1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือภาษีที่จัดเก็บจาก รายได้ของบุคคลทั่วไป ที่เกิดขึ้นในระหว่างปีภาษี (1 มกราคม – 31 ธันวาคม) โดยผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีให้กับกรมสรรพากรหากมีเงินได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด
การยื่นภาษี
โดยปกติแล้ว บุคคลธรรมดามีหน้าที่ต้องยื่นภาษี 1 ครั้งต่อปี คือการยื่นภาษีประจำปี แต่สำหรับผู้มีเงินได้บางประเภทอาจต้องมีการยื่นภาษีครึ่งปีด้วย ที่ต้องยื่นภาษี 2 ครั้งต่อปี
- ยื่นภาษีครึ่งปี: สำหรับผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40(5) – 40(8) เช่น เงินได้จากค่าเช่า, ค่าวิชาชีพอิสระ, เงินได้จากธุรกิจ, และเงินได้จากการรับเหมา ผู้มีเงินได้เหล่านี้ต้องยื่นภาษีครึ่งปีสำหรับเงินได้ที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน โดยยื่นแบบฯ ภายในเดือน กรกฎาคม – กันยายน ของปีนั้น
- ยื่นภาษีประจำปี: เป็นการยื่นภาษีสรุปสำหรับเงินได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี (มกราคม – ธันวาคม) โดยยื่นแบบฯ ภายในเดือน มกราคม – มีนาคม ของปีถัดไป
แบบ ภ.ง.ด. ที่เกี่ยวข้อง
การยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะใช้แบบแสดงรายการภาษีหลักๆ ดังนี้:
- ภ.ง.ด. 90: ใช้สำหรับ ผู้มีเงินได้ทั่วไป ทุกประเภท ตั้งแต่มาตรา 40(1) ถึง 40(8) เช่น ผู้ที่มีเงินเดือนประจำและมีรายได้เสริมจากธุรกิจส่วนตัว หรือค่าเช่า
- ภ.ง.ด. 91: ใช้สำหรับ ผู้มีเงินได้จากการจ้างแรงงานเพียงประเภทเดียว ตามมาตรา 40(1) เช่น พนักงานบริษัทที่มีเพียงเงินเดือนและโบนัส
- ภ.ง.ด. 94: ใช้สำหรับ การยื่นภาษีครึ่งปี สำหรับผู้มีเงินได้ตามมาตรา 40(5) – 40(8)

2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือภาษีที่จัดเก็บจาก กำไรสุทธิ ของธุรกิจที่จดทะเบียนเป็น นิติบุคคล ตามกฎหมายไทย เช่น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด และนิติบุคคลอื่นๆ โดยอัตราภาษีจะคิดจากกำไรสุทธิของกิจการ ซึ่งแตกต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่คิดจากรายได้ของบุคคลทั่วไป
กำหนดการยื่นภาษี
โดยปกติแล้ว นิติบุคคลมีหน้าที่ต้องยื่นภาษี 2 ครั้งต่อปี ตามรอบบัญชีปกติ ซึ่งประกอบด้วย:
- ยื่นภาษีครึ่งปี: เป็นการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อชำระภาษีล่วงหน้าสำหรับผลกำไรที่เกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกของรอบระยะเวลาบัญชี (1 มกราคม – 30 มิถุนายน) โดยต้องยื่นแบบฯ และชำระภาษีภายใน 2 เดือนนับจากวันสุดท้ายของครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี
- ยื่นภาษีประจำปี: เป็นการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อสรุปผลกำไรสุทธิทั้งหมดตลอดทั้งรอบระยะเวลาบัญชี (1 มกราคม – 31 ธันวาคม) และชำระภาษีส่วนที่เหลือ (หากมี) โดยต้องยื่นแบบฯ และชำระภาษีภายใน 150 วันนับจากวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
แบบ ภ.ง.ด. ที่เกี่ยวข้อง
ในการยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล จะใช้แบบแสดงรายการที่แตกต่างกันตามช่วงเวลาการยื่น:
- แบบ ภ.ง.ด. 51: ใช้สำหรับ การยื่นภาษีครึ่งปี
- แบบ ภ.ง.ด. 50: ใช้สำหรับ การยื่นภาษีประจำปี

3. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) คือภาษีที่ ผู้จ่ายเงิน มีหน้าที่ต้องหักไว้ส่วนหนึ่งก่อนที่จะจ่ายเงินให้กับ ผู้รับเงิน แล้วจึงนำภาษีส่วนที่หักไว้นั้นไปชำระให้กับกรมสรรพากรแทนผู้รับเงิน หลักการนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดภาระการจ่ายภาษีก้อนใหญ่ของผู้มีรายได้ในตอนสิ้นปี และยังเป็นเครื่องมือช่วยให้กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างทั่วถึงและเป็นระบบมากขึ้น
