รายละเอียดของเงินเข้าบัญชีธนาคารที่ถูกนำส่งข้อมูลแก่สรรพากร
ในประเทศไทย ธนาคารพาณิชย์มีหน้าที่ต้องนำส่งข้อมูลเกี่ยวกับรายการเงินฝากเข้าบัญชีของบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลให้กับกรมสรรพากร เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ข้อมูลภาษีและป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี การนำส่งข้อมูลนี้มีผลบังคับใช้ตาม มาตรา 3 สัตต แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นมาตรการที่ช่วยให้สรรพากรสามารถตรวจสอบรายได้ของผู้เสียภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ข้อมูลอะไรบ้างที่ธนาคารนำส่งให้สรรพากร?
ข้อมูลที่ธนาคารนำส่งจะจำแนกตามประเภทของบัญชีและจำนวนครั้ง/ยอดเงินที่เข้าบัญชี ดังนี้:
1.สำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทั่วไป:
- จำนวนครั้ง: 3,000 ครั้งขึ้นไป (ไม่จำกัดยอดรวม)
- ยอดรวม: 400 ครั้งขึ้นไป และมียอดรวม 2,000,000 บาทขึ้นไป
หมายเหตุ: หากยอดเงินเข้าบัญชีไม่เข้าข่ายเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งข้างต้น ธนาคารจะยังไม่นำส่งข้อมูลให้สรรพากร


2.ข้อมูลรายละเอียดที่ถูกนำส่ง: เมื่อเข้าเงื่อนไขข้างต้น ธนาคารจะนำส่งข้อมูลพื้นฐานของบัญชีและรายการเดินบัญชี (Statement) ในส่วนของเงินเข้าบัญชี ได้แก่:
-
- เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร / เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน: ของเจ้าของบัญชี
- ชื่อ-นามสกุล / ชื่อกิจการ: ของเจ้าของบัญชี
- เลขที่บัญชีธนาคาร: บัญชีที่เข้าเงื่อนไข
- จำนวนยอดเงินรวมที่รับโอนเข้าบัญชี: ในรอบปีปฏิทินนั้นๆ
- จำนวนครั้งรวมที่รับโอนเข้าบัญชี: ในรอบปีปฏิทินนั้นๆ
- ประเภทบัญชี: เช่น ออมทรัพย์, กระแสรายวัน
ธนาคารนำส่งข้อมูลเมื่อไหร่?
ธนาคารจะนำส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร ปีละ 2 ครั้ง คือ:
- รอบที่ 1: ข้อมูลระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน จะถูกนำส่งภายในวันที่ 31 กรกฎาคม ของปีเดียวกัน
- รอบที่ 2: ข้อมูลระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม จะถูกนำส่งภายในวันที่ 31 มกราคม ของปีถัดไป

เงินเข้าบัญชีธนาคารที่ถูกนำส่งข้อมูลกรมสรรพากร – เริ่มเก็บยอดตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม ของทุกปี
ทำไมสรรพากรจึงต้องได้รับข้อมูลนี้?
การที่สรรพากรได้รับข้อมูลเงินเข้าบัญชีธนาคารมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ:
- เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบและประเมินภาษี: ช่วยให้สรรพากรสามารถระบุผู้เสียภาษีที่มีรายได้สูงแต่ไม่ได้ยื่นแบบแสดงรายการ หรือยื่นแบบฯ ต่ำกว่าความเป็นจริง
- ป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี: โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้าออนไลน์, ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือผู้ที่มีรายได้จากการทำธุรกิจที่รับเงินโอนเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่มีการออกเอกสารหลักฐานที่ชัดเจน
- สร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี: เพื่อให้ผู้ที่มีรายได้พึงประเมินเข้าสู่ระบบภาษีอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมมากขึ้น
- ใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา: ข้อมูลนี้จะถูกนำไปวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลภาษีอื่นๆ ที่สรรพากรมีอยู่ เช่น ข้อมูลการยื่น ภ.ง.ด.ต่าง ๆ, ข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) หากพบความผิดปกติ สรรพากรอาจพิจารณาเรียกตรวจสอบหรือขอเอกสารหลักฐานเพิ่มเติม
ข้อมูลที่ส่งให้สรรพากร ไม่ได้แปลว่าเป็นเงินได้ทั้งหมด
สิ่งสำคัญที่ควรทำความเข้าใจคือ เงินที่เข้าบัญชีธนาคาร ไม่ได้แปลว่าเป็น “เงินได้พึงประเมิน” ที่ต้องเสียภาษีทั้งหมด เสมอไป
- เงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี: คือ เงินได้ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร เช่น เงินเดือน, ค่าจ้าง, ค่าวิชาชีพอิสระ, ค่าเช่า, ดอกเบี้ย, เงินปันผล, รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ
- เงินที่เข้าบัญชีแต่ไม่ถือเป็นเงินได้พึงประเมิน: เช่น
- เงินกู้ยืม
- เงินที่ได้จากการขายทรัพย์สินส่วนตัวที่ไม่ใช่ทางการค้าหรือหากำไร (เช่น ขายรถเก่า, ขายบ้านที่เคยอยู่อาศัย)
- เงินที่ได้รับคืนจากคนรู้จัก (เช่น โอนเงินคืนค่าอาหารที่ออกไปก่อน)
- เงินโอนระหว่างบัญชีของบุคคลคนเดียวกัน
- เงินทุนที่นำเข้ากิจการ
- เงินมรดก หรือเงินที่ได้จากการประกันภัย




หากสรรพากรเรียกตรวจสอบ ผู้เสียภาษีมีหน้าที่ต้องชี้แจงและแสดงหลักฐานประกอบว่าเงินที่ได้รับโอนเข้าบัญชีนั้นมีที่มาอย่างไร และเหตุใดจึงไม่ถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษี
ดังนั้น การเก็บหลักฐานการโอนเงิน, ใบเสร็จ, สัญญา, หรือเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินที่เข้าบัญชีจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อสามารถชี้แจงต่อสรรพากรได้หากถูกเรียกตรวจสอบค่ะ
ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax









