผู้ให้เช่าจะเป็นผู้มีหน้าที่หลัก
- บทลงโทษ: หากไม่ปิดอากรแสตมป์ หรือปิดไม่ครบถ้วน จะไม่สามารถนำสัญญาไปเป็นพยานหลักฐานในศาลได้ และมีเงินเพิ่มอากร รวมถึงอาจมีโทษปรับ
6. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (Land and Building Tax)
- ภาษีนี้ได้เข้ามาแทนที่ภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ ตั้งแต่ปี 2563
- ผู้มีหน้าที่เสียภาษี: เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือผู้ครอบครอง/ทำประโยชน์ในที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง
- ฐานภาษี: คำนวณจาก “มูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” (ราคาประเมินทุนทรัพย์ของกรมธนารักษ์)
- อัตราภาษี: ขึ้นอยู่กับประเภทการใช้ประโยชน์ และมูลค่าของที่ดิน/สิ่งปลูกสร้าง
- ที่ดิน/สิ่งปลูกสร้างที่ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์/อื่น ๆ (รวมถึงการให้เช่า): มีอัตราภาษีที่สูงกว่าการใช้เพื่อการอยู่อาศัย โดยมีอัตราก้าวหน้า เช่น 0.3% – 0.7% (สำหรับมูลค่าที่เกินจากเกณฑ์ยกเว้น)
- การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์: ได้แก่ การนำไปให้เช่า เช่น อาคารให้เช่า, ห้องชุดให้เช่า, ที่ดินให้เช่าเพื่อการค้า
- การชำระ: ชำระกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในเขตที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ โดยทั่วไปภายในเดือนเมษายนของทุกปี
สรุปคือ การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เป็นกิจกรรมที่มีภาษีเกี่ยวข้องหลายประเภท ผู้ให้เช่าควรศึกษาและทำความเข้าใจภาษีแต่ละชนิดอย่างละเอียด เพื่อให้ปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง และวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการแยกแยะระหว่างการให้เช่าพื้นที่เปล่ากับการให้บริการเพิ่มเติม เพราะมีผลต่อภาระภาษีมูลค่าเพิ่มที่แตกต่างกัน รวมถึงการบริหารจัดการเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่าย และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างด้วย การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปอย่างถูกต้องค่ะ



สัญญาให้ใช้พื้นที่ หรือสัญญาบริการ
การ “ให้บริการใช้พื้นที่” เป็นคำที่มีความหมายกว้างกว่า “การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์” ทั่วไป และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาระภาษี โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีหัก ณ ที่จ่าย เนื่องจากความแตกต่างในการตีความตามกฎหมายสรรพากร
โดยสรุปคือ:
- การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ (Leasing Immovable Property): หมายถึงการที่ผู้ให้เช่า “ส่งมอบการครอบครองพื้นที่” ให้แก่ผู้เช่า ผู้เช่ามีสิทธิ์ใช้พื้นที่นั้นโดยเฉพาะเจาะจงและมีอิสระในการใช้สอย (เช่น เช่าบ้านทั้งหลัง, เช่าพื้นที่สำนักงานทั้งหมด) โดยทั่วไปได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
- การให้บริการใช้พื้นที่ (Providing Space Usage Services): หมายถึงการที่ผู้ให้บริการ “ไม่ได้ส่งมอบการครอบครองพื้นที่” โดยสมบูรณ์ แต่ยังคงมีสิทธิในการดูแล ควบคุม หรือใช้ประโยชน์ในพื้นที่นั้นอยู่ และมักมีการให้บริการอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นการ “ให้บริการ” ตามกฎหมายภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยทั่วไปต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
มาดูภาษีที่เกี่ยวข้องกับการ “ให้บริการใช้พื้นที่” โดยละเอียด:
1. ภาษีเงินได้ (Income Tax)
ไม่ว่าจะเป็นการให้เช่าหรือให้บริการใช้พื้นที่ รายได้ที่ได้รับย่อมถือเป็นเงินได้ของผู้ประกอบการ ซึ่งต้องนำไปเสียภาษีเงินได้
1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับบุคคลธรรมดาที่ให้บริการใช้พื้นที่ รายได้ที่ได้รับถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 8 ตามมาตรา 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร (เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่น ๆ)
- การคำนวณภาษี: (รายได้จากการให้บริการใช้พื้นที่ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษีก้าวหน้า
- การหักค่าใช้จ่าย: สามารถเลือกหักได้ 2 วิธี
- หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมา: มักจะหักได้ 50% ของรายได้ (แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท)
- หักค่าใช้จ่ายตามจริงและจำเป็น: ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่ายครบถ้วนและสามารถพิสูจน์ได้
- การยื่นแบบภาษี:
- ภาษีเงินได้ครึ่งปี (ภ.ง.ด.94): สำหรับรายได้ที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน ต้องยื่นภายในเดือนกันยายนของปีภาษีนั้น
- ภาษีเงินได้ประจำปี (ภ.ง.ด.90): สำหรับรายได้ที่ได้รับตลอดปีภาษี (มกราคม – ธันวาคม) ต้องยื่นภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป
- การหักค่าใช้จ่าย: สามารถเลือกหักได้ 2 วิธี
1.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับนิติบุคคล รายได้จากการให้บริการใช้พื้นที่ถือเป็นรายได้จากการประกอบกิจการ ต้องนำไปรวมคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล
- การคำนวณภาษี: (รายได้จากการให้บริการใช้พื้นที่ + รายได้อื่น ๆ – ค่าใช้จ่าย) x อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
- อัตราภาษี: โดยทั่วไปร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิ (อาจมีอัตราลดหย่อนสำหรับ SME)
- การหักค่าใช้จ่าย: สามารถหักค่าใช้จ่ายตามจริงที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องกับการให้บริการได้ทั้งหมด โดยต้องมีหลักฐานประกอบครบถ้วน
- การยื่นแบบภาษี:
- ภาษีเงินได้ครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี (ภ.ง.ด.51): ยื่นภายใน 2 เดือนนับแต่วันสุดท้ายของครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี
- ภาษีเงินได้สิ้นรอบระยะเวลาบัญชี (ภ.ง.ด.50): ยื่นภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
ในกรณีที่ผู้ใช้บริการ (ผู้จ่ายเงิน) เป็นนิติบุคคล หรือเป็นบุคคลธรรมดาที่ประกอบธุรกิจและจ่ายเงินค่าบริการใช้พื้นที่ให้กับผู้ให้บริการ (ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล) ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ และนำส่งกรมสรรพากร
- อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่าย:
- ร้อยละ 3 สำหรับเงินได้ประเภทค่าบริการ
- การนำส่ง: ผู้หักภาษีมีหน้าที่นำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.3 สำหรับบุคคลธรรมดา และ ภ.ง.ด.53 สำหรับนิติบุคคล) ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่จ่ายค่าบริการ หรือภายในวันที่ 15 หากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต
3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT)
นี่คือจุดแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง “การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์” และ “การให้บริการใช้พื้นที่”
- หลักการ: การให้บริการใช้พื้นที่ ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 (ปัจจุบัน) หากผู้ประกอบการมีรายรับจากการให้บริการเกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
- ลักษณะที่ถือว่าเป็นการให้บริการใช้พื้นที่ (ที่ต้องเสีย VAT):
- ไม่ได้ส่งมอบการครอบครองพื้นที่อย่างเบ็ดเสร็จ: ผู้ให้บริการยังคงมีสิทธิในการเข้าออก ตรวจตรา ควบคุมดูแลพื้นที่นั้นอยู่ หรือมีการจัดให้ใช้พื้นที่รวมกับบริการอื่น ๆ
- มีการให้บริการเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญ: นอกเหนือจากการให้ใช้พื้นที่เปล่า เช่น
- การให้เช่าพื้นที่ในศูนย์การค้า, ห้างสรรพสินค้า, ตลาดนัด, พื้นที่จัดแสดงสินค้า (บูธ) ที่ผู้ให้เช่ายังคงควบคุมบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลาง
- การให้เช่าพื้นที่สำหรับติดตั้งป้ายโฆษณา