กำหนดการยื่นภาษี
ผู้มีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีและนำส่งภาษีที่หักไว้ ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดจากเดือนที่มีการจ่ายเงินได้ ตัวอย่างเช่น หากบริษัทจ่ายเงินเดือนให้กับพนักงานในเดือนกันยายน บริษัทก็ต้องนำส่งภาษีที่หักไว้ภายในวันที่ 7 ตุลาคม
หากมีการยื่นแบบผ่านระบบอินเทอร์เน็ต จะได้รับสิทธิขยายเวลาออกไปถึงวันที่ 8 ของเดือนถัดไป
แบบฟอร์มการยื่นภาษีที่เกี่ยวข้อง
การยื่นภาษีหัก ณ ที่จ่ายจะใช้แบบฟอร์มที่แตกต่างกันไปตามประเภทของผู้รับเงินได้ ดังนี้:
- ภ.ง.ด. 1: ใช้สำหรับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายให้ บุคคลธรรมดาที่เป็นพนักงานของบริษัท เช่น เงินเดือน, โบนัส, ค่าล่วงเวลา
- ภ.ง.ด. 3: ใช้สำหรับเงินได้พึงประเมินที่จ่ายให้ บุคคลธรรมดาอื่นๆ ที่ไม่ใช่พนักงาน เช่น ค่าจ้างทำของ, ค่าเช่า, ค่านายหน้า, ค่าวิชาชีพอิสระ
- ภ.ง.ด. 53: ใช้สำหรับเงินได้ที่จ่ายให้ นิติบุคคล เช่น ค่าเช่า, ค่าบริการ, ค่าขนส่ง
- ภ.ง.ด. 54: ใช้สำหรับเงินได้ที่จ่ายให้ นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศและไม่ได้เข้ามาประกอบกิจการในไทย เช่น ค่าลิขสิทธิ์, ค่าเช่า
ข้อควรระวัง
ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องออก หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ทวิ 50) ให้กับผู้รับเงินด้วย เพื่อที่ผู้รับเงินจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณและยื่นภาษีของตนเองต่อไป

4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT) คือ ภาษีที่จัดเก็บจากการ ขายสินค้าหรือการให้บริการ ในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและจำหน่ายสินค้าหรือบริการนั้นๆ โดยเป็นภาษีที่ผู้ประกอบการจะเก็บจากผู้บริโภคหรือผู้ซื้อในขั้นตอนสุดท้าย
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
ปัจจุบัน อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ใช้ในประเทศไทยคือ 7% ซึ่งคำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการที่ซื้อขายกัน
กำหนดการยื่นภาษี
ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี เป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากมีการยื่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ต จะได้รับสิทธิขยายเวลาออกไปอีก 8 วันจนถึงวันที่ 23 ของเดือนถัดไป
หลักการคำนวณ
การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งให้กรมสรรพากรจะใช้หลักการ ภาษีขายหักด้วยภาษีซื้อ
- ภาษีขาย (Output Tax): ภาษีที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อมีการขายสินค้าหรือให้บริการ
- ภาษีซื้อ (Input Tax): ภาษีที่ผู้ประกอบการจ่ายให้กับผู้ขายเมื่อมีการซื้อสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ภาษีที่ต้องนำส่ง = ภาษีขาย – ภาษีซื้อ
- หากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการต้องชำระส่วนต่างนั้นให้กรมสรรพากร
- หากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีส่วนต่างนั้นจากกรมสรรพากรได้
แบบฟอร์มการยื่นภาษีที่เกี่ยวข้อง
- แบบ ภ.พ. 20: ใช้สำหรับ การยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งต้องยื่นเมื่อมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี
- แบบ ภ.พ. 30: ใช้สำหรับ การยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือน ซึ่งผู้ประกอบการที่มีการจดทะเบียน VAT จะต้องยื่นทุกเดือน
- แบบ ภ.พ. 36: ใช้สำหรับ การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มแทนผู้ประกอบการต่างประเทศ ที่ให้บริการในไทย (เช่น การยิงโฆษณาผ่าน Google หรือ Facebook)

5. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax) คือ ภาษีที่จัดเก็บจาก การประกอบกิจการเฉพาะอย่างที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นพิเศษ ซึ่งเป็นกิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภาษีประเภทนี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อใช้แทนที่ภาษีการค้าที่ถูกยกเลิกไปในปี พ.ศ. 2535
กิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
กิจการเหล่านี้มักจะเป็นธุรกิจที่การกำหนดมูลค่าเพิ่ม (VAT) ทำได้ยาก หรือเป็นธุรกิจที่รัฐบาลต้องการควบคุมเป็นพิเศษ ได้แก่:
- การธนาคาร และ การประกอบธุรกิจเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ (เช่น การให้กู้ยืมเงิน, ค้ำประกัน, แลกเปลี่ยนเงินตรา)
- ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
- การรับประกันชีวิต
- การรับจำนำ
- การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร
- การซื้อและขายคืนหลักทรัพย์ (ตามที่กฎหมายกำหนด)
อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ
อัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามประเภทของธุรกิจ โดยคิดจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่าย ดังนี้:
- 0.1%: การธนาคาร, ธุรกิจเงินทุน, ธุรกิจหลักทรัพย์, ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์, การประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์, การรับจำนำ, และการขายหลักทรัพย์
- 2.5%: การรับจำนำที่ไม่ได้ประกอบกิจการโรงรับจำนำตามกฎหมาย
- 3.0%: การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร
หมายเหตุ: อัตราภาษีที่ระบุข้างต้นยังไม่รวมภาษีท้องถิ่นอีก 10% ของภาษีที่คำนวณได้ ซึ่งจะทำให้ยอดรวมที่ต้องจ่ายจริงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เช่น ภาษีจากอสังหาริมทรัพย์จะอยู่ที่ 3.3% (3.0% + ภาษีท้องถิ่น 0.3%)
กำหนดการยื่นภาษีและแบบฟอร์ม
- กำหนดการยื่น: ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี เป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ไม่ว่าในเดือนนั้นจะมีรายรับหรือไม่ก็ตาม
- แบบฟอร์ม: แบบฟอร์มที่ใช้ในการยื่นภาษีธุรกิจเฉพาะคือ แบบ ภ.ธ. 40

6. อากรแสตมป์
อากรแสตมป์คือภาษีประเภทหนึ่งที่จัดเก็บจาก เอกสารหรือตราสารบางประเภท ที่ใช้ในการทำธุรกรรมทางธุรกิจหรือทางกฎหมาย เช่น สัญญาต่างๆ . อากรแสตมป์ไม่ได้จัดเก็บจากรายได้หรือกำไรเหมือนภาษีเงินได้ แต่เป็นภาษีที่จัดเก็บเพื่อ รับรองสถานะทางกฎหมาย ของเอกสารนั้นๆ ว่าได้ผ่านการชำระภาษีอย่างถูกต้องแล้ว และสามารถใช้เป็นหลักฐานทางกฎหมายได้
เกี่ยวข้องกับมาตราภาษีอะไรบ้าง
อากรแสตมป์ถูกกำหนดไว้ใน หมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากรในประเทศไทย โดยมีมาตราสำคัญที่เกี่ยวข้องดังนี้:
- มาตรา 103: กำหนดว่าตราสารประเภทใดบ้างที่ต้องเสียอากรแสตมป์ และกำหนดผู้มีหน้าที่ต้องเสียอากร
- มาตรา 104 – 106: กำหนดอัตราอากรแสตมป์สำหรับตราสารแต่ละประเภท
- มาตรา 118: กำหนดหลักเกณฑ์และระยะเวลาในการติดแสตมป์อากร หรือชำระเงินค่าอากรเป็นตัวเงิน โดยทั่วไปแล้วจะต้องชำระ ในขณะที่ทำตราสาร
- มาตรา 123 – 124: กำหนดบทลงโทษในกรณีที่ไม่ติดแสตมป์อากรให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด
กำหนดการต้องยื่นอย่างไรบ้าง
การชำระอากรแสตมป์จะแตกต่างจากภาษีอื่นๆ ที่มีการยื่นเป็นรายเดือนหรือรายปี โดยมีกำหนดการที่ชัดเจนตามกฎหมาย:
- เมื่อทำตราสาร: โดยหลักแล้ว อากรแสตมป์ต้องถูกชำระด้วยการติดแสตมป์และขีดฆ่า ทันทีในขณะที่ทำตราสารนั้น หรือ ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ลงลายมือชื่อในตราสารนั้น
- ในกรณีทำในต่างประเทศ: หากทำตราสารในต่างประเทศ จะต้องชำระอากรเมื่อนำตราสารนั้นเข้ามาในประเทศไทย ภายใน 30 วัน นับจากวันที่รับมอบตราสารนั้น
- กรณีชำระเป็นเงินสด: หากเป็นการชำระเป็นเงินสด (โดยทั่วไปจะใช้กับสัญญาที่มีมูลค่าสูง) ผู้มีหน้าที่ต้องชำระเงินที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ภายใน 15 วัน นับจากวันทำตราสาร
ข้อควรรู้เกี่ยวกับบทลงโทษ: หากไม่ได้ชำระอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนตามกำหนด อาจทำให้เอกสารนั้น ไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในศาล ได้ และจะถูกปรับเพิ่มอีก:
- ปรับ 2 เท่าของอากรที่ต้องเสีย: หากนำตราสารไปขอเสียอากรที่สำนักงานสรรพากรเองหลังจากเลยกำหนดเวลา
- ปรับ 6 เท่าของอากรที่ต้องเสีย: หากเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่ามีการทำตราสารที่ไม่ปิดอากรแสตมป์หรือปิดไม่ครบถ้วน

สรุป 6 ภาษีที่ต้องรู้ ในการทำธุรกิจ เมื่อทำธุรกิจไม่ว่าจะในรูปแบบบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ คือประเภทของภาษีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ถูกปรับจากกรมสรรพากร ภาษีหลักๆ ที่ผู้ประกอบการควรทราบ เป็นหมวดหมู่ดังนี้
1. ภาษีเงินได้ (Income Tax)
ภาษีเงินได้จัดเก็บจากรายได้หรือกำไรที่ได้รับจากการทำธุรกิจ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ขึ้นอยู่กับรูปแบบของกิจการ:
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax): จัดเก็บจากรายได้ของผู้ประกอบการที่เป็น บุคคลธรรมดา เช่น เจ้าของคนเดียว, ห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่จดทะเบียน, ฟรีแลนซ์, หรือร้านค้าทั่วไปที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัท อัตราภาษีจะคิดแบบ ขั้นบันได โดยผู้มีรายได้สูงจะเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
- การยื่น: ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 94 (ครึ่งปี) และ ภ.ง.ด. 90 (ประจำปี)
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax): จัดเก็บจากกำไรสุทธิของกิจการที่เป็น นิติบุคคล เช่น บริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนจำกัด อัตราภาษีจะคิดเป็น อัตราเดียว (Flat Rate) โดยปัจจุบันสำหรับกิจการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิไม่เกิน 30 ล้านบาทต่อปี จะได้รับการลดหย่อนภาษีบางส่วน
- การยื่น: ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 51 (ครึ่งปี) และ ภ.ง.ด. 50 (ประจำปี)
2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT)
ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT คือภาษีที่จัดเก็บจาก การขายสินค้าหรือการให้บริการ ที่มีมูลค่าการขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ผู้ประกอบการที่มีรายได้ถึงเกณฑ์จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มภายใน 30 วันนับจากวันที่รายได้ถึงเกณฑ์ และมีหน้าที่:
- เรียกเก็บภาษีขาย: เรียกเก็บภาษี 7% จากลูกค้าเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการ
- จ่ายภาษีซื้อ: จ่ายภาษี 7% ให้กับผู้ขายเมื่อมีการซื้อสินค้าหรือบริการ
- นำส่งส่วนต่าง: นำส่วนต่างระหว่างภาษีขายและภาษีซื้อไปชำระให้กรมสรรพากร หากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ แต่หากภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายก็สามารถขอคืนภาษีได้
- การยื่น: ต้องยื่นแบบ ภ.พ. 30 ทุกเดือน
3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายคือภาษีที่ ผู้จ่ายเงิน มีหน้าที่ต้องหักไว้ก่อนจ่ายให้แก่ผู้รับเงิน แล้วนำไปส่งกรมสรรพากรแทนผู้รับเงิน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระการชำระภาษีของผู้รับเงินในตอนปลายปี และเป็นหลักฐานการจ่ายเงินที่ใช้ได้ทั้งสองฝ่าย
- ตัวอย่าง:
- การจ่ายค่าจ้าง/ค่าบริการ (เช่น ค่าที่ปรึกษา, ค่าจ้างฟรีแลนซ์) ให้กับบุคคลธรรมดา: หักภาษีในอัตรา 3%
- การจ่ายค่าเช่า: หักภาษีในอัตรา 5%
- การยื่น: ผู้จ่ายเงินต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 1, ภ.ง.ด. 3, ภ.ง.ด. 53 หรือ ภ.ง.ด. 54 แล้วแต่กรณี
4. ภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ: เป็นภาษีที่จัดเก็บจากกิจการบางประเภทที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นพิเศษ เช่น ธุรกิจธนาคาร, ธุรกิจประกันชีวิต, และธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อหากำไร
- อากรแสตมป์: เป็นภาษีที่จัดเก็บจากการทำเอกสารบางประเภทที่กฎหมายกำหนด เช่น สัญญาเช่า, สัญญากู้ยืมเงิน, หรือหนังสือมอบอำนาจ โดยมีอัตราแตกต่างกันไปตามประเภทของเอกสาร
AccProTax รับทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี วางแผนภาษี ประสบการณ์กว่า 25 ปี
“สะดวก รวดเร็ว เข้าใจ ให้คำปรึกษาเชิงรุก” คือสิ่งที่ AccProTax ให้ความสำคัญ
เพราะเราเข้าใจดีว่า “เรื่องภาษี” ไม่ใช่เรื่องเล็กที่มองข้ามได้ AccProTax จึงมุ่งเน้นการวางระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการตีความผิดพลาดและลดความเสี่ยงจากการถูกเรียกเก็บย้อนหลัง ทีมงานของเรามีประสบการณ์กว่า 25 ปี ในการให้บริการทั้งการทำบัญชี ตรวจสอบบัญชี และวางแผนภาษีอย่างรอบด้าน พร้อมคำปรึกษาที่ช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง
ติดต่อ AccProTax ได้เลยวันนี้
AccProTax พร้อมให้คำปรึกษาและดำเนินการจดทะเบียนแบบครบวงจร
ฟรี! ให้คำแนะนำเบื้องต้น
มีแพ็กเกจรายเดือน ปิดงบ รายปี
ดูแลโดยทีมผู้เชี่ยวชาญจริง พร้อมให้บริการธุรกิจ SME ทุกประเภท
ฟรีคำปรึกษาเบื้องต้น
ดูแลเอกสารให้ครบ จดเสร็จในไม่กี่วัน
เฟซบุ๊ก: www.facebook.com/accprotax/
อีเมล: accprotax@gmail.com
โทร: 02-124-3062
LineOA: @accprotax
เริ่มต้นจดทะเบียนบริษัทจำกัด และห้างหุ้นส่วนจำกัด การจัดทำบัญชี วางแผนภาษี และการขอใบอนุญาตต่างๆ อย่างถูกต้อง มีขั้นตอนที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และใช้ระยะเวลานาน การมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านงานจดทะเบียนธุรกิจเป็นที่ปรึกษาและวางแผนอย่างใกล้ชิด เพื่อส่งข้อมูลต่อทางการอย่างถูกต้อง เป็นหัวใจสำคัญของก้าวแรกที่เริ่มต้นทำธุรกิจ เรายินดีให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่าน พร้อมให้คำแนะนำในด้านการจดทะเบียน บริษัท(บจก.) ห้างหุ้นส่วนจำกัด(หจก.) อย่างครบวงจร รวมถึง จัดทำบัญชี และวางแผนภาษี (Tax Planning) ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ
เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูล เรายินดีช่วยเหลือ ให้บริการที่รวดเร็ว ทันเวลา ราคาเหมาะสม คุยอย่างเป็นกันเอง ยินดีให้บริการอย่างเต็มที่ ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่งค่ะ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญฟรี
กรุณากรอกข้อมูล โดยผู้เชี่ยวชาญติดต่อกลับ ให้คำปรึกษาที่ตรงกับความต้องการของคุณได้อย่างรวดเร็ว