ขายของออนไลน์ ควรยื่นภาษีให้ถูกต้อง ปลอดภัยจากสรรพากร

ภาษีสำหรับการขายออนไลน์ ถือเป็นภาษีเงินได้จากการขาย หรือ เงินได้ประเภทที่ 8

ต้องยื่นภาษีประจำปีและภาษีครึ่งปี (ปีละ 2 ครั้ง)

♥ การหักค่าใช้จ่ายมี 2 แบบ

1.หักแบบเหมา 60%

2.หักตามจริง (ต้องแจกแจงค่าใช้จ่าย)

การขายของออนไลน์ในประเทศไทยถือเป็น “เงินได้” ที่ต้องนำมาคำนวณภาษีตามกฎหมาย ซึ่งมีโครงสร้างภาษีหลักๆ ที่เกี่ยวข้อง 2 แบบใหญ่ๆ ขึ้นอยู่กับรูปแบบการประกอบกิจการและรายได้ที่เกิดขึ้น รวมถึงภาษีอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง


โครงสร้างภาษีจากเงินได้ของการขายของออนไลน์

โครงสร้างภาษีหลักๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขายของออนไลน์ในประเทศไทย มี 2 แบบ ขึ้นอยู่กับสถานะทางกฎหมายของบุคคลหรือนิติบุคคลที่ประกอบกิจการ:

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax – PIT)

  • ผู้ที่ต้องเสีย: บุคคลธรรมดา, คณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล, ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล (ผู้ขายของออนไลน์ส่วนใหญ่เริ่มต้นจากรูปแบบนี้)
  • ประเภทเงินได้: รายได้จากการขายของออนไลน์ จัดอยู่ในเงินได้พึงประเมิน มาตรา 40(8) (เงินได้จากธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร อุตสาหกรรม การขนส่ง หรือการอื่น ๆ)
  • การคำนวณ:
    • รายได้ (ทั้งปี) – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อนส่วนตัวและอื่นๆ = เงินได้สุทธิที่ต้องเสียภาษี
    • ค่าใช้จ่าย: สามารถเลือกหักได้ 2 วิธี คือ
      • หักค่าใช้จ่ายตามจริง: ต้องมีหลักฐานรายรับ-รายจ่ายที่ชัดเจนและครบถ้วน (นิยมสำหรับผู้มีรายได้สูง หรือมีค่าใช้จ่ายจำนวนมาก)
      • หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา: กรมสรรพากรกำหนดอัตราเหมาจ่ายสำหรับเงินได้ 40(8) ไว้ที่ 60% ของรายได้ (สะดวกสำหรับผู้ที่ไม่มีเอกสารค่าใช้จ่ายครบถ้วน หรือมีค่าใช้จ่ายน้อย)

อัตราภาษี: แบบก้าวหน้า (Progressive Rate) ตั้งแต่ 0% – 35% (ผู้มีเงินได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ได้รับยกเว้นภาษี)

โครงสร้างภาษีสำหรับการขายของออนไลน์
โครงสร้างภาษีสำหรับการขายของออนไลน์

2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax – CIT)

  • ผู้ที่ต้องเสีย: กิจการที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด, หรือนิติบุคคลอื่น ๆ ที่ตามกฎหมายกำหนด
  • การคำนวณ:
    • กำไรสุทธิทางภาษี (รายได้ – ค่าใช้จ่ายที่รับรู้ได้ตามกฎหมาย) x อัตราภาษี
    • อัตราภาษี: โดยทั่วไปอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลคือ 20% ของกำไรสุทธิ
    • ข้อยกเว้นสำหรับ SME: ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี จะได้รับสิทธิพิเศษ:
      • กำไรสุทธิ 0 – 300,000 บาท: ได้รับยกเว้นภาษี
      • กำไรสุทธิ 300,001 – 3,000,000 บาท: เสียภาษี 15%
      • กำไรสุทธิส่วนที่เกิน 3,000,000 บาท: เสียภาษี 20%
  • การทำบัญชี: กิจการในรูปแบบนิติบุคคลมีหน้าที่ต้องจัดทำบัญชีตามมาตรฐานการบัญชี และมีผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและรับรองงบการเงิน
ภาษีเงินได้บุคคล ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภาษีเงินได้บุคคล ภาษีเงินได้นิติบุคคล

ภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขายของออนไลน์

1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT)

  • ผู้ที่ต้องเสีย/จดทะเบียน: ผู้ประกอบการ (ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล) ที่มีรายรับจากการขายสินค้าหรือบริการที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี (นับจากยอดขายรวมทั้งหมด)
  • อัตราภาษี: 7% ของมูลค่าสินค้าหรือบริการ (สำหรับอัตราปัจจุบัน)
  • การคำนวณ: ภาษีขาย (Output Tax) – ภาษีซื้อ (Input Tax) = ภาษีที่ต้องนำส่ง (หรือขอคืน)
  • ภาระหน้าที่เพิ่มเติมเมื่อจด VAT:
    • ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากลูกค้า (แสดงในใบกำกับภาษี)
    • ต้องออกใบกำกับภาษีให้กับผู้ซื้อ
    • ต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อ ภาษีขาย และสต็อกสินค้า (กรณีขายสินค้า)
    • ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือน
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ขายของออนไลน์
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ขายของออนไลน์

2. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax – WHT)

  • ไม่ใช่ภาษีที่ผู้ขายของออนไลน์ต้องเสียโดยตรงจากยอดขาย: แต่เป็นกลไกการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ
  • กรณีที่ผู้ขายออนไลน์เป็น “ผู้ถูกหัก”:
    • หากผู้ขายออนไลน์ให้บริการ (เช่น รับทำโฆษณา, รับทำเว็บไซต์) และผู้ว่าจ้างเป็นนิติบุคคลหรือเป็นผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้รับเงินอาจถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย (เช่น 3% สำหรับบริการ)
  • กรณีที่ผู้ขายออนไลน์เป็น “ผู้หัก”:
    • หากผู้ขายออนไลน์เป็นนิติบุคคล หรือเป็นบุคคลธรรมดาที่จดทะเบียน VAT แล้ว และมีการจ่ายค่าบริการบางประเภท (เช่น ค่าเช่าพื้นที่, ค่าโฆษณา, ค่าจ้างทำของ) ให้กับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ผู้ขายออนไลน์มีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายและนำส่งกรมสรรพากร

ต้องยื่นภาษีอย่างไรบ้าง?

การยื่นภาษีจะแตกต่างกันไปตามประเภทของภาษีและรูปแบบการประกอบกิจการ:

1. การเตรียมตัวเบื้องต้น:

  • ลงทะเบียนผู้เสียภาษี: ทุกคนที่มีรายได้ต้องมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี 13 หลัก (คนไทยใช้เลขบัตรประชาชน)
  • จดทะเบียนพาณิชย์ (สำหรับบุคคลธรรมดา): หากขายของออนไลน์เป็นอาชีพ และมีการซื้อมาขายไป แนะนำให้จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
  • จดทะเบียนบริษัท/ห้างหุ้นส่วน (สำหรับนิติบุคคล): จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
  • จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.01): หากรายได้ถึงเกณฑ์ 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องยื่นจดทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่รายรับถึงเกณฑ์

2. การเก็บรักษาเอกสารหลักฐาน:

  • สำคัญมาก: ต้องเก็บหลักฐานรายรับ (เช่น สลิปโอนเงิน, ใบยืนยันคำสั่งซื้อ, รายงานจากแพลตฟอร์ม) และรายจ่าย (บิลค่าสินค้า, ค่าขนส่ง, ค่าโฆษณา, ค่าอินเทอร์เน็ต) อย่างเป็นระบบ และครบถ้วน เพื่อใช้ในการคำนวณภาษีและเป็นหลักฐานหากถูกตรวจสอบ

3. การยื่นภาษีตามประเภท:

  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา:

    • กลางปี: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.94 (สำหรับเงินได้ ม.40(5)-(8) ที่เกิดขึ้นระหว่าง 1 ม.ค. – 30 มิ.ย.) ยื่นภายในวันที่ 30 กันยายนของปีนั้น
    • สิ้นปี: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 (สำหรับเงินได้ทุกประเภทที่เกิดขึ้นระหว่าง 1 ม.ค. – 31 ธ.ค.) ยื่นภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
  • ภาษีเงินได้นิติบุคคล:

    • กลางปี: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 (สำหรับกำไรสุทธิรอบ 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี) ยื่นภายใน 2 เดือนนับจากวันครบ 6 เดือนของรอบระยะเวลาบัญชี
    • สิ้นปี: ยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 (สำหรับกำไรสุทธิทั้งรอบระยะเวลาบัญชี) ยื่นภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (ถ้าจด VAT แล้ว):

    • ยื่นแบบ ภ.พ.30 เป็นรายเดือน ยื่นภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าจะมีภาษีต้องชำระหรือไม่ก็ตาม (หากตรงกับวันหยุดราชการ จะเลื่อนไปวันทำการถัดไป)
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (ถ้าเป็นผู้หัก):

    • ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1, ภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53 (ตามประเภทของเงินได้ที่หัก) เป็นรายเดือน ยื่นภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (หรือวันที่ 15 หากยื่นผ่านอินเทอร์เน็ต)
ขายของออนไลน์ -ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ขายของออนไลน์ -ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ช่องทางการยื่นภาษี:

  • ยื่นออนไลน์ (e-filing): แนะนำให้ยื่นผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร (www.rd.go.th) ซึ่งสะดวก รวดเร็ว และมักจะได้รับระยะเวลาการยื่นที่นานขึ้น
  • ยื่นด้วยกระดาษ: ยื่นได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาในเขตพื้นที่

คำแนะนำสำหรับผู้ขายของออนไลน์:

  • ตรวจสอบรายได้อย่างสม่ำเสมอ: เพื่อให้ทราบว่าถึงเกณฑ์ต้องจดทะเบียน VAT หรือไม่
  • แยกบัญชีเงินฝาก: ควรมีบัญชีสำหรับรับรายได้จากการขายของออนไลน์โดยเฉพาะ เพื่อให้ง่ายต่อการบริหารจัดการและตรวจสอบ
  • ศึกษาข้อมูลให้ดี: ทำความเข้าใจประเภทเงินได้ ค่าใช้จ่ายที่หักได้ และค่าลดหย่อนต่างๆ
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากรายได้เริ่มสูง หรือกิจการมีความซับซ้อน ควรปรึกษาผู้ทำบัญชี หรือสำนักงานบัญชี เพื่อวางแผนภาษีให้ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

การปฏิบัติตามกฎหมายภาษีอย่างถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่น และหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคตได้

ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้

AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร

✅ ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
✅ มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
✅ ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท

✅ ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
✅ ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
📧 อีเมล: accprotax@gmail.com
📞 โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax

ภาษีเงินได้นิติบุคคล - ขายของออนไลน์
ภาษีเงินได้นิติบุคคล – ขายของออนไลน์

บริษัทแอคโปรแท็ค จำกัด รับทำบัญชี
เพราะลูกค้าคือคนสำคัญ

เรามีทีมงานที่มีประสบการณ์ด้านบัญชีและเชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษีอากรอย่างสูงรับประกันธุรกิจของท่านจะได้การดูแล และประหยัดการเสียภาษีสูงสุด ยินดีให้คำปรึกษาสอบถามบริการ

แชร์บทความนี้ :
ค้นหา
บทความที่เกี่ยวข้อง
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือคำปรึกษา

ติดต่อทีมงานของเราได้ทุกเมื่อเรายินดีให้บริการคุณอย่างเต็มที่