- การให้เช่าพื้นที่พร้อมการให้บริการสาธารณูปโภค (น้ำ, ไฟฟ้า, แอร์) หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ (ทำความสะอาด, รักษาความปลอดภัย, บริการบำรุงรักษา) โดยเรียกเก็บค่าบริการเหล่านี้รวมหรือแยกต่างหาก
- การให้เช่าพื้นที่ในลักษณะ Co-working Space ที่มีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ด้วย
- การให้เช่าพื้นที่สำหรับวางเครื่องจักร หรือตู้ขายสินค้า ที่ผู้ให้บริการยังคงมีสิทธิเข้าถึงและดูแล
- ภาระหน้าที่ของผู้ประกอบการ:
- หากมีรายรับเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้อง จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01)
- เรียกเก็บ VAT 7% จากผู้ใช้บริการ และออกใบกำกับภาษี
- จัดทำรายงานภาษีขายและภาษีซื้อ
- ยื่นแบบ ภ.พ.30 และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax – SBT)
- โดยทั่วไปแล้ว การให้บริการใช้พื้นที่ไม่เข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เนื่องจากภาษีธุรกิจเฉพาะจะเก็บจากกิจการบางประเภทที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดเจน (เช่น ธนาคาร, ธุรกิจเงินทุน, ประกันชีวิต, โรงรับจำนำ, การขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นปกติธุระ)
5. อากรแสตมป์ (Stamp Duty)
- สัญญาให้บริการใช้พื้นที่โดยทั่วไป “ไม่ใช่” ตราสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ (ต่างจากสัญญาให้เช่าอสังหาริมทรัพย์)
- ข้อยกเว้น: หากสัญญาดังกล่าวมีข้อกำหนดที่มีลักษณะเป็นการ “เช่าอสังหาริมทรัพย์” (มีการส่งมอบการครอบครอง) แม้จะเรียกชื่อว่าสัญญาให้บริการ ก็อาจถูกตีความว่าเป็นสัญญาเช่าและต้องเสียอากรแสตมป์ได้ ดังนั้นควรตรวจสอบเนื้อหาของสัญญาอย่างละเอียด
6. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (Land and Building Tax)
- ภาษีนี้เกี่ยวข้องกับ “เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ไม่ว่าเจ้าของจะนำไปให้เช่า หรือให้บริการใช้พื้นที่ก็ตาม
- ผู้มีหน้าที่เสียภาษี: เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือผู้ครอบครอง/ทำประโยชน์
- ฐานภาษี: มูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ราคาประเมินทุนทรัพย์)
- อัตราภาษี: ขึ้นอยู่กับประเภทการใช้ประโยชน์ ซึ่งการให้บริการใช้พื้นที่มักจะเข้าข่าย “การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์/อื่น ๆ” ที่มีอัตราภาษีที่สูงกว่าการอยู่อาศัย
- การชำระ: ชำระกับ อปท. ภายในเดือนเมษายนของทุกปี
ข้อควรพิจารณาที่สำคัญที่สุด: “การให้เช่า” หรือ “การให้บริการ”
การแยกแยะระหว่าง “การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์” (ซึ่งได้รับยกเว้น VAT) กับ “การให้บริการใช้พื้นที่” (ซึ่งต้องเสีย VAT) เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและมักเป็นประเด็นที่กรมสรรพากรเข้ามาตรวจสอบ ตัวชี้วัดสำคัญคือ การส่งมอบการครอบครอง และ การให้บริการเพิ่มเติม
- หากมีการ “ส่งมอบการครอบครอง” โดยสมบูรณ์: เช่น ผู้เช่าได้รับกุญแจ มีสิทธิ์เข้าออกพื้นที่นั้นได้ตลอดเวลา และควบคุมการใช้พื้นที่นั้นได้โดยอิสระ โดยไม่มีบริการเพิ่มเติมที่มีนัยสำคัญ -> มักถือเป็นการ ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ (ยกเว้น VAT)
- หากไม่มีการ “ส่งมอบการครอบครอง” โดยสมบูรณ์: ผู้ให้บริการยังคงควบคุมดูแลพื้นที่ หรือมีการให้บริการอื่น ๆ ร่วมด้วยอย่างเป็นสาระสำคัญ -> มักถือเป็นการ ให้บริการใช้พื้นที่ (ต้องเสีย VAT)
ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจให้ใช้พื้นที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อพิจารณาลักษณะของสัญญาและรูปแบบการดำเนินงานอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดประเภทรายได้และภาระภาษีเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และหลีกเลี่ยงปัญหาจากการประเมินภาษีย้อนหลังค่ะ


ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax